การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ธงคำตอบ
มาตรา 154 การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ตนได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น
วินิจฉัย
เป็นเรื่องการแสดงเจตนาซ่อนเร้น ซึ่งมีหลักคือ การแสดงเจตนาไม่เป็นโมฆะ แม้ในใจจริงของผู้แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม
ข้อยกเว้น การแสดงเจตนานั้นจะตกเป็นโมฆะ ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายผู้รับการแสดงเจตนา) ได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงเจตนา ในขณะที่แสดงเจตนานั้น
ดังนั้น นิติกรรม อันเกิดจากการแสดงเจตนาซ่อนเร้นนั้นจะตกเป็นโมฆะหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าคู่ กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนเร้นของผู้แสดงเจตนาในขณะแสดงเจตนา นั้นหรือไม่ ถ้ารู้นิติกรรมนั้นก็ต้องตกเป็นโมฆะ แต่ถ้าไม่รู้นิติกรรมนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะ
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น การกระทำของแดงเป็นการแสดงเจตนาทำนิติกรรมในรูปสัญญาให้สลากกาชาดแก่ขาว ถึงแม้แดงอ้างว่าในใจจริงแล้วตนมิได้มีเจตนาจะให้สลากกาชาดนั้นแก่ขาวจริงๆ ก็ตาม การแสดงเจตนาของแดงไม่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 154 หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กฎหมายถือว่าการแสดงออกมาภายนอกสำคัญยิ่งกว่าเจตนาซ่อนอยู่ในใจนั่นเอง ดังนั้นสัญญาให้สลากกาชาดแก่ขาวเป็นอันสมบูรณ์
สรุป แดงไม่มีสิทธิเรียกสลากกาชาดคืนแก่ขาว
ข้อ 2 นางทองแดงเป็นหนี้เงินกู้นางทองเหลือง 2 ล้านบาท เมื่อครบกำหนดชำระหนี้ นางทองแดงได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้แก่นางทองเหลือง เมื่อนางทองเหลืองนำเช็คไปขึ้นเงิน แต่ถูกธนาคารปฏิเสธจ่ายเงินนางทองเหลืองจึงขู่นางทองแดงว่าจะแจ้ง ความต่อตำรวจให้ดำเนินคดีกับนางทองแดงตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอัน เกิดจากการใช้เช็ค ถ้านางทองแดงไม่ออกเช็คแก่นางทองเหลืองใหม่ ด้วยความกลัวนางทองแดงจึงได้สั่งจ่ายเช็คให้นางทองเหลืองใหม่ตามที่นางทองเหลืองต้องการ ดังนี้ การสั่งจ่ายเช็คของนางทองแดงดังกล่าวมีผลอย่างไรตามกฎหมาย เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 164 วรรคแรก “การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ”
มาตรา 165 วรรคแรก “การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่”
วินิจฉัย
จะเห็นได้ว่าโดยหลักแล้ว การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่หมายความว่า เป็นการใช้อำนาจบังคับจิตใจของบุคคล เพื่อให้เขาเกิดความกลัวแล้วแสดงเจตนาทำนิติกรรมออกมาตามที่ผู้ข่มขู่ต้องการ การแสดงเจตนานั้นตกเป็นโมฆะ แต่มีข้อยกเว้นว่า ถ้าเป็นการข่มขู่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วย่อมทำได้ ไม่ตกเป็นโมฆียะ เช่น การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ตามมาตรา 165 วรรคแรก ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิซึ่งตนมีอยู่อย่างที่ปกติคนทั่วไปเขาใช้กัน เช่น การใช้สิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ใช้หนี้ตน เป็นต้น
จากข้อเท็จจริง ปรากฏว่า การที่นางทองแดงเป็นหนี้นางทองเหลืองอยู่ 2 ล้านบาท เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ นางทองแดงได้สั่งจ่ายเช็คให้นางทองเหลืองไป แต่เช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงินจากธนาคาร นางทองเหลืองจึงขู่นางทองแดงให้ออกเช็คใหม่ มิฉะนั้นจะแจ้งความต่อตำรวจให้ดำเนินคดีกับนางทองแดงนั้น เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิโยชอบด้วยกฎหมายในฐานะเป็นเจ้าหนี้
เมื่อนางทองแดงสั่งจ่ายเช็คให้นางทองเหลืองใหม่ แม้จะเกิดจากความกลัวต่อการข่มขู่จากนางทองเหลืองก็ไม่เป็นการข่มขู่อันเป็นเหตุให้การสั่งจ่ายเช็คตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 164 แต่อย่างใด
สรุป การสั่งจ่ายเช็คของนางทองแดงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ เพราะการขู่ของนางทองเหลืองเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม
ข้อ 3 นายอาทิตย์ยืมเงินไปจากนายพุธจำนวน 2,000,000 บาท เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2540 โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาไว้ ต่อมาวันที่ 5 พฤศจิกายน 2549 นายพุธทวงถามให้นายอาทิตย์ชำระหนี้เงินยืมนั้น วันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 นายอาทิตย์นำเงินไปชำระให้นายพุธ 1,000,000 บาท หลังจากนั้นนายอาทิตย์ไม่เคยชำระหนี้ให้นายพุธอีกเลย จนถึงวันที่ 20 มีนาคม 2550 นายพุธจึงยื่นฟ้องให้นายอาทิตย์ชำระเงินยืมที่ค้างอยู่ 1,000,000 บาท นายอาทิตย์ให้การต่อสู้ว่าคดีที่นายพุธฟ้องขาดอายุความแล้ว ดังนี้ ข้อต่อสู้ของนายอาทิตย์ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 193/12 อายุความเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการอย่างใดเริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น
