การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2548
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3ข้อ
ข้อ 1 จงอธิบายว่าประเทศไทยใช้กฎหมายระบบใด พร้อมบอกลักษณะสำคัญของกฎหมายมาให้ถูกต้องและครบถ้วนด้วย
ธงคำตอบ
ประเทศไทยชะระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Law)
ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้จะอยู่ในรูปของประมวลกฎหมาย ซึ่งประเทศที่ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรจะต้องมีการจัดทำเป็นประมวลกฎหมายขึ้น โดยเฉพาะในทางกฎหมายแพ่งนั้นใช้ระบบกฎหมาย “Civil Law” มาจากภาษาลาตินของโรมันว่า “Jus Civile” โดยกษัตริย์โรมันชื่อ Justinian ได้ทรงรวบรวมกฎหมายประเพณี ซึ่งบันทึกไว้ในกฎหมายสิบสองโต๊ะ รวมทั้งรวบรวมนักกฎหมายในสมัยพระองค์ช่วยกันบัญญัติออกมาเป็นรูปกฎหมาย Civil Law ขึ้น มีชื่อว่า “Corpus Juris Civilis” ซึ่งต่อมาฝรั่งเศสและเยอรมันได้นำเอากฎหมายนี้มาจัดทำเป็นประมวลกฎหมายแพ่ง (Civil Code) ขึ้น จนเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก หรือที่เรียกว่า Condifild Law นั่นเอง
ประมวลกฎหมายคือ กฎหมายที่ได้บัญญัติหรือตราขึ้น โดยรวบรวมเอาบทบัญญัติเกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่กระจัดกระจายกันอยู่ไม่เป็นระเบียบ เอามารวบรวมจัดให้เป็นหมวดหมู่วางหลักเกณฑ์ให้อยู่ในที่เดียวกัน และมีข้อความเกี่ยวเนื่องติดต่อกันอย่างเป็นระเบียบ
กฎหมายที่เป็นรูปประมวลกฎหมายหรือกฎหมายลายลักอักษรนี้ เป็นการพิจารณาหลักเกณฑ์ ทั่วไปมาสู่เรื่องเฉพาะเรื่อง คือ เอาบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปมาปรับด้วยเป็นรายๆไป ดังนั้นประเทศที่ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงต้องคำนึงถึงตัวบทเป็นสำคัญ ส่วนคำพิพากษาของศาลเป็นเพียงช่วยในการตีความในตัวบทของประมวลกฎหมายหรือพระราชบัญญัติเท่านั้น ไม่ใช่ที่มาของกฎหมายอย่างเช่นระบบ Common Law ซึ่งที่มาของประมวลกฎหมายต่างๆ ในระบบ Civil Law นี้จะมาจากกฎหมายโรมันอันเป็นต้นแบบนั้นเอง
และนอกจากนี้ กฎหมายของประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมายนี้ แยกกฎหมายออกเป็นกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน คือ ในส่วนที่เกี่ยวกับมหาชนก็มีศาลปกครอง และในส่วนที่เกี่ยวกับกฎหมายเอกชนก็มีศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาคดี ส่วนกฎหมายระบบ Common Law ไม่มีการแยกประเภทคดีทั้งทางมหาชนและเอกชนต้องพิจารณาในศาลยุติธรรมเพียงศาลเดียว
สำหรับลักษณะสำคัญของกฎหมายมีอยู่ 5 ประการ คือ
- กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดขึ้นจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐหรือของประเทศ โดยใช้อำนาจนิติบัญญัติสร้างกฎหมายขึ้นมาเป็นข้อบังคับแห่งกฎหมาย เรียกว่าเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Codified Law) หรือกฎหมายที่เป็นรูปประมวลกฎหมาย เช่นประเทศไทยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยความเห็นชอบของรัฐสภา เป็นต้น ฉะนั้นถ้าเป็นบุคคลธรรมดาด้วยกันเองแล้วย่อมไม่มีอำนาจที่จะออกข้อบังคับให้เป็นข้อกฎหมายใช้บังคับแก่คนทั่วไป
อนึ่ง ฝ่ายนิติบัญญัติอาจมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายได้เช่นกัน เช่น พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวง ซึ่งนับได้ว่าเป็นกฎหมายเช่นกัน
- กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไปกับทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้นๆ
คือ มิได้ทำขึ้นเพื่อให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดใช้โดยเฉพาะ หรือออกมาเพื่อกิจการอันหนึ่งอันใดโดยเฉพาะ แต่ใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไป และทุกสถานที่โดยเสมอภาค
- กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้เสมอไป คือ เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใดแล้ว ต้องใช้กฎหมายนั้นไปจนกว่าจะมีกฎหมายใหม่สำหรับเรื่องเดียวกันนั้นออกมา และให้ยกเลิกกฎหมายเก่าอันนั้นเสีย
4 กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม ข้อบังคับดังกล่าวนั้นอาจจะเป็นเรื่องให้กระทำการหรือเป็นเรื่องให้ละเว้นกระทำการก็ได้ ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษในทางอาญา5 กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมีได้ทั้งในทางอาญาและในทางแพ่ง
– สภาพบังคับในทางอาญา คือ “โทษ” นั่นเอง ซึ่งตามกฎหมายกำหนดไว้มี 5 ชนิด โดยเรียง จากโทษหนักที่สุดไปยังโทษเบาที่สุด ได้แก่ 1 ประหารชีวิต 2 จำคุก 3 กักขัง 4 ปรับ 5 ริบทรัพย์สิน
– สภาพบังคับในทางแพ่ง หรือความรับผิดในทางแพ่งนั้น คือ การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กัน ได้แก่ การคืนทรัพย์ การชดใช้ราคาแทนทรัพย์ และรวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายด้วย
ข้อ 2 ภูมิลำเนาหมายความว่าอย่างไร บุคคลใดบ้างที่กฎหมายกำหนดภูมิลำเนาได้ จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบพอสังเขป
ธงคำตอบ
ภูมิลำเนา หมายถึง แหล่งที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญของบุคคลธรรมดา
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 44 กำหนดให้บุคคลธรรมดาเลือกภูมิลำเนาได้โดยสมัครใจ ยกเว้นบุคคล 5 ประเภทที่กฎหมายได้กำหนดภูมิลำเนาให้ไว้ในมาตรา 43 ถึงมาตรา 47 ดังนี้ คือ
1 ภูมิลำเนาของสามีภรรยา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 43 บัญญัติว่า “ภูมิลำเนาของสามีภริยา ได้แก่ ถิ่นที่อยู่ที่สามีภริยาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา เว้นแต่สามีภริยาได้แสดงเจตนาให้ปรากฏว่ามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน” กฎหมายไม่ได้บังคับว่าสามีภริยาต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในที่เดียวกัน แต่ก็ไม่ต้องการทำลายสถาบันครอบครัว ถ้าสามีภริยาอยู่ด้วยกันภูมิลำเนาก็จะอยู่ ณ ที่นั้น เว้นแต่สามีภริยาได้แสดงเจตนาให้ปรากฏซึ่งเจตนานี้ไม่ต้องแสดงเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น กรณีสามีภริยาอยู่จังหวัดใกล้เคียงกัน จึงตกลงกันต่างคนต่างอยู่เป็นเพื่อนดูแลบิดามารดาของแต่ละฝ่าย และระหว่างนั้นต่างก็ไปเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกัน อย่างนี้ถือว่าภูมิลำเนาของสามีและภริยามีภูมิลำเนาคนละแห่ง
2 ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 44 บัญญัติว่า “ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ได้แก่ ภูมิลำเนาของผู้แทนโดยชอบธรรม ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครอง
ในกรณีผู้เยาว์อยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา ถ้าบิดามารดามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ได้แก่ภูมิลำเนาของบิดาหรือมารดาซึ่งตนอยู่ด้วย” ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ย่อมได้แก่ ภูมิลำเนาของผู้ใช้อำนาจปกครอง หรือผู้ปกครองเพื่อสอดคล้องกับหลักที่ว่าผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ แต่ถ้าบิดามารดาผู้เยาว์ต่างมีภูมิลำเนาคนละที่ ถ้าผู้เยาว์อยู่กับใครภูมิลำเนาของผู้เยาว์ก็จะอยู่ที่นั่นด้วย
และเนื่องจากผู้แทนโดยชอบธรรมคือ ผู้ใช้อำนาจปกครอง หรือผู้ปกครองนั้นยังเป็นผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลอุปการะเลี้ยงดูและจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ด้วย ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการควบคุมดูแลผู้เยาว์ กฎหมายจึงบัญญัติให้ผู้เยาว์ถือภูมิลำเนาของผู้แทนโดยชอบธรรมซึ่งได้แก่บิดามารดาของผู้เยาว์นั่นเอง เพราะบิดามารดาเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ถ้าบิดาหรือมารดาตาย อำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดา ถ้าบิดามารดาผู้เยาว์ตาย ศาลตั้งผู้ปกครองไปอยู่ในความปกครองของใคร ผู้เยาว์ย่อมถือเอาภูมิลำเนาของผู้นั้นเป็นภูมิลำเนาของตน กรณีผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมของใครก็ย่อมถือเอาภูมิลำเนาของผู้รับบุตรบุญธรรมนั้น
