การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 แดงทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าให้ดำเช่าบ้านหนึ่งหลังมีกำหนดเวลา 5 ปี โดยตกลงชำระค่าเช่าทุกๆวันสิ้นเดือน สัญญาเช่าข้อสุดท้ายมีข้อความว่า “หากผู้เช่าเช่าครบ 5 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 5 ปี หากผู้เช่าไม่ประสงค์จะเช่าต่อไปอีก ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันสัญญาที่ได้รับจากผู้เช่าเป็นจำนวนเงิน 150,000 บาท ให้กับผู้เช่าด้วย” ดำเช่าบ้านจากแดงได้เพียง 3 ปีเต็ม แดงเจ้าของบ้านเช่าได้ยกบ้านให้กับเขียวบุตรบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ดำก็ยังคงอยู่ในบ้านเช่าโดยที่เขียวไม่ว่าอะไร ปรากฏว่าในวันครบกำหนดสัญญาเช่าบ้าน 5 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 30 เมษายน 2555 นั้น ดำได้พบกับเขียวและขอเช่าบ้านต่อไปอีก 5 ปี เขียวกลับปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามคำมั่น ดำจึงขอเงิน 150,000 บาท ซึ่งเป็นเงินประกันสัญญาคืนจากเขียว เขียวไม่ยอมคืนเงินให้ดำเช่นกัน
ให้วินิจฉัยว่า การปฏิเสธของเขียวทั้ง 2 ประการดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด (ให้วินิจฉัยแยกตอบทั้ง 2 ประการด้วย)
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 538 เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี
มาตรา 569 อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า
ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย
วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กำหนดเอาไว้ว่า ถ้าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ไม่ทำให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทำให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย
กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าบ้านซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ระหว่างแดงกับดำซึ่งมีกำหนด 5 ปีได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 538 และสามารถใช้บังคับกันได้ 5 ปี และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดำเช่าบ้านหลังนี้มาได้เพียง 3 ปี แดงได้ยกบ้านเช่าให้กับเขียวบุตรบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมายของตน กรณีนี้ย่อมไม่ทำให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับดำผู้เช่าระงับสิ้นไป ตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยเขียวผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านั้นด้วย กล่าวคือ เขียวต้องให้ดำเช่าบ้านหลังนั้นต่อไปจนครบกำหนด 5 ปีตามสัญญาเช่า ตามมาตรา 569 วรรคสอง
แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาเช่าข้อสุดท้ายที่มีข้อความว่า “หากผู้เช่า เช่าครบ 5 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 5 ปี”นั้น ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคำมั่นจะให้เช่า ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า จึงไม่ผูกพันเขียว ดังนั้น การที่ดำได้พบเขียวและขอเช่าบ้านต่อไปอีก 5 ปี และเขียวปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามคำมั่นนั้น คำปฏิเสธของเขียวกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนข้อสัญญาที่ว่า “หากผู้เช่าไม่ประสงค์จะเช่าต่อไปอีก ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันสัญญาที่ได้รับจากผู้เช่าเป็นจำนวน 150,000 บาท ให้กับผู้เช่าด้วย”นั้น ก็เป็นสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอื่น มิใช่สิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับสัญญาเช่า ทั้งไม่ใช่หน้าที่ของ ผู้ให้เช่าตามกฎหมายด้วย ผู้รับโอนจึงไม่ต้องผูกพันตามข้อสัญญานี้ เพราะสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่ผู้รับโอนจะต้องรับมาด้วยนั้น คือสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าเท่านั้น ดังนั้น การที่ดำขอเงิน 150,000 บาท ซึ่งเป็นเงินประกันสัญญาคืนจากเขียว และเขียวไม่ยอมคืนเงินให้ดำนั้น คำปฏิเสธของเขียวกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน
สรุป การปฏิเสธของเขียวทั้ง 2 ประการดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 2
(ก) มืดทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าอาคารพาณิชย์มีกำหนดเวลา 4 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป โดยตกลงชำระค่าเช่าทุกๆวันที่ 6 ของแต่ละเดือนเป็นค่าเช่า เดือนละ 25,000 บาท (สองหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยมืดได้รับเงินค่าเช่าจากม่วงไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นเงิน 350,000 บาท (สามแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) และม่วงได้รับมอบอาคารที่เช่าในวันดังกล่าวด้วย ปรากฏว่าในปี พ.ศ.2554 ม่วงไม่ได้จ่ายค่าเช่าให้มืดอีกเลย ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2554 จนถึงเดือนมีนาคม 2555 ดังนั้นในวันที่ 2 เมษายน 2555 มืดจึงบอกเลิกสัญญากับม่วงทันที และให้ม่วงอยู่ในอาคารถึงวันที่ 17 เมษายน 2555 เท่านั้น ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด จงวินิจฉัย
ธงคำตอบ
