การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2547
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 แดงสมรู้กับเขียวทำสัญญากันหลอกๆว่าแดงขายรถยนต์คันหนึ่งของตนให้แก่เขียว ในราคา 500,000 บาท แดงได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่เขียว แต่มิได้ชำระราคากันจริง หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนเขียวเอารถยนต์คันนั้นไปให้โดยเสน่หาแก่ขาวโดยขาวไม่ทราบว่าแดงและเขียวได้ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กันไว้หลอกๆ ต่อมาอีกสิบวันขาวขับรถยนต์คันนั้นโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์ชนเสาไฟฟ้า รถพังยับเยิน ขาวต้องเสียค่าซ่อมรถยนต์ไปเป็นเงิน 100,000 บาท
แดงทราบเรื่องจึงบอกให้ขาวส่งรถยนต์คืนแก่ตนโดยอ้างว่าตนมิได้ขายรถยนต์ให้แก่เขียวจริงๆ รถยนต์ยังเป็นของตน ขาวไม่ยอมคืนรถยนต์ให้แก่แดงโดยอ้างว่าตนกระทำการโดยสุจริตและได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่าซ่อมรถยนต์ไปเป็นเงินจำนวนมากถึง 100,000 บาท แดงจึงฟ้องเรียกรถยนต์คืนจากขาว ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ขาวต้องคืนรถยนต์ให้แก่แดงหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 155 วรรคหนึ่ง การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก ผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้
วินิจฉัย
แดงและเขียวสมรู้กันแสดงเจตนาลวงว่าแดงขายรถยนต์ให้แก่เขียว การแสดงเจตนาลวงว่าแดงและเขียวซื้อขายรถยนต์กันดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ รถยนต์ยังคงเป็นของแดง
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กฎหมายคุ้มครองบุคคลภายนอกมิให้ต้องเสียหาย ทั้งนี้บุคคลภายนอกนั้นต้องกระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขาวซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้รับรถยนต์จากการให้โดยเสน่หาของเขียว โดยขาวไม่ทราบว่าแดงและเขียวได้ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กันไว้หลอกๆ ถือได้ว่าขาวกระทำการโดยสุจริต แต่การที่ขาวต้องเสียค่าซ่อมรถยนต์ไปเป็นเงิน 100,000 บาทนั้น เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของขาวเอง มิใช่เกิดขึ้นจากการเจตนาลวงแดงและเขียว ขาวจึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมาย
สรุป ขาวจึงต้องคืนรถยนต์ให้แก่แดง
ข้อ 2 นายสมบัติต้องการซื้อแจกันลายครามโบราณ จึงไปหาซื้อที่ร้านของนายสมบูรณ์ นายสมบัติเห็นแจกันลายครามโบราณใบหนึ่งสวยงามดี จึงถามนายสมบูรณ์ว่า “แจกันใบนี้ราคาเท่าไร มีตำหนิหรือไม่” นายสมบูรณ์ตอบว่า “แจกันใบนี้ไม่มีตำหนิ ราคา 10,000 บาท” นายสมบัติหลงเชื่อตามคำตอบของนายสมบูรณ์ว่าแจกันใบนั้นไม่มีตำหนิ จึงต่อรองราคา ในที่สุดได้ตกลงซื้อแจกันใบนั้นในราคา 8,000 บาท
เมื่อนายสมบัตินำแจกันกลับไปถึงบ้านของตน นายสมบัติได้ตรวจดูแจกันอย่างละเอียดโดยใช้เลนส์ขยายส่องดู จึงพบว่าแจกันใบนั้นมีรอยร้าวเล็กน้อยซึ่งมองด้วยตาเปล่าเกือบไม่เห็น ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ความว่าถึงแม้นายสมบัติรู้ว่าแจกันใบนั้นมีรอยร้าว นายสมบัติก็ซื้อ แต่จะซื้อในราคาท้องตลาดทั่วไปสำหรับแจกันชนิดนั้นมีรอยร้าวเช่นนั้น คือ 5,000 บาท
ในกรณีดังกล่าวนี้ นายสมบัติจะบอกล้างสัญญาซื้อขายแจกันหรือเรียกร้องอะไรจากนายสมบูรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 161 ถ้ากลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่คู่กรณีฝ่ายนั้นจะยอมรับโดยปกติ คู่กรณีฝ่ายนั้นจะบอกล้างการนั้นหาได้ไม่ แต่ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้
วินิจฉัย
เป็นกรณีที่นายสมบูรณ์ผู้ขายแจกันทำกลฉ้อฉลลวงนายสมบัติผู้ซื้อแจกัน อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ความว่าถึงแม้นายสมบัติรู้ว่าแจกันใบนั้นมีรอยร้าว นายสมบัติก็ซื้อแจกันใบนั้น แต่จะซื้อในราคาท้องตลาดทั่วไปสำหรับแจกันชนิดนั้นที่มีรอยร้าวเช่นนั้น คือ 5,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาที่นายสมบัติได้ตกลงซื้อไปเนื่องจากถูกกลฉ้อฉล คือ 8,000 บาท กรณี จึงเป็นเรื่องที่นายสมบัติแสดงเจตนาทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลซึ่งเป็น แต่เพียงเหตุจูงใจให้ยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่นายสมบัติจะยอมรับโดย ปกติ ดังนั้นนายสมบัติจะบอกล้างสัญญาซื้อขายแจกันนั้นเสียทีเดียวหาได้ไม่ แต่นายสมบัติชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากกลฉ้อฉลนั้นได้ ซึ่งได้แก่การที่นายสมบัติหลงซื้อแจกันใบนั้นแพงไป 3,000 บาท
ข้อ 3 นาย ข. กู้เงินจากธนาคาร ก. จำนวน 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 บาทต่อปี กำหนดชำระคืนภายใน 3 ปี นับแต่วันทำสัญญา เมื่อถึงกำหนดชำระเงินคืน นาย ข. ไม่นำเงินไปชำระแก่ธนาคาร ก. ต่อมาอีก 2 เดือน หลังจากวันที่ถึงกำหนดชำระเงินคืน นาย ค. ผู้จัดการธนาคาร ก. มีจดหมายทวงถามให้นาย ข. ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 2,420,000 บาท นาย ข. จึงไปพบนาย ค. และพูดยอมรับว่าตนเป็นลูกหนี้ธนาคาร ก. เป็นเงิน 2,420,000 จริง แต่ขอผัดผ่อนการชำระหนี้ออกไปอีก 4 เดือน เช่นนี้ การกระทำของนาย ข. เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 193/14 อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใดๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง
วินิจฉัย
เมื่อนาย ค ผู้จัดการธนาคาร ก มีจดหมายทวงถามให้นาย ข ชำระหนี้ นาย ข ได้ไปพบนาย ค และพูดยอมรับว่าตนเป็นลุกหนี้ธนาคาร ก เป็นเงิน 2,420,000 บาท จริง แต่ขอผัดผ่อนการชำระหนี้ออกไปอีก 4 เดือน การกระทำของนาย ข ลูกหนี้เช่นนี้มิใช่การทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ และยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำใดๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง ดังนั้น การกระทำของนาย ข จึงไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง
ข้อ 4 ก. คำเสนอ คืออะไร การแสดงเจตนาอันจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะอย่างไร ให้อธิบายโดยสังเขป
ข. นายสุเทพซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ส่งจดหมายเสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนแก่นางสมศรี ซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ราคา 3 ล้านบาท โดยมิได้กำหนดไปด้วยว่าถ้านางสมศรีต้องการซื้อจะต้องตอบมาภายในวันเวลาใด เช่นนี้ นายสุเทพจะถอนคำเสนอขายบ้านดังกล่าวได้หรือไม่ เมื่อใด เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
ก คำเสนอ คือ นิติกรรมฝ่ายเดียวชนิดที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา เกิดขึ้นโดยบุคคลฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาต่อบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งแจ้งให้ทราบว่า ตนมีความประสงค์จะผูกพันตนทำสัญญาด้วยในประการใดและขอให้บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งนั้นร่วมทำสัญญาด้วยตามที่ตนเสนอไปนั้น
การแสดงเจตนาอันจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะ 2 ประการคือ
(1) เป็นข้อความชัดเจนและแน่นอน
(2) มีความมุ่งหมายว่า ถ้ามีคำสนองสัญญาเกิดขึ้นทันที
ข
มาตรา 355 บุคคลทำคำเสนอไปยังผู้อื่นซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทางและมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง จะถอนคำเสนอของตนเสียภายในเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองนั้น ท่านว่าหาอาจจะถอนได้ไม่
วินิจฉัย
นายสุเทพซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ส่งจดหมายเสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนแก่นางสมศรีซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โยมิได้บ่งระยะเวลาสำหรับทำคำสนอง ในกรณีเช่นนี้นายสุเทพจะถอนคำเสนอภายในเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองหาได้ไม่
เวลาอันควรคาดหมายจะได้รับคำบอกกล่าวสนอง พิจารณาได้จากระยะเวลาในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างนายสุเทพกับนางสมศรี กล่าวคือ ตามปกติการส่งจดหมายจากกรุงเทพมหานครไปถึงผู้รับซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ใช้เวลาประมาณ 3 วัน ให้เวลานางสมศรีคิดตรึกตรองตัดสินใจ 1 วัน และเมื่อนางสมศรีส่งจดหมายตอบมาถึงนายสุเทพใช้เวลาอีกประมาณ 3 วัน รวมเป็นเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองในกรณีนี้คือประมาณ 7 วัน นับแต่วันที่นายสุเทพส่งจดหมายเสนอขายบ้านแก่นางสมศรี
ดังนั้น นายสุเทพจะถอนคำเสนอขายบ้านภายในเวลาประมาณ 7 วัน นับแต่วันที่นายสุเทพส่งจดหมายเสนอขายบ้านดังกล่าวแก่นางสมศรีมิได้