การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1
(ก) การเลือกตั้งมิใช่สัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นเพียงกระบวนการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น และการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยก็มีอยู่หลายแบบแล้วแต่ว่าประเทศใดจะนำแบบใดไปใช้
การเลือกตั้งแบบสองรอบเสียงข้างมากก็เป็นวิธีการเลือกตั้งแบบหนึ่งที่ใช้กันอยู่ในประเทศต่างๆ ให้นักศึกษาอธิบายว่าการเลือกตั้งแบบสองรอบเสียงข้างมากเป็นอย่างไร มีวิธีการเลือกตั้งอย่างไร
(ข) ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา และขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการแก้ไขเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจนิติบัญญัติในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา นักศึกษาจงอธิบายวิวัฒนาการที่มาของวุฒิสภาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกถึงปัจจุบันว่ามีวิวัฒนาการมาอย่างไร
ธงคำตอบ
(ก) การเลือกตั้งแบบเสียงข้างมาก คือวิธีการเลือกตั้งซึ่งในการเลือกตั้งในรอบที่หนึ่งนั้น หากมีผู้สมัครคนใดได้รับเลือกตั้งโดยมีคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเกินกว่ากึ่งหนึ่ง (50% + 1) ของผู้ที่มาใช้สิทธิลงคะแนน ผู้สมัครคนนั้นก็จะได้รับเลือกตั้งเลย
แต่ถ้าในการเลือกตั้งในรอบแรกไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิลงคะแนน ก็จะต้องมีการเลือกตั้งในรอบที่สอง โดยในการเลือกตั้งในรอบที่สองจะมีผู้สมัครเหลือเพียงสองคน คือ คนที่ได้รับคะแนนสูงสุดคนแรกจากการเลือกตั้งในรอบที่หนึ่งเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆจะไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งในรอบที่สอง ซึ่งในการเลือกตั้งในรอบที่สองนี้ผู้สมัครคนใดได้รับเลือกตั้งโดยมีคะแนนเสียงข้างมากของผู้ที่มาใช้สิทธิลงคะแนน ผู้สมัครคนนั้นก็จะเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง
(ข) วิวัฒนาการที่มาของวุฒิสภา
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ.2475 ได้กำหนดให้มีสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร ยังไม่มีวุฒิสภา
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2475 ได้กำหนดให้มีสภาเดียวเช่นเดิม คือ สภาผู้แทนราษฎร แต่ให้มีสมาชิก 2 ประเภท โดยสมาชิกประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้ง (ยังไม่เรียกว่าวุฒิสภา)
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2489 ได้กำหนดให้มี 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภา (ซึ่งปัจจุบันคือวุฒิสภา) ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภาที่กำหนดให้มีวุฒิสภา
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ.2490 ได้กำหนดให้มีสภานิติบัญญัติ 2 สภา คือ วุฒิสภากับสภาผู้แทนฯ ซึ่งมาจากการแต่งตั้ง
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2492 ได้กำหนดให้มี 2 สภา เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 คือ มีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งมาจากการแต่งตั้ง
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 6 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2495 ได้นำรัฐธรรมนูญฯฉบับที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติมกลับมาใช้ทำให้รัฐสภาเหลือเพียงสภาเดียวคือสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีวุฒิสภา
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 7 ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2502 ได้กำหนดให้มีสภาเพียงสภาเดียวคือ “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ โดยให้มีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญและให้มีฐานะเป็นรัฐสภาทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติด้วย
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 8 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2511 ได้กำหนดให้มี 2 สภาอีกครั้ง คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยวุฒิสภานั้นให้มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 9 ธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ.2515 ได้กำหนดให้มีสภาเดียวอีกครั้งเรียกว่า “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 10 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2517 ได้บัญญัติให้มีระบบ 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 11 และฉบับที่ 12 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2519 และธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ.2520 ได้กำหนดให้มีสภาเดียว โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่ 11 เรียกว่า “สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” และรัฐธรรมนูญฉบับที่ 12 เรียกว่า “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ซึ่งสมาชิกมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2521 ได้กลับมากำหนดให้มี 2 สภาอีกครั้งหนึ่ง คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 14 รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ.2534 จะมีหลักการเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ 12 คือ ให้มีสภาเดียว คือ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” เพื่อมีหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 15 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2534 ได้กำหนดให้มี 2 สภา คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการแต่งตั้ง
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2540 กำหนดให้มี 2 สภา คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดให้มาจากการเลือกตั้ง
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 17 รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ.2549 กำหนดให้มีสภาเดียวคือ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ซึ่งสมาชิกมาจากการแต่งตั้งทั้งหมดและให้ทำหน้าที่แทนรัฐสภา
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 (ฉบับปัจจุบัน) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 ได้กำหนดให้มี 2 สภา เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฯพ.ศ.2540 แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่า สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 150 คน ให้มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน ส่วนที่เหลือให้มาจากการสรรหา
กล่าวโดยสรุป
1 วุฒิสภานั้นเริ่มมีเป็นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 (พ.ศ.2489) เพียงแต่ยังไม่เรียกว่าวุฒิสภา แต่เรียกว่า พฤฒสภา เริ่มเรียกว่าวุฒิสภาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 เป็นต้นมา
2 ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 เป็นต้นมาจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จะมีการกำหนดให้มีวุฒิสภาไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ (ยกเว้นเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับที่ 6 (พ.ศ.2495) เท่านั้นที่กำหนดให้มีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ให้มีวุฒิสภา) เพียงแต่ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใดกำหนดให้มีระบบ 2 สภา ก็จะเรียกว่าวุฒิสภา แต่ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใดกำหนดให้มีสภาเดียวก็จะไม่เรียกว่าวุฒิสภา แต่จะเรียกว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน แล้วแต่กรณี
3 สมาชิกวุฒิสภาไม่ว่าจะมีจำนวนกี่คนก็ตาม รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ว่าให้มาจากการแต่งตั้ง เว้นแต่รัฐธรรมนูญฯพ.ศ.2540 ได้กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง และรัฐธรรมนูญฯฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2550) ได้กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งและการสรรหา
ข้อ 2 จงอธิบายการถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ที่มาของอำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติ ตลอดจนการใช้อำนาจตุลาการ อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน อย่างละเอียด
ธงคำตอบ
การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจทั้งสาม
1 อำนาจนิติบัญญัติ อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายตุลาการ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นฝ่ายบัญญัติกฎหมาย ถ้ามีการบัญญัติกฎหมายออกมาแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องมีการตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ และอาจจะถูกควบคุมโดยฝ่ายบริหาร เช่น การที่ฝ่ายบริหารไม่เสนอกฎหมายให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา หรือเสนอกฎหมายไปแล้วแต่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ให้ความเห็นชอบ ฝ่ายบริหารก็สามารถยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ได้
2 อำนาจบริหาร อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น การไม่ให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา การควบคุมตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร เช่น การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ การตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร เป็นต้น
3 อำนาจตุลาการ การใช้อำนาจตุลาการนั้น อาจถูกควบคุมหรือถ่วงดุลได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้บัญญัติกฎหมายให้ฝ่ายตุลาการหรือศาลใช้อำนาจตามกฎหมายได้เพียงเท่าที่กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติได้บัญญัติไว้เท่านั้น และในบางกรณีกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติก็เป็นกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าฝ่ายบริหารได้เข้ามาควบคุมถ่วงดุลการใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะไม่มีอำนาจในการตรวจสอบอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีของฝ่ายตุลาการ
ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร
1 อำนาจนิติบัญญัติ
อำนาจนิติบัญญัติ มีรัฐสภาเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้ คือ
(ก) สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิก 500 คน โดยเป็นสมาชิก
– มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 คน
– มาจากการเลือกตั้งแบบ บัญชีรายชื่อ 125 คน
และผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดหรือเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
(ข) วุฒิสภา (ส.ว.)
วุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจาก
– การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน
– การสรรหา รวม 74 คน
2 อำนาจบริหาร
อำนาจบริหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย
1 นายกรัฐมนตรี จำนวน 1 คน เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี
2 รัฐมนตรี จำนวนไม่เกิน 35 คน ซึ่งมีตำแหน่งหลากหลาย เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ
นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีนั้น นากยกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีจะเป็น ส.ว. ในขณะที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ไม่ได้
การใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
1 อำนาจนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง หรือกฎหมายอื่นๆ มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบ เช่น ให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม ให้ความเห็นชอบในการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศ เป็นต้น มีอำนาจในการควบคุมการทำงานของรัฐบาล เช่น การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นต้น
2 อำนาจบริหาร ฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้
3 อำนาจตุลาการ ฝ่ายตุลาการ คือ ศาล มีอำนาจหน้าที่ในการใช้กฎหมายให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และตามเจตนารมณ์ของประชาชนหรือฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งแต่ละศาลจะมีอำนาจหน้าที่ในการใช้กฎหมายแตกต่างกัน
ข้อ 3 นายกรัฐมนตรีเห็นว่าบทบาทหน้าที่ของ ส.ส. ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนและไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง จึงได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรฯ และกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการทั่วไป ต่อมาจากการได้ไปศึกษาดูงานในต่างประเทศเมื่อเดือนที่แล้วของ กกต. จึงได้มีมติกำหนดให้การเลือกตั้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้มีการจัดวางคูหารูปแบบใหม่ โดยผู้ลงคะแนนฯ หันหลังให้กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย และจะทำให้กรรมการฯ สามารถมองเห็นและสังเกตพฤติกรรมของผู้ลงคะแนนฯ ได้
