การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 จงอธิบายถึงบ่อเกิดของกฎหมายเอกชนของไทยว่าได้แก่อะไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายมาพอสังเขป
ธงคำตอบ
บ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมายเอกชนไทยมีดังนี้ คือ
1 ศีลธรรม เป็นเหตุผลภายในซึ่งเกิดจากสติปัญญาความรู้สึกรับผิดชอบ
มนุษย์จะใช้เหตุผลความรู้สึกผิดชอบชั่วดีดังกล่าวมาปรับเข้ากับสถานการณ์หรือข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้น และศีลธรรมนั้นเมื่อมนุษย์ในสังคมได้ประพฤติปฏิบัติสม่ำเสมอ และติดต่อกันเป็นเวลานาน
2 จารีตประเพณี คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานาน โดยปกติแล้วขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นเป็นสิ่งที่มุ่งถึงการกระทำภายนอกของมนุษย์ เป็นกฎเกณฑ์ที่บังคับเอากับพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมา ซึ่งจารีตประเพณีนั้นในบางกรณีนำมาบัญญัติไวเป็นลายลักษณ์อักษร หรือมีการนำมาตัดสินโดยผู้พิพากษา หรือศาลนำมาใช้ในการตัดสินคดีก็เกิดเป็นกฎหมายขึ้นมาได้
จารีตประเพณีที่จะเป็นที่มาของกฎหมายนั้นจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานานและสม่ำเสมอจนกลายเป็นทางปฏิบัติหรือความเคยชิน หรือธรรมเนียม
(2) ประชาชนเห็นต้องกันว่า จารีตประเพณีเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และจะต้องปฏิบัติตามตัวอย่างจารีตประเพณีที่เป็นที่มาของกฎหมาย เช่น จารีตประเพณีที่ว่าบิดามารดาสามารถเฆี่ยนตีอบรมสั่งสอนบุตรได้ และบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดก เป็นต้น
3 ศาสนา คือ ข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาได้กำหนดขึ้น เพื่อให้มนุษย์ที่นับถือหรือศรัทธาในศาสนานั้นมีความเชื่อถือและบังคับตนเองให้ประพฤติปฏิบัติทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว การร่างกฎหมายจึงมีการนำเอาข้อห้ามของศาสนาต่างๆ มาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายเช่นเดียวกัน เช่น ข้อห้ามในศีล 5 ของศาสนาพุทธ อาทิห้ามประพฤติผิดในกาม ก็คล้ายกับบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ว่า การที่สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันสามีหรือภริยา เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถฟ้องหย่าได้ เป็นต้น
4 ความยุติธรรม ในทางนิติปรัชญา กฎหมายจีมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความยุติธรรมหรือความถูกต้องเป็นธรรม การออกกฎหมายจึงต้องสอดคล้องกับความยุติธรรมด้วยเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบกฎหมายจารีตประเพณี เช่น ศาลในประเทศอังกฤษก็ได้มีการนำเอาหลักความยุติธรรมที่เรียกว่า อิควิตี้ (Equity) มาใช้ในการแก้ไขเยียวยาและอุดช่องว่างของกฎหมาย ในกรณีที่ไม่สามารถนำเอาจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาในคดีก่อนๆมาตัดสินให้เกิดความเป็นธรรมได้
ตัวอย่างเช่น ลูกหนี้ผิดสัญญาไม่ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย ในระบบกฎหมายจารีตประเพณี การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจากลูกหนี้นั้น มีจารีตประเพณีและคำพิพากษาของศาลอนุญาตให้เรียกค่าเสียหายที่เป็นจำนวนเงินได้เท่านั้น การที่จะมาฟ้องร้องเพื่อบังคับชำระหนี้ที่ไม่ได้เป็นจำนวนเงินนั้น ไม่มีจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาขิงศาลให้ทำได้ หากเจ้าหนี้ไม่ต้องการฟ้องเรียกเอาค่าเสียหาย แต่ต้องการตัวบ้าน ซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา ก็อาจจะเกิดความไม่เป็นธรรมได้ ดังนั้นศาลก็อาจจะนำเอาหลักความยุติธรรมซึ่งศาลได้คิดขึ้นมา นำมาใช้ตัดสินคดีนั้นๆได้ โดยอนุญาตให้มีการฟ้องร้องเรียกให้ชำระหนี้ที่เป็นการกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ คือ ให้ลูกหนี้ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จได้ เป็นต้น
5 คำพิพากษาของศาล ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law ) เช่น อังกฤษ มีการนำเอาคำพิพากษาที่ได้ตัดสินคดีเรื่องใดเรื่องหนึ่งเอาไว้แล้วมา เป็นบรรทัดฐานหรือแบบอย่างที่ศาลต่อๆมาต้องผูกพันตัดสินเป็นอย่างเดียวกัน จึงถือได้ว่าคำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายจารีตประเพณีก็คือบ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมาย
