การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2001 (LA 201),(LW 204) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 ป่านทำสัญญาและจดทะเบียนยกบ้านและที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งให้ปอโดยเสน่หา โดยปออนุญาตด้วยวาจาให้ป่านอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ตลอดไป ลังจากนั้น 3 ปี ปอทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้แก้ว หลังจากที่แก้วรับโอนที่ดินดังกล่าวแล้ว แก้วแจ้งให้ป่านออกไปจากบ้านหลังนั้น
แต่ป่านไม่ยอมย้ายออกไปโดยอ้างว่าบ้านหลังดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ขอปอเพราะสัญญาซื้อขายที่ดินไม่ได้ระบุเรื่องบ้านไว้ ดังนั้น ป่านจึงมีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ต่อไปตามที่ป่านได้รับอนุญาตจากปอ
ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า แก้วจะฟ้องขับไล่ป่านออกไปจากบ้านหลังนี้ได้หรือไม่ และข้ออ้างของป่านรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย
มาตรา 144 ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย ทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป
เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น
มาตรา 1299 วรรคแรก ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่า การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่
วินิจฉัย
ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพย์สิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้ มาตรา 1299 วรรคแรก
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ป่านทำสัญญายกบ้านและที่ดินมีโฉนดให้ปอโดยเสน่หา ปอจึงเป็นผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม เมื่อได้มีการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาดังกล่าวจึงมีผลบริบูรณ์เป็นทรัพย์สิทธิตามมาตรา 1299 วรรคแรก และจากข้อเท็จจริงดังกล่าว เมื่อปอได้อนุญาตให้ป่านอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ตลอดไป ป่านจึงเป็นผู้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม แต่เมื่อการได้มาซึ่งสิทธิอาศัยของป่านเป็นการอนุญาตด้วยวาจาไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ สิทธิอาศัยดังกล่าวจึงไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ ทำให้ป่านไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้ แต่นิติกรรมนี้คงมีผลเป็นบุคคลสิทธิ ซึ่งใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาคือปอเท่านั้นตามมาตรา 1299 วรรคแรก
และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ต่อมาปอได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้แก้ว แก้วจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินนั้นด้วย ในฐานะที่บ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน เพราะบ้านถือว่าเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของที่ดินโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นและไม่อาจแยกออกจากกันได้นอกจากจะทำลาย ทำให้บุบสลายหรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไปตามมาตรา 144
ดังนั้น แก้วในฐานะที่เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่ให้ป่านออกไปจากบ้านหลังนี้ได้ และข้ออ้างของป่านที่ว่าบ้านหลังดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของปอ เพราะสัญญาซื้อขายที่ดินไม่ได้ระบุเรื่องบ้านไว้และป่านยังมีสิทธิอาศัยในบ้านหลังนี้ต่อไปนั้นจึงรับฟังไม่ได้ เพราะเมื่อการได้สิทธิอาศัยในบ้านของปอไม่บริบูรณ์เป็นทรัพย์สิทธิ ป่านจึงไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อแก้วซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้
สรุป แก้วฟ้องขับไล่ให้ป่านออกไปจากบ้านดังกล่าวได้ และข้ออ้างของป่านรับฟังไม่ได้
ข้อ 2 นาย ก เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง ต่อมานาย ก ตายได้ทำพินัยกรรมยกมรดกที่ดินแปลงนี้ให้ทายาทคือ นาย ข และนาย ค หลังจากที่นาย ข และนาย ค ไปทำการแบ่งแยกที่ดินแล้ว ปรากฏว่าแปลงของนาย ค ถูกปิดล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โดยมีที่ดินของนาย ข นาย ง และนาย จ ปิดล้อมอยู่ นาย ค เห็นว่าถ้าตนนำรถผ่านบนที่ดินของนาย ง จะเป็นทางที่ใกล้ที่สุดในการออกสู่ถนนสาธารณะ นาย ค จึงไปยื่นคำร้องต่อศาลขอนำรถผ่านที่ดินของนาย ง และเสนอค่าทดแทนในการทำทางผ่านไปด้วย ให้ท่านวินิจฉัยว่า นาย ค สามารถขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้า – ออกบนที่ดินของนาย ง ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย
มาตรา 1350 ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยก หรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน
วินิจฉัย
การขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดินตามบทบัญญัติมาตรา 1350 นั้น เป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่สาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน แต่ทั้งนี้จะใช้สิทธิได้ก็แต่เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ข และนาย ค ได้ทำการแบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่กันแล้ว เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงของนาย ค ถูกปิดล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ (ที่ดินตาบอด) นั้น ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 คือเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อแบ่งแยกแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ดังนั้นกรณีนี้นาย ค ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้ แต่นาย ค จะใช้สิทธิได้เฉพาะบนที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอน คือที่ดินของนาย ข โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนเท่านั้น จะไปใช้สิทธิบนที่ดินแปลงอื่นไม่ได้
ดังนั้น ถึงแม้นาย ค จะเห็นว่าถ้าตนนำรถผ่านบนที่ดินของนาย ง จะเป็นทางที่ใกล้ที่สุดในการออกสู่ถนนสาธารณะ นาย ค ก็ไม่สามารถไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอนำรถผ่านเข้าออกที่ดินนาย ง ได้ แม้จะเสนอค่าทดแทนให้ด้วยก็ตาม
สรุป นาย ค จะขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดินของนาย ง ไม่ได้
ข้อ 3 อ่างเข้าไปครอบครองที่ดิน น.ส.3 ของโอ่งแปลงหนึ่ง ครอบครองทำประโยชน์มาได้ห้าปี เมื่อมีการเดินสำรวจเพื่ออกโฉนดที่ดิน โอ่งเพิ่งรู้ว่าอ่างเข้าไปทำประโยชน์ครอบครองที่ดินแปลงนั้นอยู่ โอ่งจึงได้มาแจ้งความต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และมาบอกอ่างให้อ่างออกไปจากที่ดินแปลงนั้น อ่างจึงเลิกทำนาและรื้อบ้านของอ่างออกไปจากที่ดินแปลงนั้น เมื่อผ่านไปได้สองปี
อ่างก็กลับเข้าไปปลูกบ้านทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้นใหม่ ปรากฏว่าที่ดินแปลงนั้นโอ่งได้เปลี่ยนจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาเป็นโฉนดที่ดินเรียบร้อยแล้ว อ่างครอบครองต่อมาได้ห้าปี โอ่งจึงฟ้องศาลขับไล่อ่างให้ออกไปจากที่ดินแปลงนั้น
ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างโอ่งและอ่างใครมีสิทธิในที่ดินแปลงนั้นดีกว่ากัน เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย
มาตรา 1367 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง
มาตรา 1377 วรรคแรก ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง หรือไม่ยุดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้ การครอบครองย่อมสุดสิ้นลง
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
วินิจฉัย
โดยหลัก การได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นด้วยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ โดยต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี และในกรณีที่เป็นที่ดินนั้นจะต้องเป็นที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ด้วยจึงจะสามารถครอบครองปรปักษ์ได้
ตามอุทาหรณ์ การที่อ่างเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส.3 ของโอ่งได้ 5 ปีนั้น ถือเป็นการเข้ายึดถือทรัพย์สินโดยเจตนายึดถือเพื่อตน อ่างจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนั้นตามมาตรา 1367 โดยถือเป็นการแย่งสิทธิครอบครองในที่ดินของโอ่ง แต่ไม่ใช่กรณีการครอบครองปรปักษ์ เพราะที่ดินดังกล่าวมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น และเมื่อโอ่งได้มาบอกให้อ่างออกไปจากที่ดินแปลงนั้น อ่างก็ได้เลิกทำนาและรื้อบ้านของตนออกไปจากที่ดินแปลงนั้นแล้ว จึงเป็นกรณีที่อ่างสละเจตนาครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวตามมาตรา 1377 วรรคแรก การครอบครองจึงสิ้นสุดลง