3 ภูมิลำเนาของคนไร้ความสามารถ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 45 บัญญัติว่า “ภูมิลำเนาของคนไร้ความสามารถ ได้แก่ ภูมิลำเนาของผู้อนุบาล” คนไร้ความสามารถนั้นคือ คนวิกลจริตที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ และศาลจะตั้งผู้ดูแลคนไร้ความสามารถซึ่งเรียกว่า “ผู้อนุบาล” (ป.พ.พ. มาตรา 28) และผู้อนุบาลต้องดูแลคนไร้ความสามารถทั้งในเรื่องส่วนตัว และในการจัดการทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถด้วย ดังนั้นกฎหมายในเรื่องภูมิลำเนาจึงบัญญัติให้ภูมิลำเนาของคนไร้ความสามรถคือภูมิลำเนาของผู้อนุบาลนั้นเอง4 ภูมิลำเนาของข้าราชการ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 46 บัญญัติว่า “ภูมิลำเนาของข้าราชการ ได้แก่ ถิ่นอันเป็นที่ทำการตามตำแหน่งหน้าที่ หากมิใช่เป็นตำแหน่งหน้าที่ชั่วคราว ชั่วระยะเวลาหรือเป็นเพียงแต่งตั้งไปเฉพาะการครั้งเดียวคราวเดียว” ข้อราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่ประจำ ณ ถิ่นใด ให้ถือว่ามีภูมิลำเนาอยู่ ณ ถิ่นนั้น ข้าราชการคือบุคคลที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่ให้รับใช้มหาชนไม่จำกัดว่าเป็นฝ่ายใด เช่น ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร หรือพนักงานเทศบาล ข้อสำคัญจะต้องอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ประจำ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้พิพากษา หรือนายด่านศุลกากรที่ไปประจำอยู่ในจังหวัด
5 ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 บัญญัติว่า “ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุก ตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่ เรือนจำ หรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว” มาตรนี้เป็นมาตราใหม่ที่เกิดจากการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ปี พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องเรื่องภูมิลำเนาของผู้ถูกจำคุกโดยนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาประกอบการพิจารณา และเห็นสมควรให้ถือสถานที่ที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัวนั้นเป็นภูมิลำเนาของบุคคลที่ถูกจำคุกด้วย
ข้อ 3 บุคคลต่อไปนี้จดทะเบียนสมรสได้หรือไม่ ถ้าจดทะเบียนสมรสต้องทำอย่างไร และจะเกิดผลทางกฎหมายอย่างไร
1 นายไก่อายุย่างเข้า 15 ปี กับนางสาวแดงอายุ 20 ปีบริบูรณ์
2 นายไข่อายุ 17 ปีบริบูรณ์ กับนางสาวเขียว อายุ 17 ปีบริบูรณ์เช่นกัน
3 นายขวดคนเสมือนไร้ความสามารถ
4 นายเป็ดคนวิกลจริต
5 นายห่านคนไร้ความสามารถ
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย
มาตรา 1454 ผู้เยาว์จะทำการสมรสให้นำความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม กล่าวคือ ผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม จึงจะทำการสมรสได้ การสมรสที่ผู้เยาว์ทำโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ
มาตรา 1448 การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้
มาตรา 1449 การสมรสจะกระทำมิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริต หรือเป็นบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
มาตรา 1495 การสมรสที่ฝ่าฝืน มาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ
มาตรา 1503 การสมรสเพราะเหตุว่าเป็นโมฆียะ มีเฉพาะในกรณีที่คู่สมรสทำการฝ่าฝืน มาตรา 1448
1 นายไก่อายุย่างเข้า 15 ปี กับนางสาวแดงอายุ 20 ปีบริบูรณ์ จะสมรสได้ต้องปฏิบัติตามมาตรา 1448 กล่าวคือ จะจดทะเยนสมรสก็ได้ถ้า
1) มีเหตุอันสมควร เช่น นางสาวแดงตั้งครรภ์
2) ได้รับอนุญาตจากศาล
3) จดทะเบียนสมรส การสมรสจึงจะสมบูรณ์2 นายไก่และนางสาวเขียว
1) ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
2) จดทะเบียนสมรส การสมรสจึงจะสมบูรณ์
ถ้าฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวผลโมฆียะ ตามมาตรา 1454
3 นายขวดคนเสมือนไร้ความสามารถไม่มีข้อห้ามในการจดทะเบียนสมรส การสมรสผลจึงสมบูรณ์
4 คนวิกลจริตสมรส ผลเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1449 มาตรา 1495
5 คนไร้ความสามารถสมรส ผลเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1449 มาตรา 1495