ส่วนประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน ไทย ฯลฯ จะถือว่าคำพิพากษาของศาลเป็นเพียงการนำเอาตัวบทกฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น ไม่มีผลผูกพันศาลอื่นที่จะต้องพิพากษาเป็นอย่างเดียวกัน คำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงไม่ใช่บ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมาย
6 ความคิดเห็นของปราชญ์ ซึ่งอาจจะเป็นนักทฤษฎี นักวิชาการ หรืออาจจะเป็นอาจารย์ที่สอนกฎหมายอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้มีการแสดงความคิดเห็นโต้แย้งเกี่ยวกับตัวบทกฎหมาย หรือคำวินิจฉัยของศาลซึ่งเคยตัดสินเอาไว้ ก็อาจนำเอาความคิดเห็นเหล่านั้นใช้เป็นหลักกฎหมายได้
ตัวอย่างเช่น กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้เคยมีความเห็นว่า การที่คนไทยพกพาอาวุธไปตามถนนหลวง ซึ่งแต่ก่อนไม่เป็นความผิดอาญา น่าจะมีบทบัญญัติห้ามมิให้กระทำการอย่างนั้นได้ต่อไปอีกต่อมาเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา ก็ได้นำข้อห้ามในการถืออาวุธมาใส่ไว้ในกฎหมายอาญาด้วย เป็นต้น
7 ข้อตกลงระหว่างประเทศ เมื่อประเทศต่างๆ มาทำความตกลงหรือทำสนธิสัญญากันแล้ว ก็จะมีทำให้ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญานั้นจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นมีผลใช้บังคับเทียบเท่ากฎหมายเลยทีเดียว
ข้อ 2 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ในวันที่ 1 มกราคม 2550 นายไก่ซึ่งมีอาชีพเป็นกัปตันเรือสำราญฟ้าสีครามได้ออกเรือเพื่อไปเกาะกง ในวันนั้นเองระหว่างเดินทางเกิดพายุเรืออับปาง ทำให้มีคนบาดเจ็บ ล้มตาย สูญหายไปเป็นจำนวนมาก ในวันที่ 15 มกราคม 2550 นางไข่ได้รับโทรศัพท์จากนายไก่เล่าว่าพลัดไปติดเกาะของประเทศเพื่อนบ้านแต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ไหน หลังจากวันนั้นนางไข่และใครๆก็ไม่พบเห็นตัวและไม่ได้รับข่าวจากนายไก่อีกเลย
1) นางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
2) การหายไปของนายไก่เป็นการสาบสูญในกรณีใด จะครบกำหนดเมื่อใด และนางไข่จะไปร้องขอต่อศาลได้เมื่อใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 61 ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา 5 ปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้
ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ 2 ปี
(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป
(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น
วินิจฉัย
การที่ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญ ตามมาตรา 61 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ
1 ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
2 ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี สำหรับกรณีสาบสูญธรรมดา ตามวรรคแรก หรือ 2 ปี สำหรับกรณีสาบสูญพิเศษในเหตุการณ์ที่ระบุไว้ในวรรคสอง (1) – (3)
3 ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล
4 ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญจากหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ถ้าบุคคลใดหายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ โดยไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือไม่มีใครได้รับข่างคราวประการใดเลย เป็นเวลาติดต่อกันตามที่กฎหมายกำหนด ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการอาจร้องขอต่อศาลให้ศาลสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้
กรณีตามอุทาหรณ์
1 นางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ เห็นว่า บุคคลที่จะร้องขอต่อศาลให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นพนักงานอัยการ เมื่อนายไก่และนางไข่เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย นางไข่จึงมีฐานะเป็นคู่สมรสอันถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอต่อศาลให้สั่งนายไก่สามีเป็นคนสาบสูญได้2 กรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นการสาบสูญกรณีพิเศษ ตามมาตรา 61 วรรคสอง ทั้งนี้เนื่องจากข้อเท็จ จริงแม้จะเป็นเรื่องที่นายไก่เดินทางไปกับเรือซึ่งเป็นยานพาหนะที่บุคคลนั้น เดินทางแล้วเรือเกิดอับปางลงแต่นายไก่ก็มิได้หายไปเพราะเหตุที่เรืออับปาง ดังกล่าว เพราะข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าในวันที่ 15 มกราคม 2550 นายไก่ยังสามารถติดต่อกับนางไข่ได้อยู่ ดังนั้นการที่นายไก่หายไปจึงเป็นการสาบสูญกรณีธรรมดา ตามมาตรา 61 วรรคแรก
เมื่อเป็นการสาบสูญกรณีธรรมดา การนับระยะเวลาจึงต้องนับจากวันที่บุคคลนั้นไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือนับจากวันที่ได้ข่าวคราวของบุคคลนั้นเป็นครั้งหลังสุด ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 15 มกราคม 2550 นางไข่ยังสามารถติดต่อกับนายไก่ได้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นหรือได้รับข่าวคราวของนายไก่อีกเลย ระยะเวลา 5 ปี จึงต้องนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป กรณีนี้จึงครบกำหนด 5 ปี ในวันที่ 15 มกราคม 2555
ดังนั้น หากนางไข่จะไปร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญ นางไข่จึงร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
สรุป
1 นางไข่ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้ เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
2 เป็นการสาบสูญกรณีธรรมดา จะครบกำหนด 5 ปี ในวันที่ 15 มกราคม 2555 นางไข่จึงไปร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
ข้อ 3 บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด
1) ขาว อายุย่างเข้า 15 ปี ทำพินัยกรรมยกเงิน 1 ล้านบาทให้แก่มูลนิธิชัยพัฒนา เมื่อตนถึงแก่ความตาย พินัยกรรมที่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร
2) นายเขียวคนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากนางเหลืองผู้อนุบาลให้ไปซื้อรถจักรยานยนต์ราคา 4 หมื่นบาทจากร้านนายแดง สัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายเขียวและนายแดงมีผลในทางกฎหมายอย่างไร
3) แสดคนวิกลจริตซื้อรถยนต์จากม่วงในขณะกำลังวิกลจริต แต่ม่วงไม่ทราบว่าแสดวิกลจริต สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างแสดและม่วงมีผลในทางกฎหมายอย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 25 ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์
มาตรา 29 การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ
มาตรา 30 การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต
มาตรา 1703 พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ
วินิจฉัย
1 ตามมาตรา 25 นั้น ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมเลย ตามมาตรา 1703 ดังนั้นการที่ขาวผู้เยาว์อายุย่าง 15 ปี ทำพินัยกรรมยกเงิน 1 ล้านให้มูลนิธิชัยพัฒนาเมื่อตนถึงแก่ความตาย ขาวจึงไม่สามารถทำได้ ตามมาตรา 25 พินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1703
2 คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ ย่อมตกเป็นโมฆียะทั้งสิ้น ต้องให้ผู้อนุบาลเป็นผู้ทำการแทน การที่นายเขียวคนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากนางเหลืองผู้อนุบาลให้ไปซื้อรถจักรยานยนต์ราคา 4 หมื่นบาท จากร้านของนายแดง สัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายเขียวและนายแดงย่อมตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 29 แม้ผู้อนุบาลจะให้ความยินยอมหรืออนุญาตก็ตาม3 สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างแสดและม่วงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ทั้งนี้เพราะนิติกรรมใดๆที่บุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต ดังนั้นในกรณีนี้ แม้แสดคนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถจะทำสัญญาซื้อรถยนต์จากม่วงในขณะจริตวิกลอยู่ก็ตาม แต่เมื่อม่วงซึ่งเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ว่าแสดเป็นคนวิกลจริต สัญญาซื้อขายรถยนต์จึงมีผลสมบูรณ์ตามกำหมาย ไม่เป็นโมฆียะ ตามมาตรา 30 แต่อย่างใด
สรุป
1 พินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ
2 สัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายเขียวและนายแดงมีผลเป็นโมฆียะ
3 สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างแสดและม่วงสมบูรณ์ตามกฎหมาย