การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 เพลิงครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของน้ำฝนเกินกว่า 10 ปีแล้ว แต่เพลิงยังไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดที่ดินเป็นของตน หลังจากนั้นน้ำฝนถึงแก่ความตาย น้ำผึ้งบุตรของน้ำฝนได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนั้น ต่อมาอีก 1 ปี น้ำผึ้งทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้เปลว โดยก่อนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ เปลวได้ไปดูที่ดินแต่ไม่เห็นผู้ใดครอบครองที่ดินดังกล่าว แต่หลังจากน้ำผึ้งจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เปลวแล้ว เปลวจึงรู้ว่าเพลิงครอบครองปรปักษ์ที่ดินแปลงนั้น จึงห้ามไม่ให้เพลิงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้นอีก
ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ระหว่างเปลวกับเพลิงผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นดีกว่ากัน และเพลิงจะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างน้ำผึ้งกับเปลวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1299 วรรคสอง ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว
มาตรา 1300 ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้
แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้น ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ เพลิงครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของน้ำฝนเกินกว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 และถือเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้นเมื่อไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพลิงก็จะเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว
สำหรับกรณีที่น้ำฝนเจ้าของที่ดินถึงแก่ความตาย และน้ำผึ้งบุตรของน้ำฝนจดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงดังกล่าวมานั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าน้ำผึ้งรับโอนที่ดินดังกล่าวในฐานะทายาทโดยธรรมของน้ำฝน อันเป็นการรับทรัพย์มรดกตามกฎหมายว่าด้วยมรดก ซึ่งทายาทต้องรับไปทั้งสิทธิและตลอดจนความรับผิดต่างๆของเจ้ามรดก ทั้งถือไม่ได้ว่าน้ำผึ้งเป็นบุคคลภายนอกที่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยมีค่าตอบแทน ดังนั้น ระหว่างเพลิงกับน้ำผึ้ง เพลิงจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวดีกว่าน้ำผึ้ง (ฎ. 1886/2536 ฎ. 1069 – 1070/2522)
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ระหว่างเปลวและเพลิง ใครมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ดีกว่ากัน เห็นว่า ขณะที่เพลิงยังไม่ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อในโฉนดเป็นชื่อของตน น้ำผึ้งซึ่งไม่มีสิทธิดีกว่าเพลิงได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่เพลิงแล้วให้เปลว โดยก่อนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ เปลวได้ไปดูที่ดินแต่ไม่เห็นผู้ใดครอบครองที่ดินดังกล่าว แต่หลังจากน้ำผึ้งจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เปลวแล้ว เปลวจึงรู้ว่าเพลิงครอบครองปรปักษ์ที่ดินแปลงนั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าเปลวเป็นบุคคลภายนอกซื้อที่ดินมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1299 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทยกเว้นหลักทั่วไปที่ว่า ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ดังนั้นแม้เปลวจะรับโอนมาจากน้ำผึ้งผู้ที่ไม่มีสิทธิในที่ดินดีกว่าเพลิง เปลวก็ยังมีสิทธิดีกว่าเพลิง เพลิงจะอ้างหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนมาใช้ยันเปลวไม่ได้
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า เพลิงจะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างน้ำผึ้งกับเปลวได้หรือไม่ เห็นว่า แม้เพลิงจะเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300 และการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างน้ำผึ้งกับเปลวจะทำให้เพลิงเสียเปรียบก็ตาม เพลิงก็ไม่สามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าว เพราะการจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ของเปลวนั้นมีค่าตอบแทนและเป็นการจดทะเบียนโดยสุจริต (ฎ. 32/2490)
สรุป เปลวเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดีกว่าเพลิง และเพลิงจะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างน้ำผึ้งกับเปลวไม่ได้
ข้อ 2 เอกมีที่ดินแปลงหนึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดพื้นที่ 20 ไร่ ต่อมาเอกแบ่งขายให้โท 10 ไร่ โดยทำการซื้อขายและจดทะเบียนกันถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ปรากฏว่าเมื่อโทแบ่งซื้อที่ดินมาทำให้แปลงที่ซื้อมาไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ ต้องใช้ทางสัญจรทางเรือเท่านั้นเพราะถูกล้อมรอบด้วยที่ดินของ เอก ตรี และจัตวา
เมื่อโทซื้อที่ดินของเอกมาแล้วโทได้ทำประโยชน์เป็นที่นาปลูกข้าวและเข้า – ออกจากที่ดินโดยใช้เรือตลอดเป็นเวลา 3 ปี โทต้องการใช้รถโดยเห็นว่าถ้าได้ขับรถผ่านเข้า – ออกทางที่ดินของเอกเข้าสู่ที่ดินของโทก็จะได้รับความสะดวกมากกว่าการเดินทางทางเรืออย่างทุกวันนี้
หากโทจะขอทางจำเป็นผ่านบนที่ดินของเอกจะเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ จงอธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1349 ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้
มาตรา 1350 ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยก หรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน
วินิจฉัย
ตามมาตรา 1349 วรรคแรก หมายความว่า ที่ดินแปลงใดที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะก็ได้ ส่วนการจะนำบทบัญญัติมาตรา 1350 มาใช้บังคับได้ ต้องเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงเดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ทั้งนี้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแปลงโอนกันเท่านั้น
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โทจะขอทางจำเป็นผ่านบนที่ดินของเอกจะเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ เห็นว่า ที่ดินของโทเป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินของเอกโดยการซื้อเป็นคนละแปลงนั้น เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ดังนั้นหากจะขอใช้ทางจำเป็นต้องใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 มาบังคับ กรณีนี้ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1349 วรรคแรก
แต่เนื่องจากหลักเกณฑ์สำคัญตามมาตรา 1350 ประการหนึ่งมีว่าเมื่อแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันแล้วจะต้องทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่กรณีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลักจากแบ่งแยกหรือแบ่งโอนออกจากที่ดินของเอกแล้ว โทก็ยังใช้ทางสาธารณะทางน้ำ (เรือ) เป็นทางเข้าออกจากที่ดินของตนได้อยู่ จึงถือไม่ได้ว่าที่ดินของโทมีสภาพที่ถูกปิดล้อมจนไม่สามารถเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การขอทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 ดังกล่าวเช่นกัน (ฎ. 607/2537)
อนึ่งเมื่อที่ดินของโทมีทางออกสู่สาธารณะได้ แม้โทจะต้องการใช้รถโดยเห็นว่าถ้าได้ขับรถผ่านเข้าออกทางที่ดินของเอกเข้าสู่ที่ดินของตนก็จะได้รับความสะดวกมากกว่าเดินทางทางเรืออย่างทุกวันนี้ ก็เป็นเรื่องความสะดวกสบายของโทเท่านั้น หาใช่ว่าโทไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะเพราะถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมไม่ โทจึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นในที่ดินของเอกทั้งตามบทบัญญัติมาตรา 1349 หรือมาตรา 1350 ได้เลย (ฎ. 6372/2550)
สรุป โทไม่สามารถขอเปิดทางจำเป็นผ่านบนที่ดินของเอกได้ ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 1349 หรือมาตรา 1350
ข้อ 3 ใสได้ตกลงขอทำถนนผ่านที่ดินของแสงซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า แต่ก็ยังไม่ถึงทางสาธารณะ ใสจะต้องทำถนนผ่านที่ดินของเสียงอีกแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินเปล่าจึงจะถึงทางสาธารณะได้ แต่ใสไม่สามารถติดต่อเสียงได้จึงได้ทำถนนผ่านที่ดินของเสียงไปโดยพลการ และนอกจากนั้นเมื่อเห็นที่ดินของเสียงทิ้งร้างไว้ ใสจึงยังใช้ที่ดินของเสียงทั้งแปลงทำไร่ข้าวโพด ใสใช้ทางผ่านที่ดินของทั้งแสงและเสียงและทำไร่ข้าวโพดบนที่ดินของเสียงผ่านมาได้ห้าปี
ถ้าเสียงฟ้องเรียกคืนและห้ามไม่ให้ใสเข้ามายุ่งเกี่ยวในที่ดินของตน ใสจะมีข้อต่อสู้เสียงได้อย่างไรบ้าง เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1367 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง
มาตรา 1375 ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า ซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้
การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ถ้าเสียงฟ้องเรียกคืนและห้ามไม่ให้ใสเข้ามายุ่งเกี่ยวในที่ดินของตน ใสจะมีข้อต่อสู้เสียงได้อย่างไรบ้าง เห็นว่า การที่ใสได้ตกลงขอทำถนนผ่านที่ดินของแสง ซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า แต่ก็ยังไม่ถึงทางสาธารณะ ใสจะต้องทำถนนผ่านที่ดินของเสียงอีกแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าจึงจะถึงทางสาธารณะได้ แต่ใสไม่สามารถติดต่อเสียงได้จึงได้ทำถนนผ่านที่ดินของเสียงไปโดยพลการ นอกจากนั้นเมื่อเห็นที่ดินของเสียงทิ้งร้างไว้ ใสจึงยังใช้ที่ดินของเสียงทั้งแปลงทำไร่ข้าวโพด อันเป็นการยึดถือทำประโยชน์ในทรัพย์สิน กรณีเช่นนี้ถือว่าใสได้เข้ายึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนแล้ว ใสจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าของเสียงทั้งแปลงตามมาตรา 1367 และกรณีนี้ยังถือว่าใสได้แย่งการครอบครองมือเปล่าของเสียงด้วยตามมาตรา 1375 วรรคแรก
เมื่อเสียงผู้ครอบครองถูกใสแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กฎหมายให้สิทธิเสียงฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองได้ภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โดยไม่คำนึงว่าผู้ครอบครองจะทราบว่าถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ และไม่คำนึงถึงว่าผู้ครอบครองได้โต้แย้งผู้แย่งหารครอบครองหรือได้ร้องเรียนต่อพนักงานฝ่ายปกครองว่าถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ (ฎ. 6412/2550 ฎ. 108/2517) เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่าใสได้ใช้ทางผ่านที่ดินมือเปล่าทั้งของแสงและเสียงและทำไร่ข้าวโพดบนที่ดินของเสียงผ่านมาได้ 5 ปี เสียงจึงหมดสิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองแล้วตามมาตรา 1375 วรรคสอง ถ้าเสียงฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองและห้ามมิให้ใสเข้ามายุ่งเกี่ยวในที่ดินของตน ใสย่อมสามารถยกข้อต่อสู้ได้ว่าเสียงหมดสิทธิเรียกคืนซึ่งการครอบครองแล้ว และตนได้สิทธิครอบครองในที่ดินของเสียงแล้ว
สรุป ใสสามารถยกข้อต่อสู้ได้ว่าเสียงหมดสิทธิเรียกคืนซึ่งการครอบครองตามมาตรา 1375 และตนได้สิทธิครอบครองในที่ดินของเสียงแล้ว
ข้อ 4 นายฟ้าครอบครองปรปักษ์ทำนาบนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของเหลืองมาเข้าปีที่แปด นายฟ้าประสบอุบัติเหตุ ต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นายฟ้าทราบว่าแม้ออกจากโรงพยาบาลแล้วร่างกายตนคงทำนาไม่ได้อีกแล้ว ขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลได้ 6 เดือน ได้ยกที่ดินแปลงนั้นให้บุตรชายทำนาต่อจากตน บุตรชายนายฟ้าจึงเข้าไปครอบครองที่ดินแปลงนั้น และเอาที่ดินแปลงนั้นไปให้นายแดงเช่าแทน นายแดงนำที่ดินแปลงนั้นไปปลูกยางพารา แดงเช่าที่ดินแปลงนั้นมาได้สามปี เหลืองได้ฟ้องคดีต่อศาลขับไล่ให้แดงและบุตรชายนายฟ้าออกจากที่ดินแปลงนั้น ตามหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บุตรชายนายฟ้าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินแปลงนั้นแล้วหรือยัง เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1368 บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือ หรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”
มาตรา 1385 ถ้าโอนการครอบครองแก่กัน ผู้รับโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้นรวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้ ถ้าผู้รับโอนนับรวมเช่นนั้น และถ้ามีข้อบกพร่องในระหว่างครอบครองของผู้โอนไซร้ ท่านว่าข้อบกพร่องนั้นอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ
1 เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
2 ได้ครอบครองโดยความสงบ
3 ครอบครองโดยเปิดเผย
4 ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
5 ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี
สำหรับการครอบครองติดต่อกันนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ครอบครอง ไม่มีเจตนาสละการครอบครอง หรือขาดการยึดถือโดยสมัครใจ และนับระยะเวลาครอบครองติดต่อกันได้ หากเป็นเพียงการขาดการยึดถือโดยไม่สมัคร เพราะมีเหตุมาขัดขวางโดยไม่สมัครใจ กฎหมายถือว่าการขาดการยึดถือนั้นไม่ทำให้ขาดอายุความ การครอบครองสะดุดหยุดลง หากได้ทรัพย์สินคืนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ขาดการยึดถือ ทั้งนี้ตามมาตรา 1384
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า บุตรชายนายฟ้าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินแปลงนั้นหรือยัง เห็นว่า นายฟ้าได้ครอบครองปรปักษ์ทำนาบนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของเหลืองมาเข้าปีที่ 8 นายฟ้าประสบอุบัติเหตุต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล กรณีนี้ถือว่านายฟ้าขาดการยึดถือโดยไม่สมัครใจเนื่องจากมีเหตุมาขัดขวางหรือไม่มีเจตนาสละการครอบครอง เมื่อนายฟ้าเห็นว่าทำนาต่อไปอีกไม่ได้ จึงยกที่ดินแปลงนั้นให้บุตรชายทำนาต่อจากตนในขณะที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลได้ 6 เดือน ดังนี้ถือว่าการขาดการยึดถือนั้นไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เนื่องจากได้ทรัพย์สินคืนมาภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ขาดการยึดถือ โดยมีบุตรชายนายฟ้าเข้ายึดถือแทนตามมาตรา 1384 และในกรณีเช่นนี้บุตรชายนายฟ้าผู้รับโอนการครอบครองโดยนิติกรรมสามารถนับเวลาซึ่งนายฟ้าผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้นรวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้ ตามมาตรา 1385
อนึ่ง การที่บุตรชายของนายฟ้ากลับเอาที่ดินแปลงนั้นไปให้นายแดงเช่าแทน นายแดงย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้ยึดถือที่ดินแปลงนั้นแทนบุตรชายนายฟ้าตลอดมาตามมาตรา 1368 (ฎ. 1054/2519 ฎ. 1623/2522) เมื่อแดงเช่าที่ดินแปลงนั้นมาได้ 3 ปี รวมกับเวลาที่นายฟ้าครอบครองมาแต่ก่อนและที่กฎหมายถือว่าไม่สะดุดหยุดลงอีก 8 ปี 6 เดือน รวมเป็น 11 ปี 6 เดือน ตามหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บุตรชายนายฟ้าย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 แล้ว
สรุป บุตรชายนายฟ้าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว