การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2548
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 คำแท้กับน้ำผึ้งทำสัญญากันเอง โดยคำแท้อนุญาตให้น้ำผึ้งอาศัยอยู่ในบ้านของคำแท้โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน และไม่มีการกำหนดระยะเวลาแต่อย่างใด เมื่อน้ำผึ้งเข้าอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าว น้ำผึ้งได้ต่อเติมห้องใหม่ขึ้นอีกหนึ่งห้องเพื่อใช้เป็นห้องนอนโดยไม่ได้บอกกล่าวคำแท้แต่อย่างใด
ต่อมาอีก 1 ปี คำแท้ถึงแก่ความตาย คำนางบุตรของคำแท้ได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินพร้อมกับบ้านหลังดังกล่าวในฐานะทายาทโดยธรรม ต่อจากนั้นคำนางได้ทำสัญญาและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ขายที่ดินพร้อมบ้านหลังนั้นให้กับแสงดาว โดยแสงดาวไม่รู้เรื่องสัญญาระหว่างคำแท้กับน้ำผึ้งมาก่อน หลังจากนั้นแสงดาวได้แจ้งให้น้ำผึ้งออกไปจากบ้านหลังนี้ น้ำผึ้งจึงอ้างสิทธิตามสัญญาที่ตนทำไว้กับคำแท้
ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าแสงดาวจะให้น้ำผึ้งออกไปจากบ้านหลังดังกล่าวได้หรือไม่ และถ้าน้ำผึ้งต้องย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้จริงๆ น้ำผึ้งจะเรียกให้แสงดาวชดใช้เงินเป็นค่าต่อเติมห้องนอนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 144 ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่แห่งทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย ทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป
เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น
มาตรา 146 ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย
มาตรา 1299 ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่า การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่
วินิจฉัย
การที่คำแท้กับน้ำผึ้งทำสัญญากันเอง โดยคำแท้อนุญาตให้น้ำผึ้งอาศัยอยู่ในบ้านของคำแท้โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน และไม่มีการกำหนดระยะเวลาแต่อย่างใดนั้น ถือว่าน้ำผึ้งเป็นผู้มีสิทธิอาศัยในโรงเรียนของคำแท้ อันเป็นการได้มาซึ่งสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม แต่เนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมดังกล่าวจึงไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ และไม่ผูกพันถึงบุคคลภายนอกแต่อย่างใด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง
ส่วนกรณีที่น้ำผึ้งต่อเติมห้องใหม่ขึ้นอีกห้องหนึ่งเพื่อใช้เป็นห้องนอนโดยไม่ได้บอกกล่าวคำแท้แต่อย่างใดนั้น ห้องที่ต่อเติมนี้ถือเป็นส่วนควบของบ้าน เพราะเป็นสารถสำคัญในการเป็นอยู่ของบ้าน และไม่สามารถแยกออกจากกันได้นอกจากจะทำลาย ทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 144 วรรคหนึ่ง และไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 146 เพราะไม่ใช่ทรัพย์ที่ติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราว และการกระทำของน้ำผึ้งก็ไม่ได้รับความยินยอมจากคำแท้แต่อย่างใด คำแท้เจ้าของบ้านจึงเป็นเจ้าของห้องที่ต่อเติมขึ้นด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 144 วรรคสอง
เมื่อคำแท้ถึงแก่ความตาย คำนางบุตรของคำแท้ได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินพร้อมบ้านหลังดังกล่าวในฐานะทายาทโดยธรรม แล้วคำนางได้ทำสัญญาและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ขายที่ดินพร้อมบ้านหลังนั้นให้กับแสงดาว โดยแสงดาวไม่รู้เรื่องสัญญาระหว่างคำแท้กับน้ำผึ้งมาก่อน เช่นนี้ นิติกรรมระหว่างคำแท้กับน้ำผึ้งจึงไม่ผูกพันแสงดาวซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแต่อย่างใด
