การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 กฎหมายคืออะไร และต้องมีลักษณะเช่นใด อธิบาย
ธงคำตอบ
กฎหมาย คือ ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่มีต่อกันภายในองค์กรทางสังคมที่มนุษย์เป็นสมาชิกสังกัดอยู่ นอกจากนี้กฎหมายยังหมายรวมถึงกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับองค์กรทางสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่และในหมู่ประเทศที่มีอารยะด้วย ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของประเทศเหล่านั้น สำหรับกฎหมายในส่วนนี้ได้แก่ กฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง
สำหรับสิ่งที่เป็นกฎหมายต้องมีลักษณะ ดังนี้
1 กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐหรือของประเทศในการตรากฎหมาย
2 กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป คือ กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้ว ย่อมมีผลใช้บังคับกับบุคคลทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้นๆ อย่างเสมอภาค ไม่จำกัดเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้างในบางกรณี เช่น ในกรณีของทูต หรือกงสุลที่เข้ามาในประเทศไทย เป็นต้น
3 กฎหมายต้องใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก คือ เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใดแล้ว ตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิก กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับอยู่เสมอ ซึ่งการยกเลิกกฎหมายอาจเป็นการยกเลิกโดยบทบัญญัติของกฎหมายนั้นเอง หรือมีกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า หรือมีการยกเลิกโดยปริยาย เมื่อกฎหมายเก่าขัดกับกฎหมายใหม่
4 กฎหมายนั้นประชาชนจำต้องปฏิบัติตาม ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องให้กระทำการหรือเป็นเรื่องละเว้นกระทำการก็ได้ ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษ
5 กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมีได้ทั้งในอาญาและในทางแพ่ง
– สภาพบังคับในทางอาญา คือ “โทษ” นั่นเอง ซึ่งตามกฎหมายกำหนดไว้มี 5 ชนิด โดยเรียงจากโทษหนักที่สุดไปยังโทษเบาที่สุด ได้แก่ 1 ประหารชีวิต 2 จำคุก 3 กักขัง 4 ปรับ 5 ริบทรัพย์สิน
– สภาพบังคับในทางแพ่ง หรือความรับผิดในทางแพ่งนั้น คือ การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กัน ได้แก่ การคืนทรัพย์ การชดใช้ราคาแทนทรัพย์ และรวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายด้วย
ข้อ 2 นายสุจริตและนางซื่อสัตย์ เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้ออกเดินทางจาก กทม. เพื่อไปเที่ยวกับเพื่อนๆสมัยเรียนมหาวิทยาลัยในวันที่ 28 ก.ค. 2553 ต่อมาในตอนบ่ายของวันที่ 31 ก.ค. 2553 ขณะที่นายสุจริตและนางซื่อสัตย์ไปเที่ยวที่น้ำตกวังตะไคร้กับเพื่อนๆอย่างสนุกสนานอยู่นั้น เกิดน้ำป่าไหลหลากพัดพาคนทั้งสองและเพื่อนๆไปกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากทั้งหมด และในวันที่ 31 ก.ค. 2553 ตอนเย็นได้มีผู้พบศพนางซื่อสัตย์ แต่ไม่มีใครพบเห็นหรือได้ข่าวของนายสุจริตอีกเลย
อยากทราบว่า นายคนดีบุตรชายนายสุจริตและนางซื่อสัตย์ จะไปร้องขอให้บุคคลทั้งสองเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และเมื่อใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 61 ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา 5 ปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้
ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ 2 ปี
(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป
(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุจริตได้สูญหายไปเนื่องจากน้ำป่าไหลหลากซึ่งเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น ถือเป็นการสูญหายไปในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง(3) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายคนดีเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสุจริตและนางซื่อสัตย์ จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิขอให้ศาลสั่งให้นายสุจริตเป็นคนสาบสูญได้
และเมื่อเป็นการสูญหายไปในกรณีพิเศษ จึงมีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ 2 ปี นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป จากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและนายสุจริตได้สูญหายไปในวันที่ 31 กรกฎาคม 2553 จึงครบกำหนด 2 ปี ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 ดังนั้นนายคนดีจะเริ่มไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2555 ตามมาตรา 61 วรรคสอง (3)