เมื่อผ่านไป 2 ปี อ่างก็กลับเข้าไปปลูกบ้านทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้นใหม่ เมื่ออ่างเจตนายึดถือเพื่อตนจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวอีกครั้งตามมาตรา 1367 แต่เมื่อที่ดินแปลงนั้นเปลี่ยนเป็นที่ดินที่มีโฉนด คือ มีกรรมสิทธิ์แล้ว การที่อ่างจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ได้นั้นจะต้องครอบครองที่ดินของโอ่งด้วยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ตามมาตรา 1382
แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า อ่างครอบครองที่ดินที่มีโฉนดของโอ่งในครั้งหลังนี้ได้เพียง 5 ปี อ่างจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ ดังนั้นโอ่งย่อมมีสิทธิในที่ดินแปลงนั้นดีกว่าอ่าง และเมื่อโอ่งฟ้องศาลขับไล่อ่างให้ออกจากที่ดินแปลงนั้น อ่างก็จะต้องออกจากที่ดินแปลงนั้น
สรุป โอ่งมีสิทธิในที่ดินแปลงนั้นดีกว่าอ่าง
ข้อ 4 นายหนึ่ง นายสอง และนายสาม มีที่ดินอยู่ข้างเคียงกัน นายหนึ่งได้สูบน้ำผ่านลำรางที่อยู่ในที่ดินของนายดำเข้ามาใช้ทำนาในที่ดินของนายหนึ่ง นายสอง และนายสาม ก็ยังได้อาศัยวิดน้ำจากลำรางที่นายหนึ่งสูบน้ำผ่านที่ดินของนายดำเข้ามาใช้ในที่ดินของนายหนึ่งไปใช้ทำนาในที่ดินของนายสองและนายสามด้วยเช่นเดียวกัน โดยทั้งนายสองและนายสามไม่เคยขออนุญาตนายดำเลย และนายดำก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่านายหนึ่งชักน้ำผ่านที่ดินของตน และนายสองและนายสามยังวิดน้ำที่ผ่านจากที่ดินของนายดำไปยังที่ดินของนายหนึ่งเข้าไปใช้ในที่ดินของทั้งสองด้วย โดยทั้งนายหนึ่งนายสอง และนายสาม ได้สูบน้ำวิดน้ำเข้าไปใช้ในที่ดินของแต่ละคนมาได้เกินสิบปีแล้ว นายดำคิดว่าการที่นายสองและนายสามใช้น้ำที่ไหลผ่านลำรางบนที่ดินของตนด้วยนั้นเป็นการก่อให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นกับที่ดินของตน นายดำจะห้ามไม่ให้นายสองและนายสามวิดน้ำจากลำรางที่ไหลผ่านที่ดินของนายดำเข้าไปในที่ดินของนายหนึ่งไปใช้ในที่ดินของทั้งนายสองและนายสามได้หรือไม่ และข้ออ้างของนายดำรับฟังได้เพียงใด เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
มาตรา 1401 ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม
วินิจฉัย
การได้ภาระจำยอมโดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โอยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี
ตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งได้สูบน้ำผ่านลำรางที่อยู่ในที่ดินของนายดำเข้ามาใช้ทำนาในที่ดินของตน โดยนายสองและนายสามก็ยังได้อาศัยวิดน้ำจำลำรางที่นายหนึ่งสูบน้ำผ่านที่ดินของนายดำเข้ามาใช้ในที่ดินของนายหนึ่งไปใช้ทำนาในที่ดินของนายสองและนายสามด้วยนั้น เมื่อการกระทำดังกล่าวของนายหนึ่ง นายสองและนายสามนั้น นายดำไม่เคยรู้มาก่อน และทั้งสามคนก็ไม่เคยขออนุญาตนายดำ อีกทั้งก็ไปปรากฏข้อเท็จจริงว่า การกระทำของทั้งสามคนนั้นเป็นการกระทำโดยถือวิสาสะ ดังนั้นกรณีดังกล่าวถือว่านายหนึ่ง นายสอง และนายสาม ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ คือที่ดินของนายดำ โดยความสงบสุข เปิดเผย และเจตนาจะให้ได้มาซึ่งภาระจำยอมแล้ว
และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าทั้งสามคนได้สูบน้ำวิดน้ำเข้าไปใช้ในที่ดินของแต่ละคนมาได้เกินสิบปีแล้ว ทั้งสามคนย่อมได้ภาระจำยอมในที่ดินของนายดำตามมาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 กล่าวคือ นายดำต้องยอมให้ทั้งสามคนได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของนายดำในการสูบน้ำวิดน้ำเข้าไปใช้ในที่ดินของแต่ละคนได้ต่อไป นายดำจะอ้างว่าการกระทำของนายสองและนายสามเป็นการก่อให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นกับที่ดินของตนไม่ได้ และจะห้ามไม่ให้นายสองและนายสามวิดน้ำจากลำรางที่ไหลผ่านที่ดินของนายดำ เข้าไปในที่ดินของนายหนึ่งไปใช้ในที่ดินของทั้งนายสองและนายสามไม่ได้
สรุป ที่ดินของนายดำอยู่ในภาระจำยอม นายดำจะห้ามไม่ให้นายสองและนายสามวิดน้ำจากลำรางที่ผ่านที่ดินของนายดำดังกล่าวนั้นไม่ได้ และจะอ้างว่าเป็นการก่อให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นกับที่ดินของตนก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน