ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ก การตีความกฎหมายคืออะไร เหตุใดจึงต้องมีการตีความกฎหมาย
ข จงอธิบายถึงหลักในการตีความกฎหมายแพ่ง พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ
ธงคำตอบ
ก. การตีความกฎหมาย คือ การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนหรือกำกวมหรือมีความหมายได้หลายอย่าง เพื่อจะได้ทราบว่าถ้อยคำของกฎหมายนั้นมีความหมายอย่างไร เมื่อตีความกฎหมายได้แล้วก็จะได้นำเอากฎหมายไปปรับใช้ในการวินิจฉัยกับข้อเท็จจริงได้ต่อไป
หลักเกณฑ์ในการตีความกฎหมายแพ่ง มีหลักเช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง กล่าวคือ จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อมๆกัน จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น โดยเริ่มจาก
1 การตีความตัวอักษร ทั้งศัพท์ธรรมดาและศัพท์กฎหมาย เพื่อจะได้ทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน และ
2 การตีความตามเจตนารมณ์ เพื่อค้นหาความมุ่งหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไร เจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย จากถ้อยคำของบทบัญญัตินั้นๆ หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย รวมถึงจากรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนั้นๆด้วย
ตัวอย่างเช่น กฎหมายลักษณะมรดก มาตรา 1627 บัญญัติว่า “บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย” ซึ่งคำว่า “บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว” เป็นถ้อยคำของกฎหมายที่มีความหมายกำกวมไม่ชัดเจน กล่าวคือ ไม่แน่ชัดว่าจะใช้ความหมายอย่างแคบ ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยนิตินัย เช่น การจดทะเบียนรับรองบุตร หรือจะใช้ความหมายอย่างกว้าง ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยพฤตินัย เช่น การที่บิดาให้ใช้นามสกุล อุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาและเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปว่าเด็กเป็นบุตรของตน และเมื่อมีการตีความตามตัวอักษรประกอบกับความมุ่งหมาย หรือเจตนารมณ์ของกฎหมายลักษณะมรดกแล้ว จะเห็นได้ว่ากฎหมายมรดกมีความประสงค์ที่จะให้บุตรที่จะเป็นผู้สืบสันดานและมีสิทธิรับมรดกนั้น หมายถึง บุตรตามความเป็นจริง กล่าวคือ แม้จะเป็นบุตรนอกกฎหมาย แต่ถ้าหากบิดาได้รับรองโดยพฤตินัยแล้วก็มีสิทธิรับมรดกของบิดาได้เช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 2 นายจันทร์ได้จากภูมิลำเนาที่จังหวัดเชียงใหม่และไม่มีใครรู้แน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เป็นเวลา นาน 15 เดือนแล้ว ต่อมาศาลได้มีคำสั่งแต่งตั้งนายอังคารขึ้นเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่คือนายจันทร์ ตามคำร้องขอของผู้มีส่วนได้เสีย หลังจากนั้นไม่นานนายอังคารได้นำทรัพย์สินของนายจันทร์ คือ บ้านพร้อมที่ดินไปขายให้กับนายพุธในราคา 20 ล้านบาท เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่กองทรัพย์สินของนายจันทร์
ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า นายอังคารมีอำนาจกระทำการดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 48 วรรค 2 เมื่อเวลาได้ล่วงเลยไป 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ไม่อยู่นั้นไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีผู้ใดได้รับข่าวเกี่ยวกับบุคคลนั้นประการใดเลยก็ดี หรือหนึ่งปีนับแต่วันมีผู้ได้พบเห็น หรือได้ทราบข่าวมาเป็นครั้งหลังสุดก็ดี เมื่อบุคคลตามวรรคหนึ่งร้องขอ ศาลจะตั้งผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ขึ้นก็ได้
มาตรา 54 ผู้จัดการทรัพย์สินมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับตัวแทนผู้รับมอบอำนาจทั่วไป ตามมาตรา 801 และมาตรา 802
มาตรา 801 ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไป ท่านว่าจะทำกิจใดๆในทางจัดการแทนตัวการก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง
แต่การเช่นอย่างจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่ คือ
(1) ขายหรือจำนองอสังหาริมทรัพย์
(2) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์กว่าสามปีขึ้นไป
(3) ให้
(4) ประนีประนอมยอมความ
(5) ยื่นฟ้องต่อศาล
(6) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา
ตามปัญหา การที่ศาลได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอังคารเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของนายจันทร์ผู้ไม่อยู่ตามคำร้องขอของผู้มีส่วนได้เสียแล้ว นายอังคารย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่เสมือนเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 54 ประกอบกับมาตรา 801 ดังนั้นการที่นายอังคารได้นำบ้านพร้อมที่ดินของนายจันทร์ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ไปขายให้นายพุธ แม้จะเป็นประโยชน์แก่กองทรัพย์สินของนายจันทร์ก็ไม่อาจทำได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจกศาลก่อนเท่านั้น แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายอังคารได้ขออนุญาตต่อศาลก่อนแต่อย่างไร การกระทำของนายอังคารจึงขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 54 ประกอบกับมาตรา 801
สรุป นายอังคารไม่สามารถที่จะนำบ้านพร้อมที่ดินของนายจันทร์ไปขายให้กับนายพุธได้ ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
ข้อ 3 คนวิกลจริตและคนไร้ความสามารถคือใคร มีความสามารถเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ในการทำนิติกรรม จงอธิบาย
ธงคำตอบ
มาตรา 28 บุคคลวิกลจริตผู้ใด ถ้าคู่สมรส ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ ผู้ซึ่งดูแลปกครองบุคคลผู้นั้นอยู่ หรือพนักงานอัยการ ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถ ศาลจะสั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้ และบุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้นต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาล
มาตรา 30 “การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”
มาตรา 29 “การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”
จากหลักกฎหมายดังกล่าว คนวิกลจริตและคนไร้ความสามารถคือบุคคลที่มีลักษณะดังนี้ คือ
คนวิกลจริต หมายถึง บุคคลที่สมองพิการ คือ จิตไม่ปกติหรือบุคลที่มีกิริยาอาการไม่ปกติเพราะสติวิปลาส หรืออาจจะหมายความรวมถึงคนเจ็บป่วยทางจิตอย่างรุนแรง ทำให้มีกิริยาอาการผิดปกติจนถึงขนาดที่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบใดๆทั้งสิ้น
คนไร้ความสามารถ หมายถึง คนวิกลจริตดังกล่าวข้างต้นที่ได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้สามารถแล้ว โดยการที่ผู้มีส่วนได้เสีย กล่าวคือ คู่สมรส ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ หรือผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ หรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้คนวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถและศาลได้สั่งให้ตามคำขอ
ในการทำนิติกรรมของคนวิกลจริตและคนไร้ความสามารถนั้นจะมีความแตกต่างกันดังนี้
1 คนวิกลจริตที่ศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น สามารถทำนิติกรรมใดๆ ได้สมบูรณ์ เว้นแต่จะเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำนิติกรรมนั้นเป็นคนวิกลจริต ส่วนคนไร้ความสามารถนั้นจะทำนิติกรรมใดๆไม่ได้ นิติกรรมที่คนไร้ความสามารถได้กระทำลงนั้นจะตกเป็นโมฆียะ ดังนั้นจึงต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน
2 คนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ ส่วนคนวิกลจริตทำพินัยกรรม พินัยกรรมจะตกเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อสามารถพิสูจน์ได้ว่าได้ทำพินัยกรรมนั้นในขณะจริตวิกล
สำหรับการสมรสนั้น ไม่ว่าคู่สมรสจะได้ทำการสมรสในขณะที่เป็นคนวิกลจริตหรือเป็นคนไร้ความสามารถ การสมรสนั้นก็ตกเป็นโมฆะเหมือนกัน