มาตรา 193/14 อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใดๆอันปราศจากข้อสงสัยให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง
มาตรา 193/15 เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น
มาตรา 193/30 อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี
มาตรา 203 วรรคแรก ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนโดยพลันดุจกัน
วินิจฉัย
การกู้ยืมเงินนั้นกฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
และเมื่อมีการกู้ยืมไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระคืนไว้ ผู้ให้กู้ยืมย่อมมีสิทธิเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลันตามมาตรา 203 วรรคแรก อายุความจึงเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป กล่าวคือ นับแต่วันกู้ยืมตามมาตรา 193/12
การที่นายอาทิตย์นำเงินบางส่วนไปชำระหนี้ให้นายพุธเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 ในขณะที่หนี้ยังไม่ขาดอายุความจึงเป็นการรับสภาพหนี้ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14(1)
เมื่ออายุความสะดุดหยุดลง จะต้องเริ่มนับอายุความใหม่นับแต่วันนั้นตามมาตรา 193/15 นายพุธยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2550 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ
สรุป ข้อต่อสู้ของนายอาทิตย์ฟังไม่ขึ้น
ข้อ 4 นายเอกไปหานายโทเจ้าของฟาร์มเพาะเลี้ยงสุนัขที่ตั้งอยู่บริเวณหุบเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ นายเอกได้ซื้อสุนัขพันธุ์บางแก้วที่นายโทได้เลี้ยงไว้เพื่อขายจำนวน 15 ตัว โดยนายเอกตกลงให้นายโทคัดเลือกสุนัขจากสุนัขที่นายโทเลี้ยงไว้ในฟาร์มของนายโทเท่านั้น โดยทั้งคู่นัดจะมาคัดเลือกและรับสุนัขจำนวนดังกล่าวในอีกสามวันข้างหน้า ในคืนนั้นเกิดฝนตกหนักมากติดต่อกันเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดโคลนถล่มทับสุนัขในฟาร์มตายทั้งหมด โชคดีที่นายโทรอดชีวิตอย่างหวุดหวิด นายโทจึงไม่สามารถส่งมอบสุนัขพันธุ์บางแก้วจำนวนดังกล่าวให้นายเอกได้ ถ้าต่อมานายโทมาเรียกให้นายเอกชำระราคาค่าสุนัขโดยอ้างว่า “การที่สุนัขตายนั้นมิใช่ความผิดของตน ตนจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามสัญญา” ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเอกจะต้องชำระราคาค่าสุนัขดังกล่าวให้แก่นายโทหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 370 วรรคแรก ถ้าสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพย์ สิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่งและทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่าง หนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้ ท่านว่า การสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้
มาตรา 372 วรรคแรก นอกจากกรณีที่กล่าวไว้ในสองมาตราก่อน ถ้าการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าลูกหนี้หามีสิทธิจะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่
วินิจฉัย
การที่นายเอกซื้อสุนัขพันธุ์บางแก้วที่นายโทเพาะเลี้ยงไว้ในฟาร์มเพื่อขายจำนวน 15 ตัว โดยตกลงให้นายโทคัดเลือกสุนัขให้จากสุนัขในฟาร์มของตน และจะนัดมาคัดเลือกและรับสุนัขอีกสามวันข้างหน้านั้น แสองว่า นายโทลูกหนี้ยังมิได้คัดเลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบยังไม่ถือว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่มีวัตถุประสงค์เป็นการโอนทรัพย์เฉพาะสิ่ง (คือทรัพย์ที่ระบุไว้เป็นที่ชัดเจนและแน่นอนแล้ว) กรณีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับตามมาตรา 370 วรรคแรก ความสูญหรือเสียหาย จึงไม่ตกเป็นพับแก่นายเอกเจ้าหนี้ ดังนั้น การที่นายโทไม่สามารถส่งมอบสุนัขให้นายเอกได้ตามสัญญาเพราะในคืนวันนั้นเกิดโคลนถล่มทับสุนัขที่เลี้ยงไว้ตายทั้งหมด นายโทไม่มีสุนัขดังกล่าวส่งมอบให้แก่นายเอกอีกต่อไป ซึ่งถือได้ว่าเป็นกรณีการชำระหนี้ของนายโทตกเป็นพ้นวิสัย เพราะเหตุอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้ นายโทไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตอบแทนตามมาตรา 372 วรรคแรก
สรุป นายเอกจึงไม่ต้องชำระค่าสุนัขดังกล่าวให้แก่นายโทแต่อย่างใด