การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 ปลาม้ายืมบ้านของปลาดาวเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีกำหนดสองปีแต่ปลาม้าแบ่งห้องๆหนึ่งให้ชะเมาเช่า ระหว่างที่ชะเมาเช่าอยู่นั้น เกิดน้ำท่วมทั้งตำบลที่บ้านของปลาดาวตั้งอยู่เป็นเวลาสองเดือนทำให้บ้านเสียหาย ดังนี้ปลาดาวจะบอกเลิกสัญญา ให้ปลาม้าคืนบ้านก่อนกำหนดและเรียกเอาค่าทดแทนความเสียหายได้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 8 คำว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า เหตุใดๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นได้จัดการระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้นในฐานะและภาวะเช่นนั้น
มาตรา 640 อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว
มาตรา 643 ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง
มาตรา 645 ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืนต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมระหว่างปลาม้ากับปลาดาวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ปลาม้าผู้ยืมมีสิทธิครอบครองและใช้สอยบ้านเป็นที่อยู่อาศัยได้ตามสิทธิของผู้ยืมตามกฎหมาย แต่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมรวมทั้งไม่ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าปลาม้าเอาบ้านที่ยืมมาแบ่งให้ชะเมาเช่า ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย ซึ่งเป็นการประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืม ตามมาตรา 643 ย่อมเป็นเหตุให้ปลาดาวผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญายืมได้ตามมาตรา 645 และให้ปลาม้าคืนบ้านก่อนครบกำหนดได้
และในกรณีที่ผู้ยืมเอาบ้านที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยแล้วถูกน้ำท่วมซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ตามมาตรา 8 นั้น โดยหลักแล้วผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่ปลาม้าผู้ยืมสามารถพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ทรัพย์สินคือบ้านที่ให้ยืมนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง ดังนั้นปลาดาวจะเรียกเอาค่าทดแทนความเสียหายที่บ้านถูกน้ำท่วมไม่ได้ (มาตรา 643)
สรุป ปลาดาวจะบอกเลิกสัญญาและให้ปลาม้าคืนบ้านก่อนกำหนดได้ แต่จะเรียกเอาค่าทดแทนความเสียหายไม่ได้
ข้อ 2 นายกังนัมสไตร์ น้องชายแท้ๆของนายชังนำหน้า ได้ขอยืมเงินพี่ชายของตนเป็นจำนวน 2,000 บาท โดยได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือเอาไว้ และได้มีข้อกำหนดในสัญญาว่านายกังนัมสไตร์จะผ่อนส่งหนี้ให้เดือนละ 200 บาท เป็นจำนวน 10 ครั้ง พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15.01 บาทต่อปี ให้กับพี่ชายของตนซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ต่อมานายชังนำหน้าพี่ชายแอบแปลงสัญญาเงินกู้โดยเติมตัวเลข 1 ใส่ข้างหน้าจำนวนเงินกู้เดิมจาก 2,000 บาท เป็น 12,000 บาท ดังนี้ นายกังนัมสไตร์ลูกหนี้ ต้องรับผิดตามสัญญาหรือไม่ อย่างใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 653 วรรคแรก การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อให้ผู้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว
มาตรา 654 ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว ในการกู้ยืมเงินไม่เกิน 2,000 บาท แม้จะมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ การกู้ยืมเงินนั้นก็มีผลสมบูรณ์และสามารถฟ้องร้องบังคับกันได้ (มาตรา 653 วรรคแรก) แต่อย่างไรก็ตาม กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกังนัมสไตร์ได้ยืมเงินนายชังนำหน้าซึ่งเป็นพี่ชายจำนวน 2,000 บาท โดยได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือเอาไว้ ก็ถือว่าสัญญากู้ยืมเงินนั้นมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพียงแต่ข้อกำหนดในสัญญาที่ตกลงดอกเบี้ยกันร้อยละ 15.01 บาทต่อปีนั้น ถือว่าเป็นการผิดกฎหมาย ดอกเบี้ยนั้นถือเป็นโมฆะทั้งหมด มีเพียงเงินต้นเท่านั้นที่จะต้องส่งคืน
และตามอุทาหรณ์ การที่นายชังนำหน้าได้แอบแปลงสัญญาเงินกู้โดยเติมตัวเลข 1 ใส่ข้างหน้าจำนวนเงินกู้เดิมจาก 2,000 บาท เป็น 12,000 บาทนั้น ก็ถือว่าจำนวนเงินกู้ยืมเดิมนั้นเป็นจำนวนเงินกู้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นนายกังนัมสไตร์ยังคงต้องรับผิดชอบในจำนวนหนี้ดังกล่าว คือ 2,000 บาท และการใช้เงินนั้นก็จะต้องทำเป็นหนังสือด้วยตามมาตรา 653 วรรคสอง
สรุป นายกังนัมสไตร์ลูกหนี้ต้องรับผิดตามสัญญาในจำนวนหนี้เดิม คือ 2,000 บาท แต่ไม่ต้องรับผิดในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเพราะในส่วนดอกเบี้ยถือเป็นโมฆะทั้งหมด
ข้อ 3 นายเอกเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี มีนายโทเป็นเจ้าสำนักและผู้ควบคุมกิจการโรงแรม นายเอกได้ถอดสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท วางไว้ในห้องพัก (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 72,000 บาท) ที่สร้อยคอแขวนพระสมเด็จ 1 องค์ (พระสมเด็จมีมูลค่า 10,000 บาท) ต่อมานายเอกออกไปรับประทานอาหารเย็นนอกโรงแรมกลับมาตอนดึกพบว่าสายสร้อยทองคำและพระหายไป จึงแจ้งนายโทผู้เป็นเจ้าสำนักให้ชดใช้ราคาของที่หายรวม 82,000 บาท แก่ตนทันที ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า โรงแรมจะต้องรับผิดต่อทรัพย์ที่หายไปนี้หรือไม่ เพียงไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 674 เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา
มาตรา 675 เจ้าสำนักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ แม้ถึงว่าความสูญหาย หรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด
ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่นๆไซร้ ท่านจำกัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสำนักและได้บอกราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง
แต่เจ้าสำนักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ
วินิจฉัย
ตามกฎหมาย เจ้าสำนักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นำมาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675
ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกเข้าพักที่โรงแรมที่มีนายโทเป็นเจ้าสำนัก เมื่อทรัพย์สินของนายเอกแขกอาศัยซึ่งนำมาด้วยนั้นสูญหายไป นายโทเจ้าสำนักย่อมต้องรับผิดชอบต่อนายเอกตามมาตรา 674 และมาตรา 675 วรรคแรก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทรัพย์สินของนายเอกที่สูญหายไปนั้น คือสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท (ราคาประมาณ 72,000 บาท) และพระสมเด็จซึ่งแขวนอยู่ที่สร้อยราคา 10,000 บาท ซึ่งทั้งสร้อยคอทองคำและพระสมเด็จนั้นอยู่ในความหมายของ “ของมีค่า” ตามมาตรา 675 วรรคสอง ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเอกผู้เข้าพักในโรงแรมไม่ได้นำฝาก และบอกราคาทรัพย์ให้ชัดแจ้ง โรงแรมจึงต้องรับผิดต่อนายเอกเพียง 5,000 บาท
สรุป โรงแรมจะต้องรับผิดต่อทรัพย์ของนายเอกที่หายไป แต่จะรับผิดชอบเพียง 5,000 บาท