การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา 2554 

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003

Advertisement

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ   ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน

ข้อ  1  นายโฉดทราบว่านายธรรมต้องการเช่าพระสมเด็จวัดกระดิ่งองค์หนึ่ง  จึงบอกกับนายธรรมว่า  นายเฉยมีพระองค์ที่นายธรรมต้องการเช่า  และตนสามารถนัดหมายให้นายเฉยมาพบกับนายธรรมเพื่อทำสัญญาเช่าพระดังกล่าวได้  แต่แท้จริงแล้วนายโฉดทราบว่าพระที่นายเฉยเป็นเจ้าของเป็นพระที่ทำขึ้นเลียนแบบพระสมเด็จวัดกระดิ่งเท่านั้น

นายธรรมได้ไปติดต่อขอดูพระของนายเฉยแล้วเห็นว่าเป็นพระที่สวยงาม  เชื่อว่าเป็นพระสมเด็จวัดกระดิ่งที่แท้จริง  จึงเช่ามาในราคา  1  ล้านบาท  โดยนายเฉยไม่ทราบว่านายโฉดบอกกับนายธรรมว่าพระของตนเป็นพระสมเด็จวัดกระดิ่งที่แท้จริง  ต่อมา  นายธรรมทราบว่าพระที่ตนเช่ามาไม่ใช่พระสมเด็จวัดกระดิ่ง  แต่เป็นพระเลียนแบบ  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าสัญญาเช่าพระดังกล่าวมีผลอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  157  การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน  เป็นโมฆียะ

ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง  ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ  ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว  การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น

มาตรา  159  การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ

การที่กลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง  จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น

ถ้าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก  การแสดงเจตนานั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายธรรมได้ทำนิติกรรมโดยการทำสัญญาเช่าพระกับนายเฉย  เพราะหลงเชื่อข้อเท็จจริงตามที่นายโฉดกล่าวอ้างว่าพระของนายเฉยเป็นพระสมเด็จวัดกระดิ่งที่แท้จริง  จึงถือว่านายธรรมได้ทำนิติกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉล  และเป็นกลฉ้อฉลที่ถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว  นายธรรมก็คงจะมิได้ทำสัญญาเช่าพระองค์นั้น  ตามมาตรา  159  วรรคแรกและวรรคสอง

และตามอุทาหรณ์เมื่อกลฉ้อฉลนั้น  เป็นกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก  ซึ่งตามกฎหมายนิติกรรมจะตกเป็นโมฆียะ  ก็ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้นด้วย  ตามมาตรา  159  วรรคสาม  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายเฉยไม่ทราบถึงกลฉ้อฉลดังกล่าว  ดังนั้นสัญญาเช่าพระระหว่างนายธรรมกับนายเฉยจึงไม่ตกเป็นโมฆียะเพราะถูกกลฉ้อฉล

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อต่อมานายธรรมทราบว่า  พระที่ตนเช่ามาไม่ใช่พระสมเด็จวัดกระดิ่ง  แต่เป็นพระเลียนแบบ  ซึ่งถ้าตนได้ทราบตั้งแต่แรกก็คงจะไม่ทำสัญญาเช่าพระองค์นี้แน่นอน  ดังนั้นนายธรรมสามารถอ้างได้ว่านิติกรรมดังกล่าวได้เกิดขึ้นเพราะตนได้สำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สิน  ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม  นิติกรรมในรูปของสัญญาเช่าพระดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา  157

สรุป  สัญญาเช่าพระดังกล่าวมีผลเป็นโมฆียะ  เพราะเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดตามมาตรา  157

 


ข้อ  2  จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  176  วรรคสาม  บัญญัติว่า  “ถ้าบุคคลใดได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าการใดเป็นโมฆียะ  เมื่อบอกล้างแล้วให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าเป็นโมฆียะ”  ถามว่า  ท่านเข้าใจว่าอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

ตามบทบัญญัติมาตรา  176  วรรคสองดังกล่าว  แยกพิจารณาได้ดังนี้

(ก)  คำว่า  บุคคลใด ในมาตรา  176  วรรคสองนี้  นอกจากหมายความถึงคู่กรณีแห่งนิติกรรมฝ่ายที่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายชดใช้ให้แทนแล้ว  ยังหมายความรวมถึงบุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการที่นิติกรรมตกเป็นโมฆียะด้วย

(ข)   มาตรา  176  วรรคสอง  เป็นบทบัญญัติที่ใช้เป็นหลักในการพิจารณาเกี่ยวกับ  “ดอกผล”  เมื่อมีการบอกล้างโมฆียะกรรมซึ่งมีผลทำให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม  หากปรากฏว่าทรัพย์ที่จะต้องคืนเกิดดอกผลมา  ดอกผลนั้นจะตกเป็นของฝ่ายใด  ตามหลักเกณฑ์เรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในดอกผล  ซึ่งตาม  ป.พ.พ. มาตรา  415  บัญญัติว่า

“บุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต  ย่อมจะได้ดอกผลอันเกิดแต่ทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่”

ดังนั้นถ้าบุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้ตามโมฆียะกรรมโดยไม่รู้และไม่ควรจะได้รู้ว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะ  บุคคลนั้นย่อมอยู่ในฐานะ  “สุจริต”  เมื่อมีการบอกล้างโมฆียะกรรม  บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิได้ดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่ได้รับไว้นั้น

แต่ถ้าบุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้ตามโมฆียะกรรมโดยรู้ว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะ  บุคคลนั้นย่อมอยู่ในฐานะ  “ไม่สุจริต”  เมื่อมีการบอกล้างโมฆียะกรรม  บุคคลนั้นย่อมไม่มีสิทธิได้ดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่ได้รับไว้นั้น

สำหรับบุคคลภายนอกนั้น  กฎหมายได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิของบุคคลภายนอกไว้ในมาตรา  1329  กล่าวคือ  ถ้าบุคคลภายนอกเป็นผู้ได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตนั้น  สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมมิเสียไป  ถึงแม้ว่าผู้โอนทรัพย์สินให้จะได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยนิติกรรมอันเป็นโมฆียะ  และนิติกรรมนั้นได้ถูกบอกล้างภายหลัง

 


ข้อ  3  เมื่อวันที่  10  มีนาคม  2543  นายอาทิตย์ได้ทำสัญญากู้เงินจากนายจันทร์เป็นจำนวนเงิน  
200,000  บาท  มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่  10  มีนาคม  2544  เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายอาทิตย์ไม่นำเงินมาชำระ  นายจันทร์ได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมาจนกระทั่งวันที่  5  มกราคม  2554  นายจันทร์ได้เขียนหนังสือไปทวงเงินดังกล่าวจากนายอาทิตย์  ต่อมาวันที่  9  กุมภาพันธ์  2554  

นายอาทิตย์ได้นำเงินไปชำระให้แก่นายจันทร์เป็นเงินจำนวน  5,000  บาท  แต่หลังจากนั้นนายอาทิตย์ก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย  นายจันทร์จึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่  6  มีนาคม  2555  นายอาทิตย์ต่อสู้ว่า  คดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่  10  มีนาคม  2554  แต่นายจันทร์อ้างว่ายังไม่ขาดอายุความ  เพราะอายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่  9  กุมภาพันธ์  2554  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของนายอาทิตย์ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  193/14  อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้  ชำระหนี้ให้บางส่วน  ชำระดอกเบี้ย  ให้ประกัน  หรือกระทำการใดๆ  อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง

มาตรา  193/15  เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว  ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ

เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด  ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น

มาตรา  193/30  อายุความนั้น  ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นายอาทิตย์ได้ทำสัญญากู้เงินจากนายจันทร์เป็นเงินจำนวน  200,000  บาท  โดยมีกำหนดชำระคืนภายในวันที่  10  มีนาคม  2544  เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายอาทิตย์ไม่นำเงินมาชำระ  อายุความจึงเริ่มต้นนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่  11  มีนาคม  2544  และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ  จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา  193/30  คืออายุความ  10  ปีมาใช้บังคับ  ดังนั้นกรณีนี้อายุความ  10  ปี  จะครบกำหนดในวันที่  10  มีนาคม  2544

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่  9  กุมภาพันธ์  2554  นายอาทิตย์ได้นำเงินไปชำระให้แก่นายจันทร์เป็นจำนวน  5,000  บาท  การกระทำของนายอาทิตย์ถือว่าเป็นการชำระหนี้บางส่วนตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  193/14(1)  ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่  9  กุมภาพันธ์  2554  และให้เริ่มต้นนับอายุความใหม่อีก  10  ปี  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  193/15  ดังนั้นอายุความ  10  ปี  จะครบกำหนดในวันที่  9  กุมภาพันธ์  2564  เมื่อนายจันทร์นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่  6  มีนาคม  2555  คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ  ข้อต่อสู้ของนายอาทิตย์ที่ว่า  คดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่  10  มีนาคม  2554  จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายอาทิตย์ที่ต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้วฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  4

(ก)    คำเสนอคืออะไร  การแสดงเจตนาซึ่งจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะอย่างไร  ให้อธิบายโดยสังเขป

(ข)   เมื่อวันที่  1  มีนาคม  2555  นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี  ส่งจดหมายโดยทางไปรษณีย์เสนอขายม้าแข่งตัวหนึ่งของตนแก่นายจันทร์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา  ราคา  500,000  บาท  โดยมิได้รู้ว่าถ้านายจันทร์ต้องการซื้อม้าแข่งดังกล่าว  นายจันทร์ต้องตอบให้นายอาทิตย์ทราบภายในเมื่อใด  ต่อมาอีกสามวันนายอาทิตย์เปลี่ยนใจไม่ต้องการขายม้าแข่งตัวนั้น  นายอาทิตย์จะถอนคำเสนอขายม้าแข่งดังกล่าวได้หรือไม่  เมื่อใด  เพราะเหตุใดธงคำตอบ

(ก)  คำเสนอ  คือ  นิติกรรมฝ่ายเดียวชนิดที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา  เกิดขึ้นโดยบุคคลฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาต่อบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งแจ้งให้ทราบว่าตนมีความประสงค์จะผูกพันตนทำสัญญาด้วยในประการใด  และขอให้บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งนั้นร่วมทำสัญญาด้วยตามที่เสนอไปนั้นการแสดงเจตนาอันจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะดังนี้

(1) เป็นข้อความชัดเจนและแน่นอน

(2) มีความมุ่งหมายว่า  ถ้ามีคำสนอง  สัญญาเกิดขึ้นทันที 

(ข)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา  355  บุคคลทำคำเสนอไปยังผู้อื่นซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทางและมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง  จะถอนคำเสนอของตนเสียภายในเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองนั้น  ท่านว่าหาอาจจะถอนได้ไม่

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดชลบุรีส่งจดหมายเสนอขายม้าแข่งตัวหนึ่งของตนแก่นายจันทร์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา  โดยมิได้บ่งระยะเวลาสำหรับทำคำสนอง  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  355  นายอาทิตย์จะถอนคำเสนอของตนเสียภายในเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองหาได้ไม่

ซึ่ง  “เวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนอง”  นั้น  จะเป็นเวลานานเท่าใดพิจารณาได้จากระยะเวลาในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างนายอาทิตย์กับนายจันทร์  กล่าวคือ  ตามปกติการส่งจดหมายทางไปรษณีย์เสนอขายม้าแข่งจากจังหวัดชลบุรีไปยังผู้รับซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมานั้นจะใช้เวลาประมาณ  3  วัน  ให้เวลานายจันทร์คิดตรึกตรองตัดสินใจ  1  วัน  หากนายจันทร์ตัดสินใจซื้อม้าแข่งก็จะส่งจดหมายทางไปรษณีย์ตอบตกลงซื้อม้าแข่งนั้นไปยังนายอาทิตย์จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ  3  วัน  รวมเป็นเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำสนองในกรณีนี้  คือ  ประมาณ  7  วัน  นับแต่วันที่นายอาทิตย์เสนอขายม้าไปยังนายจันทร์

ดังนั้น  ในกรณีนี้นายอาทิตย์จะถอนคำเสนอขายม้าแข่งดังกล่าวได้ต่อเมื่อพ้นระยะเวลาประมาณ  7 วัน  นับแต่วันที่นายอาทิตย์ส่งจดหมายเสนอขายม้าแข่งไปยังนายจันทร์  นายอาทิตย์จะถอนคำเสนอนายม้าแข่งดังกล่าวเมื่อส่งจดหมายเสนอขายม้าไปยังนายจันทร์เพียง  3  วันไม่ได้

สรุป  นายอาทิตย์จะถอนคำเสนอขายม้าแข่งดังกล่าว  เมื่อส่งจดหมายเสนอขายม้าไปยังนายจันทร์เพียง  3  วันไม่ได้

Advertisement