(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 560 ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกำหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน
วินิจฉัย
ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้น ตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติเอาไว้ว่า ถ้าการชำระค่าเช่ากำหนดชำระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชำระอีก จึงจะบอกเลิกสัญญาได้
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ม่วงได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าให้ไว้กับมืดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นเงิน 350,000 บาทนั้น ทำให้ม่วงมีสิทธิไม่ชำระค่าเช่าได้ 14 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 แต่เดือนมีนาคม 2555 ม่วงจะต้องชำระค่าเช่าให้กับมืด (ในวันที่ 6 มีนาคม 2555) ดังนั้นการที่ม่วงไม่ชำระค่าเช่าในเดือนมีนาคม 2555 มืดย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่านั้นได้ แต่เมื่อตามสัญญาเช่านั้น มีการกำหนดชำระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ดังนั้นมืดจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ม่วงชำระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าม่วงยังไม่ยอมชำระอีก มืดจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้น การที่มืดบอกเลิกสัญญากับม่วงทันทีในวันที่ 2 เมษายน 2555 และให้ม่วงอยู่ในอาคารถึงวันที่ 17 เมษายน 2555 การกระทำของมืดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 574 วรรคแรก ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย
วินิจฉัย
ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ม่วงผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อในเดือนมีนาคม 2555 ถือว่าม่วงผิดนัดไม่ใช้เงินเพียงหนึ่งคราว เนื่องจากได้ชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้าไว้แล้ว 14 คราว ดังนั้น มืดจึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ เพราะการที่มืดจะบอกเลิกสัญญาได้จะต้องปรากฏว่าม่วงผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน ตามมาตรา 574 วรรคแรก ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของมืดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สรุป
(ก) การกระทำของมืดไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(ข) การกระทำของมืดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น คำตอบของข้าพเจ้าจึงไม่แตกต่างกัน
ข้อ 3 เหลืองจ้างน้ำเงินมาทำงานในร้านอาหารของตน ตกลงจ่ายค่าจ้างทุกๆวันที่ 28 ของแต่ละเดือน เดือนละ 12,5000 บาท สัญญาจ้างเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 โดยเป็นสัญญาที่ไม่มีข้อตกลงกันว่าจะจ้างเป็นเวลากี่ปี ในปี 2555 เหลืองได้จ่ายค่าจ้างเพิ่มให้เป็นเงิน 400 บาทต่อเดือน น้ำเงินทำงานมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เหลืองเห็นว่าร้านอาหารทำการค้าขาดทุน จึงขอเลิกสัญญาจ้างกับน้ำเงินในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าน้ำเงินมีสิทธิทำงานไปจนถึงวันที่เท่าใด และเหลืองจะต้องจ่ายเงินให้กับน้ำเงินตั้งแต่วันที่เหลืองบอกเลิกสัญญาไปจนถึงวันสิ้นสุดของการทำงานของน้ำเงินเป็นจำนวนเท่าใด จึงจะชอบด้วยกฎหมาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 582 ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน
อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทำได้
วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 582 วรรคแรก ได้กำหนดไว้ว่า สัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดเวลา ฝ่ายนายจ้างหรือฝ่ายลูกจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้ด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไป โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่า 3 เดือน
กรณีตามอุทาหรณ์ เหลืองจ้างน้ำเงินมาทำงานในร้านอาหารของเหลือง แต่ไม่ได้ตกลงกันว่าจะจ้างเป็นระยะเวลานานเท่าใด สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดเวลา เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 เหลืองได้ขอเลิกสัญญาจ้างน้ำเงิน จึงถือเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยการบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดจ่ายสินจ้างในวันที่ 28 มีนาคม 2555 (ตกลงจ่ายค่าจ้างทุกๆวันที่ 28 ของแต่ละเดือน) ซึ่งจะมีผลให้สัญญาจ้างสิ้นสุดในวันที่ 28 เมษายน 2555 ตามมาตรา 582 วรรคแรก ดังนั้น น้ำเงินจึงมีสิทธิทำงานต่อจนถึงวันที่ 28 เมษายน 2555 และเหลืองจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้กับน้ำเงินในวันที่ 28 มีนาคม 2555 เป็นเงิน 12,900 บาท (12,500+400) และจ่ายเงินค่าจ้างให้น้ำเงินในวันที่ 28 เมษายน เป็นเงิน 12,9000 บาทเช่นกัน รวมเป็นเงินทั้งหมด 25,800 บาท (12,900+12,900) หรือเหลืองจะจ่ายเงินค่าจ้างให้น้ำเงินทั้งหมด 25,800 บาท แล้วให้น้ำเงินออกจากงานในทันทีเลยก็ได้ตามมาตรา 582 วรรคสอง
สรุป น้ำเงินมีสิทธิทำงานไปจนถึงวันที่ 28 เมษายน 2555 และเหลืองจะต้องจ่ายเงินให้กับน้ำเงินตั้งแต่วันที่เหลืองบอกเลิกสัญญาไปจนถึงวันสิ้นสุดของการทำงานของน้ำเงินเป็นจำนวน 25,800 บาท