การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2006 กฎหมายอาญา 1
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 หาญต้องการฆ่าพล หาญเห็นพลนั่งอยู่ หาญชักปืนออกจากเอวยังไม่ทันยกปืนเล็งไปที่พล นพเห็นเข้าจึงเข้าไปปัดปืนเพื่อช่วยพล ปืนลั่นกระสุนไปถูกเก่งตาย ดังนี้ หาญและนพต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ หาญและนพต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้
กรณีของหาญ
การที่หาญต้องการฆ่าพล และได้ชักปืนออกจากเอวแต่ยังไม่ได้ยกปืนเล็งไปที่พลนั้น ถือว่าหาญยังไม่ได้ลงมือกระทำต่อพล หาญจึงยังไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าพล ดังนั้น หาญจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อพล
แต่อย่างไรก็ตาม ปืนเป็นอาวุธร้ายแรงซึ่งหาญต้องใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ การชักปืนออกมาของหาญเป็นการกระทำที่ปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาญก็มิได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ เมื่อผลไปเกิดกับเก่ง จึงถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทของหาญ ตามมาตรา 59 วรรคสี่ และไม่ถือว่าผลที่เกิดขึ้นกับเก่งนั้น เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป ตามมาตรา 60 ทั้งนี้เพราะหาญมิได้กระทำโดยเจตนาต่อนพ และผลไปเกิดขึ้นกับเก่งโดยพลาดไปแต่อย่างใด ดังนั้น หาญจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่งเพราะได้กระทำโดยประมาท
กรณีของนพ
การที่นพปัดปืนที่หาญชักออกมาจากเอวเพื่อช่วยพล และทำให้ปืนลั่น กระสุนไปถูกเก่งตายนั้น นพไม่ได้กระทำโดยประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำ จึงไม่ถือว่านพมีเจตนากระทำต่อเก่ง และการกระทำของนพถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว จึงไม่ถือว่านพได้กระทำโดยประมาทต่อเก่ง ดังนั้นนพจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง
สรุป หาญต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง ฐานกระทำโดยประมาท ส่วนนพไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง เพราะมิได้กระทำโดยเจตนาหรือโดยประมาท
ข้อ 2 แสนและสดใสเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย วันหนึ่งแสนกลับเข้าบ้านเปิดประตูห้องนอน เห็นกล้ากับสดใสกำลังร่วมประเวณีกันโดยสดใสยินยอม แสนใช้อาวุธปืนยิงกล้าได้รับบาดเจ็บ และกระสุนปืนยังทะลุฝาห้องไปถูกเฉิดโฉมที่นอนอยู่ห้องติดกันตาย ดังนี้ แสนต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ และจะยกเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดหรือรับโทษได้บ้าง
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การกระทำของแสนจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ วินิจฉัยได้ดังนี้
การที่แสนใช้อาวุธปืนยิงกล้าได้รับบาดเจ็บในขณะที่กล้ากับสดใส ภริยาของแสนกำลังร่วมประเวณีกันอยู่นั้น การกระทำของแสนเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น การกระทำของแสนจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้ว แสนจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก
แต่อย่างไรก็ตาม การกระทำของแสนถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของแสนจึงเป็นการกระทำที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น แสนจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อกล้า ตามมาตรา 68 ประกอบมาตรา 80
และเมื่อการที่แสนใช้อาวุธปืนยิงกล้านั้น กระสุนปืนยังได้ทะลุฝาห้องไปถูกเฉิดโฉมที่นอนอยู่ในห้องติดกันตาย การกระทำของแสนต่อเฉิดโฉมนั้นถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาโดยพลาดไป ตามมาตรา 60 แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของแสนนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป จึงเป็นผลที่เกิดจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย ตามมาตรา 60 ประกอบมาตรา 68 ดังนั้นแสนจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเฉิดโฉม
สรุป แสนไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อกล้าและเฉิดโฉม เพราะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 3 แม้นทำสวนทุเรียนมีช้างป่าเข้ามาทำลายต้นทุเรียนเพื่อกินผลทุเรียน แม้นใช้ไม้ไล่ตีช้างป่า ช้างป่าได้เข้ามาทำร้ายแม้น แม้นวิ่งหนี ช้างไล่ตาม แม้นเห็นบ้านแจ้งซึ่งปิดประตูไว้ แม้นคิดว่าถ้าเข้าไปหลบซ่อนตัวในบ้านหลังนั้น จะพ้นจากการถูกช้างทำร้าย แม้นจึงพังประตูเพื่อเข้าไปในบ้าน แจ้งกลับมาเห็นแม้นพังประตูบ้านของตน เข้าใจว่าเป็นคนร้ายจะเข้าไปลักทรัพย์ จึงใช้ไม้ตีถูกแม้นได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ แม้นและแจ้งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ และจะยกเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดหรือรับโทษอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 62 ข้อเท็จจริงใด ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด หรือได้รับยกเว้นโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แล้วแต่กรณี
มาตรา 67 ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ แม้นและแจ้งจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้
กรณีของแม้น
การที่แม้นพังประตูเพื่อเข้าไปในบ้านของแจ้ง เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกัน ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น การกระทำของแม้นจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาต่อทรัพย์ของแจ้ง ตามมาตรา 59 วรรคสอง และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก
แต่อย่างไรก็ตาม การที่แม้นพังประตูเพื่อเข้าไปในบ้านของแจ้งก็เพื่อให้พ้นจากการถูกช้างทำร้าย การกระทำของแม้นจึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น เพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ ตามมาตรา 67(2) ดังนั้น แม้นจึงไม่ต้องรับโทษทางอาญา
กรณีของแจ้ง
การที่แจ้งใช้ไม้ตีถูกแม้นได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกัน ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น การกระทำของแจ้งจึงเป็นการกระทำโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้วจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคสอง
แต่อย่างไรก็ตาม การที่แจ้งใช้ไม้ตีแม้นนั้นเป็นเพราะว่าแจ้งสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่า แม้นเป็นคนร้ายจะเข้าไปลักทรัพย์จึงได้กระทำเพื่อป้องกันตนเอง ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และแม้ว่าข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ดังนั้นแจ้งจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อแม้นตามมาตรา 68 ประกอบมาตรา 62 วรรคแรก
สรุป แม้นต้องรับผิดทางอาญาต่อแจ้ง ฐานกระทำต่อทรัพย์โดยเจตนา แต่ได้กระทำความผิดด้วยความจำเป็น จึงไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น
แจ้งไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อแม้น เพราะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองและเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 4 แดนต้องการฆ่ากร แดนไปดักยิงกร แดงเห็นกรเดินมา แดนยกปืนเล็งไปที่กร ก่อนลั่นไกปืน แดนเห็นลูกของกรเดินตามหลังกร แดนเกิดความสงสารลูกของกรที่ต้องขาดพ่อ จึงเก็บปืนไม่ยิง ดังนี้ แดนต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 82 ผู้ใดพยายามกระทำความผิด หากยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด หรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดนั้น แต่ถ้าการที่ได้กระทำไปแล้วต้องบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้นๆ
วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ การที่แดนต้องการฆ่ากรและได้ยกปืนเล็งไปที่กรนั้น ถือว่าแดนได้ลงมือกระทำต่อกรแล้ว และเป็นการกระทำโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกัน ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น ดังนั้น แดนจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อกร ตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่เมื่อแดนได้เกิดความสงสารลูกของกรที่ต้องขาดพ่อ จึงเก็บปืนไม่ยิงกร การกระทำของแดนจึงเป็นการลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด แดนจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามกระทำความผิดต่อกร ตามมาตรา 80
แต่อย่างไรก็ตาม การลงมือกระทำความผิดของแดนที่ได้กระทำไปไม่ตลอดนั้น เป็นเพราะแดนยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด ดังนั้น แดนจึงไม่ต้องรับโทษฐานพยายามกระทำความผิดนั้น ตามมาตรา 82
สรุป แดนต้องรับผิดทางอาญาต่อกรฐานพยายามกระทำความผิด แต่แดนไม่ต้องรับโทษฐานพยายามกระทำความผิดนั้น เพราะได้ยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด