การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LW 203 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข .นายสมบัติซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ส่งจดหมายโดยทางไปรษณีย์เสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนซึ่งอยู่ในกรุงเทพ มหานครให้แก่นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในราคาห้าล้านบาท หลังจากส่งจดหมายไปแล้ว 5 วัน
นายสมบัติถูกศาลแพ่งสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ นายอาทิตย์ได้ทราบข่าวว่านายสมบัติถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว แต่อยากได้บ้านหลังนั้น นายอาทิตย์จึงเขียนจดหมายส่งทางไปรษณีย์สนองตอบตกลงซื้อบ้านส่งไปให้นายสมบัติ ณ ที่อยู่ของนายสมบัติ นางสมศรีซึ่งเป็นผู้อนุบาลของนายสมบัติได้รับจดหมายดังกล่าวไว้ ดังนี้สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายสมบัติกับนายอาทิตย์เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
ก. มาตรา 169 วรรคสอง การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตาย หรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
อธิบาย หลักกฎหมายดังกล่าวนี้เป็นหลักทั่วไปของผลในกฎหมายกรณีแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า เมื่อผู้แสดงเจตนาได้ส่งการแสดงเจตนาไปแล้ว หลังจากนั้นผู้แสดงเจตนา
(1) ตาย
(2) ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือ
(3) ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถกฎหมายบัญญัติไว้เป็นหลักทั่วไปว่า การแสดงเจตานั้นไม่เสื่อมเสียไป ยังคงมีผลสมบูรณ์
ข. มาตรา 360 บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสองนั้น ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหากว่า…ก่อนจะสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่า ผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถวินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ปรากฏว่าก่อนที่นายอาทิตย์จะทำคำสนองตอบตกลงซื้อบ้านของนายสมบัติ นายอาทิตย์ได้รู้อยู่แล้วว่านายสมบัติถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว กรณีต้องตามข้อยกเว้นในมาตรา 360 ซึ่งมิให้นำบทบัญญัติมาตรา 169 วรรคสอง มาใช้บังคับ จึงมีผลให้การแสดงเจตนาเสนอขายบ้านของนายสมบัติเป็นอันเสื่อมเสียไป
กรณีดังกล่าวนี้จึงไม่มีคำเสนอของนายสมบัติ มีแต่เพียงคำสนองของนายอาทิตย์ ถึงแม้นางสมศรีผู้อนุบาลของนายสมบัติได้รับจดหมายำสนองของนายอาทิตย์ไว้ สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายสมบัติกับนายอาทิตย์ก็ไม่เกิดขึ้น
สรุป สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายสมบัติกับนายอาทิตย์ไม่เกิดขึ้น
ข้อ 2 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2541 นาย ก. คนไร้ความสามารถได้ให้แหวนเพชรหนัก 1 กะรัต แก่นาย ข. หลังจากนั้นอีก 6 ปี นาย ก. หายจากอาการวิกลจริต ผู้อนุบาลได้ร้องขอและศาลได้สั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้นาย ก. เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 31 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2551 นาย ก. จำได้ว่าตนได้ให้แหวนเพชรแก่นาย ข. ประสงค์จะบอกล้างโมฆียกรรมนี้ จึงมาปรึกษาให้ท่านแนะนำนาย ก. ให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย
ธงคำตอบ
มาตรา 179 วรรคสอง บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ จะให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมต่อเมื่อได้รู้เห็นซึ่งโมฆียกรรมนั้น ภายหลังที่บุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว
มาตรา 181 โมฆียะกรรมนั้น จะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้หรือเมื่อพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น
วินิจฉัย
กำหนดการบอกล้างโมฆียะกรรม ตามมาตรา 181 นั้น จะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ ซึ่งกำหนดเวลาดังกล่าวนั้น ในกรณี นาย ก. คนไร้ความสามารถคือ วันที่ 1 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่นาย ก. ได้รู้เห็น(จำได้ว่า) ซึ่งโมฆียกรรมนั้น หลังจากที่ศาลได้สั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้วเมื่อประมาณ 4 ปี ที่ผ่านมาตามมาตรา 179 วรรคสอง
แต่อย่างไรก็ตาม เวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้นั้นต้องไม่เกดินเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น ซึ่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นวันที่ครบสิบปีพอดี
ข้าพเจ้าจะแนะนำให้นาย ก. ต้องใช้สิทธิบอกล้างในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ถ้าเกินกว่านั้นจะพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำโมฆียะกรรมขึ้น
สรุป นาย ก. ต้องใช้สิทธิบอกล้างภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2551
ข้อ 3 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2548 นายเฉลิมได้ซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากร้านของนายเกษม จำนวน 3 เครื่องเป็นเงิน 250,000 บาท โดยตกลงจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่ 10 มีนาคม 2548 เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายเฉลิมไม่นำเงินมาชำระ นายเกษมได้ทวงถามตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 1 มีนาคม 2550 ซึ่งเหลือเวลาอีก 9 วันจะครบกำหนดอายุความ 2 ปี นายเกษมได้นำคดีมาฟ้องศาลเรียกเงินค่าซื้อของเชื่อ ต่อมาวันที่ 7 มีนาคม 2550 นายเฉลิมได้ไปขอร้องให้นายเกษมถอนฟ้องและได้ทำหนังสือให้นายเกษมไว้ 1 ฉบับ มีใจความยอมรับว่าเป็นหนี้นายเกษมจริงและจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่ 10 เมษายน 2550 นายเกษมจึงไปถอนฟ้องคดีครั้นถึงกำหนดนายเฉลิมไม่นำเงินมาชำระให้ตามที่ตกลงกันไว้ นายเกษมจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 30 กันยายน 2551 นายเฉลิมต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว เพราะนายเกษมถอนฟ้องอายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง
ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายเฉลิมฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
หมายเหตุ “มาตรา 193/34 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ ให้มีกำหนดอายุความสองปี
(1) ผู้ประกอบการค้า…เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ”ธงคำตอบ
มาตรา 193/14 อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้…
(2) เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดี… เพื่อให้ชำระหนี้มาตรา 193/17 วรรคแรก ในกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงเพราะเหตุตามาตรา 193/14(2) หากคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้อง… ให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง
วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ นายเฉลิมได้ซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากร้านของนายเกษมเป็นเงินจำนวน 250,000 บาท โดยตกลงจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่ 10 มีนาคม 2548 เมื่อหนี้ถึงกำหนด นายเฉลิมไม่นำเงินมาชำระจนกระทั่งวันที่ 1 มีนาคม 2550 ซึ่งเหลือเวลาอีก 9 วัน จะครบกำหนดอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34(1) นายเกษมได้นำคดีมาฟ้องศาลจึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามมาตรา 193/14(2) แต่ปรากฏว่า คดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะนายเกษมไปถอนฟ้องคดีให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ตามมาตรา 193/17 วรรคแรก อายุความจึงนับต่อไป ในวันที่ 7 มีนาคม 2550 นายเกษมได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่นายเกษม 1 ฉบับ จึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามมาตรา 193/14(1) อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2550 และจะครบ 2 ปี ในวันที่ 7 มีนาคม 2552 นายเกษมได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 30 กันยายน 2551 คดีจึงไม่ขาดอายุความ
สรุป นายเฉลิมต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว เพราะนายเกษมถอนฟ้องอายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง ข้อต่อสู้ของนายเฉลิมจึงฟังไม่ขึ้น
ข้อ 4 นายอู่ทองตกลงขายรถยนต์กระบะคันหนึ่งให้แก่นายพิชัย 800,000 บาท โดยนายพิชัยได้ชำระเงินค่ารถยนต์เป็นเงินสด จำนวน 200,000 บาท ในวันทำสัญญานายอู่ทองได้ส่งมอบรถยนต์กระบะคันดังกล่าวซึ่งตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้แก่นายพิชัยแล้ว แต่เนื่องจากรถยนต์กระบะของนายอู่ทองยังผ่อนชำระกับนายดุสิตไม่หมด นายอู่ทองจึงยังไม่ได้รับโอนทะเบียนรถยนต์กระบะคันดังกล่าวจากนายดุสิตแต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกำหนดเงื่อนไขให้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังนายพิชัยจนกว่านายอู่ทองจะผ่อนชำระราคารถยนต์กับนายดุสิตจนหมด และได้รับโอนทะเบียนรถยนต์กระบะเรียบร้อยแล้ว
ในระหว่างนั้นปรากฏว่า ได้เกิดเพลิงไหม้ในบริเวณชุมชนใกล้เคียงกับบ้านของนายพิชัย แล้วเพลิงได้ลุกลามมาไหม้บ้านของนายพิชัยเสียหายหมดทั้งหลัง รวมทั้งรถยนต์กระบะที่นายพิชัยได้รับมอบไว้ด้วย จนรถยนต์กระบะคันดังกล่าวไม่สามารถใช้การได้เลย
ดังนี้ นายอู่ทองจะมีสิทธิเรียกให้นายพิชัยชำระราคารถยนต์กระบะส่วนที่เหลือให้แก่นายอู่ทองหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 370 วรรคแรก ถ้าสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพย์ สิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่งและทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่าง หนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้ ท่านว่า การสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้
มาตรา 371 วรรคแรก บทบัญญัติที่กล่าวมาในมาตราก่อนนี้ ท่าน มิให้ใช้บังคับถ้าเป็นสัญญาต่างตอบแทนมีเงื่อนไขบังคับก่อนและทรัพย์อันเป็น วัตถุแห่งสัญญานั้นสูญหรือทำลายลงในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ
วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ การทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กระบะระหว่างนายอู่ทองและนายพิชัยเป็นการทำ สัญญาต่างตอบแทนซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการโอนทรัพย์สิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่ง เมื่อ ปรากฏว่ารถยนต์ที่นายพิชัยได้ครอบครองไว้ถูกไฟไหม้เสียหายหมดโดยไฟลุกลามมา จากชุมชนในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านของนายพิชัยด้วยเหตุอันโทษใครไม่ได้ ก่อนที่นายอู่ทองจะผ่อนชำระราคารถยนต์กับนายดุสิตจนหมด และได้รับโอนทะเบียนรถยนต์กระบะเรียบร้อยแล้ว ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ทรัพย์นั้นสูญหรือถูกทำลายลงในระหว่างเงื่อนไขยังไม่สำเร็จ กรณีนี้จะนำบทบัญญัติของมาตรา 370 มาใช้บังคับไม่ได้ การสูญหรือเสียหายนั้นหาตกเป็นพับแก่นายพิชัยหรือเจ้าหนี้ไม่
หากแต่นายอู่ทองลูกหนี้ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายต้องเป็นผู้รับผลแห่งภัยพิบัติเอง นายอู่ทองจึงหามีสิทธิเรียกให้นายพิชัยชำระราคาค่ารถยนต์กระบะส่วนที่เหลืออยู่ได้ไม่ ตามมาตรา 371 วรรคแรก อีกทั้งกรณีนี้ไม่จำต้องอ้างมาตรา 372 ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนอื่นด้วย
สรุป นายอู่ทองไม่มีสิทธิเรียกให้นายพิชัยชำระราคารถยนต์กระบะส่วนที่เหลือให้แก่นายอู่ทอง