ส่วนกรณีของนางซื่อสัตย์นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2553 ได้มีผู้พบศพแล้ว จึงเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดา นายคนดีจึงไม่สามารถจะไปร้องขอให้ศาลสั่งให้นางซื่อสัตย์เป็นคนสาบสูญได้
สรุป นายคนดีร้องขอให้ศาลสั่งให้นายสุจริตเป็นคนสาบสูญได้ โดยร้องขอได้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป แต่จะร้องขอให้ศาลสั่งให้นางซื่อสัตย์เป็นคนสาบสูญไม่ได้
ข้อ 3 นายไก่ลูกมหาเศรษฐีแห่งประเทศไทย นำเงินส่วนตัวไปซื้อรถยนต์มา 1 คัน มูลค่า 5 ล้านบาท ในขณะนั้นอายุ 18 ปีบริบูรณ์ ต่อมามารดาร้องขอต่อศาลให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เพราะจิตฟั่นเฟือน ศาลตั้งมารดาเป็นผู้พิทักษ์ นายไก่ให้เพื่อนยืมลูกช้างไปแสดงโชว์ฝรั่ง 4 เชือกโดยลำพัง ต่อมานายไก่ป่วยหนักขึ้นถึงขั้นวิกลจริต ไปซื้อที่ดินจากนายขวดขณะกำลังวิกลจริต แต่นายขวดไม่ทราบว่าวิกลจริต ต่อมาศาลสั่งให้นายไก่เป็นคนไร้ความสามารถและตั้งมารดาเป็นผู้อนุบาล ผู้อนุบาลอนุญาตให้นายไก่ไปซื้อลูกสุนัขพันธุ์ดีมูลค่า 5 แสนบาท 1 ตัว จากนายเขียวมาเลี้ยง
สัญญาซื้อขายรถยนต์ ให้เพื่อนยืมลูกช้าง 4 เชือก สัญญาซื้อขายที่ดิน และสัญญาซื้อลูกสุนัข ซึ่งนายไก่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร จงอธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 21 ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงไปโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา 29 การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ
มาตรา 30 การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต
มาตรา 34 คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้
(3) กู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ
1 สัญญาซื้อขายรถยนต์
โดยหลัก ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ผู้เยาว์สามารถทำเองได้โดยลำพังและมีผลสมบูรณ์
ตามข้อเท็จจริง การที่นายไก่นำเงินส่วนตัวไปซื้อรถยนต์นั้น ไม่ถือเป็นนิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว หรือนิติกรรมที่ผู้เยาว์จะได้ไปซึ่งสิทธิหรือเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อนายไก่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม สัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 21
2 สัญญาให้เพื่อนยืมลูกช้าง 4 เชือก
โดยหลัก คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างตามมาตรา 34 ซึ่งคนเสมือนไร้ความสามารถจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ
ตามข้อเท็จจริง การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกช้างนั้นเป็นเพียงการให้ยืมสังหาริมทรัพย์ธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่กรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจำหน่ายจ่ายโอนจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) ซึ่งเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา 34(3) ดังนั้นถึงแม้นายไก่จะให้เพื่อนยืมลูกช้างโดยลำพัง กล่าวคือ ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ สัญญาให้เพื่อนยืมลูกช้าง 4 เชือกดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ ไม่ตกเป็นโมฆียะ
3 สัญญาซื้อขายที่ดิน
โดยหลัก นิติกรรมใดๆที่คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ทำขึ้นนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะที่จริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต ตามมาตรา 30
ตามข้อเท็จจริง แม้ว่านายไก่คนวิกลจริตได้ไปซื้อที่ดินจากนายขวดในขณะกำลังวิกลจริต แต่เมื่อนายขวดคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่ทราบว่านายไก่เป็นคนวิกลจริต ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินจึงมีผลสมบูรณ์ ไม่ตกเป็นโมฆียะ
4 สัญญาซื้อลูกสุนัข
โดยหลัก คนไร้ความสามารถไม่อาจทำนิติกรรมใดๆได้ ต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ถึงแม้จะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาล นิติกรรมนั้นก็ตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 29
ตามข้อเท็จจริง การที่นายไก่คนไร้ความสามารถไปซื้อลูกสุนัขพันธุ์ดีจากนายเขียว แม้ว่าจะได้รับความยินยอมจากมารดาซึ่งเป็นผู้อนุบาล สัญญาซื้อลูกสุนัขดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ
สรุป
1) สัญญาซื้อขายรถยนต์มีผลเป็นโมฆียะ
2) สัญญาให้เพื่อนยืมลูกช้าง 4 เชือกมีผลสมบูรณ์
3) สัญญาซื้อขายที่ดินมีผลสมบูรณ์
4) สัญญาซื้อลูกสุนัขมีผลเป็นโมฆียะ