การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2006 กฎหมายอาญา 1
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 แดนขับรถยนต์อยู่ช่องเดินรถทางซ้าย ก้องขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ของแดน ก้องพยายามจะขึ้นแซงรถยนต์ของแดน แต่แดนเบนรถยนต์มาทางขวา ก้องแซงไม่ได้ พอได้จังหวะที่รถยนต์ของแดนอยู่ช่องเดินรถทางซ้าย
ก้องเร่งเครื่องยนต์แซงขวารถยนต์ของแดนแล้วแกล้งเบียดรถยนต์แดนจนรถยนต์ของแดนตกไหล่ทาง ทำให้ชมพู่ที่นั่งมาในรถยนต์ของแดนได้รับบาดเจ็บ และรถยนต์ของแดนเสียหลักไปชนรถจักรยานยนต์ที่ตุ้มขี่มาล้มลง ตุ้มได้รับบาดเจ็บ
ดังนี้ ก้องต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ความรับผิดทางอาญาของก้อง แยกพิจารณาได้ดังนี้
ความรับผิดของก้องต่อชมพู่
การที่ก้องเร่งเครื่องยนต์แซงขวารถยนต์ของแดนแล้วแกล้งเบียดรถยนต์แดนจนรถยนต์ของแดนตกไหล่ทาง ทำให้ชมพู่ที่นั่งมาในรถยนต์ของแดนได้รับบาดเจ็บนั้น ถือว่า เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกัน ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น กล่าวคือ ก้องย่อมเล็งเห็นได้ว่าการที่ตนแกล้งเบียดรถยนต์แดนจนรถยนต์ของแดนตกไหล่ทางนั้น ย่อมทำให้ผู้ที่นั่งมาในรถยนต์ของแดนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น การกระทำของก้องจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ก้องจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อชมพู่ ตามมาตรา 59 วรรคแรก
ความรับผิดของก้องต่อตุ้ม
การที่รถยนต์ของแดนเสียหลักไปชนรถจักรยานที่ตุ้มขี่มาล้มลง จนทำให้ตุ้มได้รับบาดเจ็บอีกด้วยนั้น ถือเป็นกรณีที่ก้องเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าก้องกระทำโดยเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นด้วย ดังนั้น ก้องจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อตุ้ม เพราะได้กระทำต่อตุ้มโดยเจตนาโดยพลาดไปตามมาตรา 60
สรุป ก้องต้องรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อชมพู่โดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคแรก และรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อตุ้มโดยเจตนาโดยพลาดไป ตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 60
ข้อ 2 เสริมศักดิ์และสมศรีเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย เสริมศักดิ์ไปที่บ้านของสดใสมารดาของสมศรี เห็นสร้อยคอทองคำเส้นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง เสริมศักดิ์ไม่พิจารณาให้ดีเข้าใจว่าเป็นสร้อยคอทองคำของสมศรีภริยาคงเอามาฝากมารดา เสริมศักดิ์ต้องการลักทรัพย์ภริยาอยู่แล้ว จึงเอาสร้อยคอทองคำเส้นนั้นไปขายเพื่อนำเงินมาเล่นการพนัน
ดังนี้ เสริมศักดิ์ต้องรับผิดและรับโทษทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสี่ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
มาตรา 61 ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่
มาตรา 62 ข้อเท็จจริงใด ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด หรือได้รับยกเว้นโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แล้วแต่กรณี
ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริง ตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท
มาตรา 71 วรรคแรก ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถึงมาตรา 336 วรรคแรก และมาตรา 341 ถึงมาตรา 364 นั้น ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภริยา หรือภริยากระทำต่อสามี ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เสริมศักดิ์ลักเอาสร้อยคอทองคำของสดใสไปขายนั้น ถือเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นคือ สร้อยคอทองคำที่ตนลักไป ดังนั้นการกระทำของเสริมศักดิ์จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งกรณีนี้เสริมศักดิ์จะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อสดใสไม่ได้ ตามมาตรา 61 เพราะสามีลักทรัพย์ของภริยาก็เป็นความผิดอยู่แล้ว เพียงแต่ได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา 71 วรรคแรก ดังนั้น เสริมศักดิ์จึงต้องรับผิดทางอาญาต่อสดใสฐานกระทำโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคแรก
แต่อย่างไรก็ตาม การที่เสริมศักดิ์ลักเอาทรัพย์ของสดใสไปโดยเข้าใจว่าเป็นทรัพย์ของสมศรีภริยาของตนนั้น ถือเป็นกรณีที่เสริมศักดิ์สำคัญผิดในข้อเท็จจริง กล่าวคือ สำคัญผิดว่าเป็นทรัพย์ของสมศรีซึ่งไม่มีอยู่จริง แต่เสริมศักดิ์สำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ซึ่งหากข้อเท็จจริงดังกล่าวมีอยู่จริงแล้วจะทำให้เสริมศักดิ์ไม่ต้องรับโทษ ตามมาตรา 71 วรรคแรก ดังนั้น เสริมศักดิ์จึงไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 62 วรรคแรก แม้ความสำคัญผิดดังกล่าวจะเกิดขึ้นโดยความประมาทของเสริมศักดิ์ เพราะไม่พิจารณาดูให้ดีก็ตาม เสริมศักดิ์ก็ไม่ต้องรับโทษเพราะความผิดฐานลักทรัพย์จะต้องกระทำโดยเจตนาเท่านั้น ตามมาตรา 62 วรรคสอง
สรุป เสริมศักดิ์ต้องรับผิดทางอาญาต่อสดใสฐานกระทำโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่ไม่ต้องรับโทษเพราะเสริมศักดิ์สำคัญผิดในข้อเท็จจริงตามมาตรา 61 วรรคแรก
ข้อ 3 เอกและหนึ่งทะเลาะมีปากเสียงกัน เอกกล่าวต่อหนึ่งว่า เอกจะฆ่าหนึ่ง วันหนึ่งเอกไปดักยิงหนึ่ง และบริเวณนั้นก็มีเก่งมาดักยิงนกอยู่ด้วย เอกเห็นหนึ่ง เอกใช้ปืนยิงไปที่หนึ่ง หนึ่งได้ยินเสียงปืนจึงล้มตัวลง กระสุนปืนไม่ถูกหนึ่ง พอหนึ่งลุกขึ้นได้เห็นเก่งกำลังยกปืนเล็งไปที่นก หนึ่งเข้าใจว่าเป็นเอกจะยิงซ้ำมาที่ตนอีก หนึ่งจึงชักปืนยิงไปที่เก่ง กระสุนปืนถูกเก่งตาย แล้วยังเลยไปถูกยอดที่นั่งอยู่หลังพุ่มไม้ตายด้วย
ดังนี้ เอกละหนึ่งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ และจะอ้างเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดได้บ้าง
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
มาตรา 62 ข้อเท็จจริงใด ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด หรือได้รับยกเว้นโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แล้วแต่กรณี
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ เอกและหนึ่งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ และจะอ้างเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดได้บ้างนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ
กรณีของเอก
การที่เอกใช้ปืนยิงไปที่หนึ่งนั้น เอกได้กระทำไปโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และขณะเดียวกัน ก็ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น คือความตายของหนึ่ง การกระทำของเอกจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่าเอกได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะหนึ่งล้มตัวหลบได้ทันจึงไม่ถึงแก่ความตาย เอกจึงต้องรับผิดทางอาญา ฐานพยายามกระทำความผิดตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80
กรณีของหนึ่ง
การที่หนึ่งชักปืนยิงไปที่เก่ง ถือว่าหนึ่งได้กระทำต่อเก่งโดยเจตนา เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง แต่การที่หนึ่งใช้ปืนยิงเก่งนั้น เป็นเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นเอกจะยิงซ้ำมาที่ตนอีก ซึ่งหากข้อเท็จจริงมีอยู่จริงตามที่หนึ่งเข้าใจแล้ว การกระทำของหนึ่งย่อมไม่เป็นความผิด เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ เป็นการที่หนึ่งกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ ดังนั้น หนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง ตามมาตรา 68 ประกอบมาตรา 62 วรรคแรก
และเมื่อการกระทำของหนึ่ง เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้กระสุนปืนจะเลยไปถูกยอดตาย ซึ่งถือเป็นกรณีที่หนึ่งเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป และกฎหมายให้ถือว่าหนึ่งเจตนากระทำต่อยอดโดยพลาดไปตามมาตรา 60 ก็ตาม แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปย่อมถือว่าเป็นผลที่เกิดจากการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ประกอบมาตรา 62 วรรคแรกด้วย ดังนั้น หนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อยอด
สรุป เอกต้องรับผิดทางอาญาต่อหนึ่งฐานพยายามฆ่าหนึ่งตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80
หนึ่งไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่งและยอด เพราะหนึ่งกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 68 ประกอบมาตรา 62 วรรคแรก
ข้อ 4 กันต้องการฆ่าโต กันโทรศัพท์ไปหาใหญ่เพื่อขอยืมอาวุธปืน ระหว่างทางที่กันไปรับอาวุธปืนจากใหญ่ กันได้พบกับสมพร สมพรได้จ้างให้กันไปฆ่าโต โดยไม่ทราบว่ากันเองต้องการฆ่าโตอยู่ก่อนแล้ว กันตอบตกลงและสมพรได้จัดหาอาวุธปืนให้กันด้วย กันได้อาวุธปืนจากสมพรแล้ว เดินทางไปฆ่าโต กันเห็นโตจึงเดินตามหลังไป พอได้ระยะที่จะยิงได้ กันชักปืนออกจากเอวเพื่อจะยิงโต โดยยังมิทันยกปืนจ้องยิงไปที่โต มีคนวิ่งมาชนกันเสียก่อน กันจึงไม่ได้ยิงโต ดังนี้ กันและสมพรต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรก บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ กันและสมพรต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้
กรณีของกัน
ตามบทบัญญัติมาตรา 59 วรรคแรก จะเห็นได้ว่าโดยปกติบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำการซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด ซึ่งคำว่าได้มีการกระทำนี้ จะต้องเลยขั้นตระเตรียมการมาจนถึงขั้นลงมือกระทำแล้วแต่กรณีตามข้อเท็จจริง ขณะที่กันชักปืนออกจากเอวเพื่อจะยิงโต มีคนวิ่งมาชนกันเสียก่อน โดยที่กันยังมิทันยกปืนจ้องยิงไปที่โต การกระทำของกันจึงอยู่เพียงขั้นตระเตรียมการเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำความผิด เพราะยังไม่ถือว่าใกล้ชิดกับความผิดสำเร็จ ดังนั้น กันจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อโต ตามมาตรา 59 วรรคแรก
กรณีของสมพร
การที่สมพรได้จ้างให้กันไปฆ่าโตนั้น ไม่ถือว่าเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการจ้าง เพราะกันต้องการฆ่าโตอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น สมพรจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84
ส่วนกรณีที่สมพรได้จัดหาอาวุธปืนให้กันนั้น ถึงแม้จะเป็นการกระทำอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้อื่นในการกระทำความผิด แต่เมื่อปรากฏว่ากันยังไม่ได้ลงมือกระทำความผิด สมพรจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
สรุป กันไม่ต้องรับผิดทางอาญา สมพรไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้และผู้สนับสนุน