ดังนั้น แสงดาวจึงให้น้ำผึ้งออกไปจากบ้านของตนได้ และน้ำผึ้งไม่สามารถเรียกให้แสงดาวชดใช้เงินค่าต่อเติมห้องนอนแต่อย่างใด
ข้อ 2 นายดำกับนายขาวเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเดียวกัน ต่อมาทั้งสองได้ปลูกบ้านลงในที่ดินคนละหลัง หลังจากนั้นได้ไปทำการแบ่งโฉนดออกเป็นสองแปลง โดยแบ่งจากพื้นที่คนละครึ่ง เมื่อแบ่งแล้วปรากฏว่าชายคาบ้านของนายดำรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายขาว ส่วนถังส้วมซีเมนต์ของบ้านนายขาวก็รุกล้ำไปอยู่ในเขตที่ดินของนายดำ นายดำและนายขาวต่างก็เรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำเข้ามาออกไปเสีย แต่ก็ไม่มีใครยอมรื้อ ทั้งสองจึงไปพบทนายความเพื่อขอคำแนะนำ
หากท่านเป็นทนายความ จงให้คำแนะนำแก่นายดำและนายขาวโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบาย
ธงคำตอบ
มาตรา 4 วรรคสอง เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป
มาตรา 1312 วรรคแรก บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้นและจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้
วินิจฉัย
กรณีตามปัญหาเป็นเรื่องการสร้างโรงเรือนรุกล้ำในที่ดินของผู้อื่น ซึ่งข้อเท็จจริงมิใช่กรณีของมาตรา 1312 เพราะเพราะเป็นการสร้างโรงเรือนก่อนมีการแบ่งโฉนดออกเป็น 2 แลง แต่แม้จะไม่มีกฎหมายบังคับมาตรา 4 วรรคสอง ได้วางหลักของการอุดช่องว่างกฎหมายให้ใช้หลักกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง นั่นก็คือใช้มาตรา 1312
การสร้างโรงเรือนของนายดำและนายขาวเป็นการสร้างที่สุจริต เพราะขณะก่อสร้างต่างฝ่ายต่างไม่รู้แนวเขตที่ดินจะอยู่แนวใด ดังนั้น สำหรับชายคาบ้านของนายดำที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายขาว ชายคาบ้านเป็นส่วนควบของโรงเรือน นายดำจึงไม่ต้องรื้อถอนชายคาที่รุกล้ำ แต่ต้องเสียเงินให้แก่นายขาวเป็นค่าใช้ที่ดินและนายขาวต้องไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่นายดำ
ส่วนถังส้วมซีเมนต์ของนายขาวรุกล้ำมาในที่ดินของนายดำ เนื่องจากถังส้วมซีเมนต์ไม่ใช่ส่วนควบของโรงเรือน นายขาวจึงต้องรื้อถอนถังส้วมให้ออกมาจากที่ดินของนายดำ
ข้อ 3 นายหนึ่ง นายสอง และนายสามมีอาชีพทำการเกษตรเหมือนกัน และมีที่ดินอยู่ติดกัน เมื่อหลายีมาแล้วทั้งนายหนึ่ง นายสอง และนายสามได้ร่วมกันออกเงินคนละเท่าๆกัน ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งเพื่อขุดบ่อนำน้ำมาใช้ทำการเกษตรร่วมกัน และยังร่วมกันออกเงินเท่าๆกันซื้อเครื่องสูบน้ำไว้ใช้ร่วมกันหนึ่งเครื่อง ต่อมานายสามได้ขายที่ดินของตนให้นายดำ จึงต้องการจะขอแบ่งกรรมสิทธิ์ร่วมโดยนำที่ดินที่สร้างบ่อออกขายเพื่อนำเงินของตนที่ออกไปคืนมา และยังนำเครื่องสูบน้ำที่ร่วมกันซื้อเครื่องนั้นไปให้นายดำเช่าโดยทั้งนายหนึ่งและนายสองไม่ทราบ
ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมอธิบายว่า นายหนึ่งและนายสองจะเรียกคืนเครื่องสูบน้ำจากนายดำได้หรือไม่ และนายสามจะขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 1359 เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ อาจใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก
มาตรา 1361 เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ จะจำหน่ายส่วนของตน หรือจำนอง หรือก่อให้เกิดภารติดพันก็ได้
แต่ตัวทรัพย์สินนั้นจะจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อให้เกิดภารติดพันได้ ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน
มาตรา 1363 วรรคหนึ่ง เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้ เว้นแต่จะมีนิติกรรมขัดอยู่ หรือถ้าวัตถุที่ประสงค์ที่เป็นเจ้าของรวมกันนั้นมีลักษณะเป็นการถาวร ก็เรียกให้แบ่งไม่ได้
วินิจฉัย
นายหนึ่ง นายสอง และนายสาม มีอาชีพทำการเกษตรเหมือนกัน และมีที่ดินอยู่ติดกันเมื่อหลายปีมาแล้วทั้งนายหนึ่ง นายสอง และนายสาม ได้ร่วมกันออกเงินคนละเท่าๆกัน ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งเพื่อขุดบ่อนำน้ำมาใช้ทำการเกษตรร่วมกัน และยังร่วมกันออกเงินเท่าๆกัน ซื้อเครื่องสูบน้ำไว้ใช้ร่วมกันหนึ่งเครื่อง ต่อมานายสามได้ขายที่ดินของตนให้นายดำ จึงต้องการจะขอแบ่งกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินที่สร้างบ่อน้ำไม่ได้เพราะวัตถุประสงค์ในการใช้น้ำในบ่อร่วมกันเป็นการถาวรตามมาตรา 1363 วรรคหนึ่งส่วนเครื่องสูบน้ำที่ร่วมกันซื้อเครื่องนั้นนายสามไปให้นายดำเช่าโดยทั้งนายหนึ่งและนายสองไม่ทราบสัญญาเช่าจึงไม่ผูกพันตัวทรัพย์ ตามมาตรา 1361 วรรคสอง นายหนึ่งและนายสองจะเรียกคืนเครื่องสูบน้ำจากนายดำได้ตามมาตรา 1359
ข้อ 4 นายฟ้าเช่าที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของนายฝนทำการเกษตรและปลูกบ้านอยู่มาหลายปีโดยได้จ่ายค่าเช่าทุกเดือนให้นายฝน เมื่อนายฝนตายนายฟ้าทราบเรื่องจึงตั้งใจจะยึดเอาที่ดินแปลงนี้เป็นของตน และประกอบกับก็ไม่มีใครมาเก็บค่าเช่าจากนายฟ้าจนกระทั่งเวลาผ่านไป 6 เดือนหลังจากนายฝนตาย ซึ่งนายฟ้าคิดว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของตนแล้ว นายน้ำบุตรชายนายฝนได้รับมรดกที่ดินแปลงนี้จากนายฝน ได้มาทวงค่าเช่าที่นายฟ้าค้างทั้งหมด แต่นายฟ้าปฏิเสธและบอกกับนายน้ำว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของตน ตนจึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่าให้ใคร เมื่อนายฟ้าปฏิเสธไม่ยอมจ่ายค่าเช่าให้นายน้ำมาได้ 6 เดือน นายน้ำจึงต้องการฟ้องขับไล่นายฟ้าให้ออกไปจากที่ดินแลงนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่านายน้ำจะฟ้องขับไล่และเรียกคืนที่ดินแปลงนี้จากนายฟ้าได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 1375 ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า ซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้
การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง
มาตรา 1381 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่า ไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก
วินิจฉัย
นายฟ้าเช่าที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของนายฝนทำเกษตรและปลูกบ้านอยู่มาหลายปีโดยได้จ่ายค่าเช่าทุกเดือนให้นายฝน เมื่อนายฝนตายนายฟ้าทราบจึงตั้งใจที่จะยึดเอาที่ดินแปลงนี้เป็นของตน และประกอบกับก็ไม่มีใครมาเก็บค่าเช่าจากนายฟ้าจนกระทั่งเวลาผ่านไป 6 เดือน หลังจากนายฝนตาย ซึ่งนายฟ้าคิดว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของตนแล้ว นายน้ำบุตรชายนายฝนได้รับมรดกที่ดินแปลงนี้จากนายฝน ได้มาทวงค่าเช่าที่นายฟ้าค้างทั้งหมด แต่นายฟ้าปฏิเสธและบอกกับนายน้ำว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของตน นายฟ้าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแล้วตามมาตรา 1381 เมื่อนายฟ้าปฏิเสธไม่ยอมจ่ายค่าเช่าได้ 6 เดือน นายน้ำจึงต้องการฟ้องขับไล่นายฟ้าให้ออกไปจากที่ดินแปลงนี้ นายฟ้ายังเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแย่งการครอบครองจากนายน้ำได้เพียง 6 เดือน ยังไม่ครบ 1 ปี เพราเมื่อนายฝนตายแม้นายฟ้าไม่ได้ชำระค่าเช่าก็ยังไม่ถือว่านายฟ้าแย่งการครอบครองจากนายฝนหรือนายน้ำตามมาตรา 1381 นายน้ำจะฟ้องขับไล่และเรียกคืนที่ดินแปลงนี้จากนายฟ้าได้ ตามมาตรา 1375