การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 จงอธิบายว่าหลักกฎหมายทั่วไปคืออะไร และหลักกฎหมายทั่วไปสามารถนำมาใช้อุดช่องว่างของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมายทั่วไปคือหลักกฎหมายที่เป็นพื้นฐานหรือเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปที่เป็นโครงสร้างของกฎหมาย กฎหมายจะบัญญัติขึ้นจากหลักเกณฑ์ทั่วไปเหล่านี้ หลักกฎหมายทั่วไปแบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ
1 หลักกฎหมายทั่วไปในระบบกฎหมายไทย เช่น หลักกฎหมายโรมันซึ่งได้นำมาบัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น หลักสุจริต หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ฯลฯ
2 หลักกฎหมายทั่วไปในระบบกฎหมายอื่น เช่น การขนส่งทางทะเลซึ่งนำหลักมาจากประเทศอังกฤษ เป็นต้น
หลักเกณฑ์การอุดช่องว่างของกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง “เมื่อไม่มีกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้นให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”
ดังนั้น หลักกฎหมายทั่วไปอาจนำมาอุดช่องว่างของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาปรับกับคดีที่เกิดขึ้นได้ และยังไม่มีหลักจารีตประเพณีและบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งที่จะนำมาปรับกับคดีได้อีกด้วย ศาลจึงอาจนำหลักกฎหมายทั่วไปดังกล่าวข้างต้นมาตัดสินคดีได้โดยการนำมาอุดช่องว่างของกฎหมายนั่นเอง
ข้อ 2 จงบอกประเภทของกิจการที่ผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ไม่มีอำนาจกระทำได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากศาลก่อน มาให้ถูกต้องและครบถ้วน
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 5 “ผู้จัดการทรัพย์สินมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับตัวแทนผู้รับมอบอำนาจทั่วไปตามมาตรา 801 และมาตรา 802 ถ้าผู้จัดการทรัพย์สินเห็นเป็นการจำเป็นจะต้องทำการอันใดอันหนึ่งเกินขอบอำนาจต้องขออนุญาตต่อศาล และเมื่อศาลสั่งอนุญาตแล้วจึงจะกระทำการนั้นได้”
มาตรา 801 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไป ท่านว่าจะทำกิจใดๆในทางจัดการแทนตัวการก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง
แต่การเช่นอย่างจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่ คือ
1) ขายหรือจำนองอสังหาริมทรัพย์
2) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์กว่าสามปีขึ้นไป
3) ให้
4) ประนีประนอมยอมความ
5) ยื่นฟ้องต่อศาล
6) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณาตามหลักกฎหมายเรื่องตัวแทนเกี่ยวกับผู้รับมอบอำนาจทั่วไป ซึ่งหมายความรวมถึงผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ด้วยนั้น ตามปกติผู้จัดการทรัพย์สินมีสิทธิจัดการทรัพย์สินแทนผู้ไม่อยู่ได้ ทุกประการยกเว้นกิจการบางอย่างที่ต้องขออนุญาตต่อศาลก่อนจึงจะมีสิทธิทำได้ ตามมาตรา 801 ประกอบกับมาตรา 54
ดังนั้น กิจการของผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ไม่มีอำนาจกระทำได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากศาลก่อน คือ
1 ขายหรือจำนองอสังหาริมทรัพย์
2 ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์กว่าสามปีขึ้นไป
3 ให้
4 ประนีประนอมยอมความ
5 ยื่นฟ้องต่อศาล
6 มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา
ข้อ 3 นายโชคดีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ เป็นคนวิกลจริต ให้นายโชคช่วยเช่าบ้านของตนเป็นเวลา 1 ปีในราคา ปีละ 500 บาท และในขณะตกลงทำสัญญาเช่าบ้านนั้น นายโชคดีไม่มีอาการวิกลจริตแต่อย่างใด ส่วนนายโชคช่วยนั้นทราบมาก่อนแล้วว่านายโชคดีเป็นคนวิกลจริต หลังจากนั้นไม่นานนายโชคดีอาการหนักขึ้นจนมารดาต้องไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายโชคดีเป็นคนไร้ความสามารถ โดยมีมารดาเป็นผู้อนุบาล มารดานายโชคดีสงสารลูกชายมากจึงอนุญาตให้นายโชคดีไปซื้อเครื่องเสียงราคา 20,000 บาท โดยลำพังเพื่อปลอบใจนายโชคดีที่มีคำสั่งศาลให้เป็นคนไร้ความสามารถ
อยากทราบว่าการทำสัญญาเช่าบ้านและการซื้อเครื่องเสียงของนายโชคดีมีผลในกฎหมายอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 30 “การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”
มาตรา 29 “การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”
วินิจฉัย ตามอุทาหรณ์
1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 30 การทำนิติกรรมของคนวิกลจริตจะมีผลเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อ
1) ได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นมีอาการจริตวิกล
2) คู่กรณีอีกฝ่ายรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต ซึ่งการที่นิติกรรมจะมีผลเป็นโมฆียะจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขหรือองค์ประกอบทั้ง 2 ข้อดังกล่าวจะขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ แต่ตามอุทาหรณ์นี้นายโชคดีทำนิติกรรม คือ สัญญาเช่าบ้านในขณะที่ไม่มีอาการจริตวิกล แต่นายโชคช่วยก็ทราบดีว่านายโชคดีเป็นคนวิกลจริต ดังนั้นสัญญาเช่าบ้านจึงมีผลสมบูรณ์ทุกประการ
2 ตามอุทาหรณ์ นายโชคดีเมื่อมีคำสั่งศาลให้เป็นคนไร้ความสามารถโดยมีมารดาเป็นผู้อนุบาลแล้วนั้น การไปทำสัญญาซื้อเครื่องเสียงตามลำพังแม้จะได้รับคำยินยอมจากผู้อนุบาลแล้วก็ตาม นิติกรรมที่ทำขึ้นคือการซื้อเครื่องเสียงราคา 20,000 บาท ก็มีผลเป็นโมฆียะเสมอ เพราะคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆไม่ได้เลย ต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน ถ้าฝ่าฝืนย่อมตกเป็นโมฆียะดังนั้น การทำสัญญาเช่าบ้านของนายโชคดีมีผลสมบูรณ์ แต่การทำสัญญาซื้อเครื่องเสียงของนายโชคดีมีผลเป็นโมฆียะ