การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

Advertisement

ข้อ  1  ก  กู้เงิน  ข  ห้าแสนบาท  มีกำหนดเวลาสามปี  โดยจำนองที่ดินประกันหนี้เงินกู้นี้ไว้  ข้อเท็จจริงปรากฏว่า  หลังจากกู้ไปได้เพียงหกเดือน  ก  ถึงแก่ความตาย  ข  เห็นว่าตามสัญญาสิทธิเรียกร้องยังไม่ถึงกำหนดจึงไม่ได้เรียกไม่ได้บังคับชำระหนี้  เมื่อครบกำหนด  ข  ก็มาเรียกมาบังคับเอากับ  ค  ทายาทของ  ก  ค  ต่อสู้ว่าสิทธิเรียกร้องดังกล่าวขาดอายุความ  ตนมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้  ข้อต่อสู้ของ  ค  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  193/9  สิทธิเรียกร้องใดๆถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด  สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ

มาตรา  193/10  สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ  ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้

มาตรา  193/12  อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป  ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการอย่างใด  ให้เริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น

มาตรา  193/27  ผู้รับจำนอง  ผู้รับจำนำ  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง  หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง  จำนำ  หรือที่ได้ยึดถือไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม  แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้

มาตรา  193/30  อายุความนั้น  ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้มีกำหนดสิบปี

มาตรา  203 ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้  หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน  และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

ถ้าได้กำหนดเวลาไว้  แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่  แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้

มาตรา  1754  วรรคสาม  ภายใต้บังคับแห่งมาตรา  193/27  แห่งประมวลกฎหมายนี้  ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี  มิให้หนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้  หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  1754  วรรคสาม  ได้กำหนดไว้ว่า  ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่า  1  ปี  เจ้าหนี้จะต้องฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ของตนภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่เจ้าหนี้ได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก  แม้สิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้นั้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระก็ตาม  มิฉะนั้นสิทธิเรียกร้องจะขาดอายุความ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  กู้เงิน  ข  โดยมีกำหนดเวลา  3  ปี  และหลังจากกู้ไปได้เพียง  6  เดือน  ก  ลูกหนี้ได้ถึงแก่ความตาย  ซึ่ง  ข เจ้าหนี้ได้รู้ถึงความตายของ  ก  ลูกหนี้  ดังนี้  แม้ว่าหนี้เงินกู้ระหว่าง  ก  กับ  ข  จะยังไม่ถึงกำหนดชำระ  ซึ่งปกติแล้วเจ้าหนี้จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระไม่ได้ตามมาตรา  203  วรรคสอง  แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องลูกหนี้ตายก่อนกำหนด  และสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อเจ้ามรดกมีอายุความยาวกว่า  1  ปี  (มาตรา  193(30))  ดังนั้น  เจ้าหนี้จึงต้องฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่เจ้าหนี้รู้ว่าลูกหนี้ตาย  ตามมาตรา  1754  วรรคสาม  เมื่อ  ข  ไม่ได้ฟ้องบังคับให้  ค  ชำระหนี้ภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่  ก  ลูกหนี้ตาย  หนี้เงินกู้ดังกล่าวจึงขาดอายุความ  (ตามมาตรา  193/9  มาตรา  193/12)  ค  จึงมีสิทธิปฏิเสธการชำระหนี้ที่ขาดอายุความนั้นได้  (ตามมาตรา 193/10)  ดังนั้น  ข้อต่อสู้ของ  ค   ที่ว่าสิทธิเรียกร้องดังกล่าวขาดอายุความแล้วจึงฟังขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม  มาตรา  1754  วรรคสาม  กฎหมายกำหนดให้อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา  193/27  ซึ่งได้บัญญัติให้ผู้รับจำนอง  ผู้รับจำนำ  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงหรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง  จำนำ  หรือยึดถือไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องในหนี้ส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  การที่  ก  กู้เงิน  ข  นั้น  ก  ได้นำที่ดินของตนมาจำนองประกันหนี้ไว้  ดังนั้น  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความแล้ว  ตามมาตรา  1754  วรรคสาม  แต่บทบัญญัติมาตรา  193/27  ก็ยังให้สิทธิแก่  ข  เจ้าหนี้ผู้รับจำนองยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินของ  ก  ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ตนรับจำนองไว้ได้  แต่ไม่มีสิทธิที่จะไปบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอื่นของ  ก  และจะใช้สิทธินั้นบังคับให้  ค  ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีไม่ได้  ดังนั้น  ข้อต่อสู้ของ  ค  ที่ว่า  ตนมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้  จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้อต่อสู้ของ  ค  ที่ว่าสิทธิเรียกร้องดังกล่าวขาดอายุความนั้นฟังขึ้น  แต่ข้อต่อสู้ที่ว่าตนมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้ฟังไม่ขึ้น

 

 

ข้อ  2  ดำมีหน้าที่ขับรถส่งของให้แดงนายจ้าง  ขณะส่งของดำขับรถด้วยความเร็วสูง  ช่วงทางโค้งดำควบคุมรถไม่ได้  รถวิ่งล้ำเลยกึ่งกลางถนน  เฉี่ยวชนกับรถหกล้อที่ขาวขับสวนมา  ตามบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวนดำขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายถูกพนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับ  และบันทึกข้อตกลงในสำเนารายงานเกี่ยวกับคดีเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างดำกับขาวซึ่งทั้งคู่รู้จักสนิทสนมกัน

มีความว่า  “ค่าเสียหายในการนี้คู่กรณีทั้งสองตกลงกันเองได้  และจะนำไปซ่อมกันเอง”  เมื่อผู้รับประกันภัยรถหกล้อที่ขาวขับได้นำรถคันดังกล่าวไปซ่อมจนมีสภาพดีดังเดิม  เสียค่าซ่อมไปหกหมื่นบาท  ผู้รับประกันภัยจะมาเรียกจากดำและแดงได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

มาตรา  226  วรรคแรก  บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้  ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้  รวมทั้งประกันเหตุแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง

มาตรา  227  เมื่อเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว  ท่านว่าลูกหนี้ย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้  อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้นๆด้วยอำนาจกฎหมาย

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  880  วรรคแรก  ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้  ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด  ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ดำขับรถส่งของโดยประมาท  เฉี่ยวชนกับรถหกล้อที่ขาวขับสวนมา  จนทำให้รถหกล้อของขาวเกิดความเสียหายนั้น  ถือเป็นกรณีที่ดำกระทำละเมิดต่อขาว  และได้กระทำไปในทางการที่จ้าง  ดังนั้น  ดำและแดงนายจ้างจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ขาว  (ตามมาตรา  420  และมาตรา  425)  ส่วนการที่ดำกับขาวทำข้อตกลงเรื่องค่าเสียหายในมูลละเมิดนั้น  เมื่อไม่ได้มีการกำหนดเรื่องการชำระค่าเสียหายให้ชัดแจ้ง  จึงไม่มีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ  มูลหนี้ละเมิดจึงไม่ระงับ

ดังนั้น  เมื่อผู้รับประกันภัยรถหกล้อที่ขาวขับได้นำรถคันดังกล่าวไปซ่อมจนมีสภาพดีดังเดิม  และเสียค่าซ่อมไป  6  หมื่นบาท  กรณีจึงเป็นการที่ผู้รับประกันภัย  (ลูกหนี้)  ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ขาว  (เจ้าหนี้)  แล้ว  ดังนั้น  ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของขาวผู้เอาประกันภัยในอันที่จะเรียกให้ดำและแดงผู้ทำละเมิดชำระค่าสินไหมทดแทนที่ตนได้จ่ายไปแล้วได้ตามมาตรา  226  วรรคแรก  มาตรา  277  และมาตรา  880  วรรคแรก  พร้อมทั้งเรียกดอกเบี้ยได้อีกร้อยละ  7.5  ต่อปี  นับแต่วันที่ตนได้ชำระค่าสินไหมทดแทนไป  (ตามมาตรา  224)

สรุป  ผู้รับประกันภัยสามารถเรียกค่าซ่อมรถ  6  หมื่นบาท  จากดำและแดงได้พร้อมทั้งเรียกดอกเบี้ยได้อีกร้อยละ  7.5  ต่อปี  นับแต่วันที่ตนได้จ่ายไป

 

 

ข้อ  3  หนึ่งเป็นเจ้าหนี้สองเป็นจำนวนเงิน  300,000  บาท  และสองเป็นเจ้าหนี้สาม  เป็นจำนวนเงิน  900,000  บาท  หนึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องของสอง  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  233  เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสามเรียกเอาเงิน  900,000  บาท  ที่สามค้างชำระแก่สอง  ปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาสามยอมชำระเงินให้หนึ่ง  300,000  บาท

ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  หนึ่งจะว่ากล่าวเอาเงินอีก  600,000  บาท  โดยขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วนจำนวนเงินที่ยังเหลือค้างอยู่ตามคำฟ้องได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  235  เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เรียกเงินเต็มจำนวนที่ยังค้างชำระแก่ลูกหนี้โดยไม่คำนึงถึงจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนก็ได้  ถ้าจำเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำนวนที่ลูกหนี้เดิมค้างชำระแก่เจ้าหนี้นั้น  คดีก็เป็นเสร็จกันไป  แต่ถ้าลูกหนี้เดิมได้เข้าชื่อเป็นโจทก์ด้วย  ลูกหนี้เดิมจะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วนจำนวนเงินที่ยังเหลือติดค้างอยู่ก็ได้

แต่อย่างไรก็ดี  ท่านมิให้เจ้าหนี้ได้รับมากไปกว่าจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนนั้นเลย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่หนึ่งเจ้าหนี้ของสองในมูลหนี้  300,000  บาท  ได้ใช้สิทธิเรียกร้องของสองตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  233  เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสามเรียกเอาเงิน  900,000  บาท  ที่สามค้างชำระแก่สองนั้น  กรณีถือเป็นการที่เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้  ซึ่งตามมาตรา  235  กำหนดให้  เจ้าหนี้สามารถเรียกเงินได้เต็มจำนวนที่จำเลยยังค้างชำระแก่ลูกหนี้  โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนก็ได้  แต่ถ้าจำเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำนวนที่ลูกหนี้เดิมค้างชำระแก่เจ้าหนี้แล้ว  คดีก็เป็นอันเสร็จกันไป

ดังนั้น  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ในระหว่างพิจารณา  สามจำเลยยอมชำระเงินให้หนึ่ง  300,000  บาท  ซึ่งเท่ากับจำนวนที่สองค้างชำระแก่หนึ่งแล้ว  คดีสำหรับหนึ่งผู้เป็นโจทก์ย่อมเป็นอันเสร็จไป  หนึ่งจะมาว่ากล่าวขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปในส่วนจำนวนเงินอีก  600,000  บาท  ที่เหลือติดค้างอยู่ตามคำฟ้องไม่ได้  เพราะสิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิของสองโดยเฉพาะตามมาตรา  235

สรุป  หนึ่งจะว่ากล่าวเอาเงินอีก  600,000  บาท  โดยขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วนจำนวนเงินที่ยังเหลือติดค้างอยู่ตามคำฟ้องไม่ได้

 

 

ข้อ  4  จันทร์เป็นเจ้าหนี้และอังคารเป็นลูกหนี้ในหนี้เงิน  500,000  บาท  โดยมีพุธและพฤหัสเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าวนี้  ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  อังคาร  (ลูกหนี้)  ผิดนัด  จันทร์  (เจ้าหนี้)  จึงเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้  ปรากฏว่า  จันทร์เรียกให้พุธชำระหนี้เพียงคนเดียวทั้งหมด  500,000  บาท  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  จันทร์มีสิทธิเรียกให้พุธชำระหนี้ทั้งหมดได้โดยชอบหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  291  ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้  แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว  (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน)  ก็ดี  เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก  แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่พุธและพฤหัสเข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้  500,000  บาท  ที่มีอังคารเป็นลูกหนี้จันทร์นั้น  ย่อมเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน  ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา  682 วรรคสอง  กรณีจึงต้องนำบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องลูกหนี้ร่วมตามมาตรา  291  มาบังคับใช้ในกรณีนี้ด้วย  ซึ่งตามมาตรา  291  ได้กำหนดไว้ว่า  เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง  ในทางกลับกันลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งจะชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหนี้ก็ได้

ดังนั้น  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  และอังคาร  (ลูกหนี้)  ผิดนัด  ความรับผิดของผู้ค้ำประกันย่อมเกิดมีขึ้น  ดังนั้นจันทร์  (เจ้าหนี้)  จึงมีสิทธิที่จะเรียกชำระหนี้สิ้นเชิงจากพุธ  (ผู้ค้ำประกัน)  เพียงคนเดียวทั้งหมด  500,000  บาท  ได้ตามมาตรา  291

สรุป  จันทร์มีสิทธิเรียกให้พุธชำระหนี้ทั้งหมดได้โดยชอบด้วยมาตรา  291

Advertisement