หากกระทำการอันก่อให้เกิดอันตรายหรือทุจริตในการเลือกตั้ง ต่อมาผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 10 คนในจังหวัดยะลา ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพราะเห็นว่า ส.ส. ยังคงปฏิบัติหน้าที่ได้ปกติ การเลือกตั้งบ่อยครั้งทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน และมติ กกต. ที่กำหนดให้สามจังหวัดชายแดนใต้ มีการจัดวางคูหารูปแบบใหม่ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น พระราชกฤษฎีกาประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรฯ และมติดังกล่าวของ กกต. จึงมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องดำเนินการในกรณีนี้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มาตรา 93 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ
มาตรา 108 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา”
มาตรา 187 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย
มาตรา 235 คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งหรือการสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นแล้วแต่กรณี รวมทั้งการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
มาตรา 236 คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) ออกประกาศหรือวางระเบียบกำหนดการทั้งหลายอันจำเป็นแก่การปฏิบัติตามกฎหมาย
มาตรา 244 ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน
มาตรา 245 ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้
(1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ
(2) กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา 244(1)(ก) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย มีดังนี้คือ
ประเด็นที่ 1 พระราชกฤษฎีกาประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรฯ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
การยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นการกระทำทางรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าของฝ่ายบริหาร เป็นผู้ถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงยุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารโดยแท้ที่กำหนดไว้ในระบบรัฐสภา (ตามมาตรา 108 และมาตรา 187) เพื่อให้ฝ่ายบริหารถ่วงดุลหรือคานอำนาจกับฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติกับรัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร จึงเป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารอย่างแท้จริงไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบการใช้อำนาจโดยศาลซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายตุลาการ
ดังนั้น เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 244 จะไม่ดำเนินการส่งเรื่องไปให้ศาลตามมาตรา 245(1)(2) เพื่อตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรฯในกรณีนี้
ประเด็นที่ 2 มติของ กตต ที่กำหนดให้การเลือกตั้งในสามจังหวัดชายแดนใต้ มีการจัดวางคูหารูปแบบใหม่ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
การที่ กกต. มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 235 และ 236 และได้กำหนดให้มีการจัดวางคูหาเลือกตั้งรูปแบบใหม่นั้น ก็มาจากการพิจารณาเห็นชอบร่วมกันของคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็น “มติ” ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งมติดังกล่าวมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไปโดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ จึงมีลักษณะเป็น “กฎ” ตามความหมายที่บัญญัติไว้ในมาตรา 245(2)
ตามมาตรา 2 ได้กำหนดรูปแบบการปกครองของประเทศไทยไว้ว่า เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งในระบบรัฐสภาประชาชนใช้อำนาจในการปกครองประเทศผ่านผู้แทนปวงชน คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา และในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น มาตรา 93 ได้กำหนดให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนน “โดยตรงและโดยลับ” ดังนั้นการจัดคูหาเลือกตั้งตามมติของ กกต ที่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหันหน้าเข้าคูหาลงคะแนนและหันหลังให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งซึ่งจะทำให้บุคคลอื่นสังเกตเห็นได้ จึงเป็นการละเมิดต่อหลักการเรื่องการออกเสียงลงคะแนน ซึ่งจะต้องดำเนินการโดยใช้วิธีการออกเสียงลงคะแนน “โดยตรงและลับ” มติของ กตต. ดังกล่าวจึงมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 244 สามารถดำเนินการเสนอเรื่องมติของ กตต ดังกล่าวพร้อมความเห็นต่อศาลปกครองตามมาตรา 245(2) เพื่อตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของมติคณะกรรมการการเลือกตั้งในกรณีนี้ได้
สรุป กรณีพระราชกฤษฎีกาประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรฯ ผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ดำเนินการส่งเรื่องไปให้ศาลเพื่อตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
กรณีมติของ กกต. ที่กำหนดให้มีการจัดคูหาเลือกตั้งรูปแบบใหม่ ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถดำเนินการเสนอเรื่องนี้พร้อมความเห็นต่อศาลปกครอง เพื่อตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้
ข้อ 4 นายแดงได้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมเพื่อเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่า กกต. จังหวัดเชียงใหม่ฯ ตรวจสอบคุณสมบัตินายแดงแล้วเห็นว่านายแดงมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน เนื่องจากได้ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งต่อมานายแดงไอ้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ ดังนั้น กกต. จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ปฏิเสธการรับสมัครฯ หากนายแดงเห็นว่าตนมีคุณสมบัติครบถ้วน การไม่รับสมัครเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงประสงค์ที่จะใช้สิทธิในทางศาล ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายแดงสามารถที่จะใช้สิทธิในทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และศาลใดที่มีอำนาจในการรับฟ้องไว้พิจารณา
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
มาตรา 28 วรรคสอง บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้
มาตรา 102 บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(2)เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
วินิจฉัย
ตามมาตรา 28 วรรคสอง เป็นกรณีของการใช้สิทธิในทางศาลของบุคคลในรัฐ โดยบุคคลสามารถใช้สิทธิทางศาลได้เมื่อมีการละเมิดหรือการกระทำอันฝ่าฝืนต่อกฎหมายต่อสิทธิหรือเสรีภาพในเรื่องใดเรื่องหนึ่งของบุคคลนั้น และเป็นสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้ได้รับรองไว้ ซึ่งการใช้สิทธิทางศาลนั้นบุคคลผู้ถูกละเมิดหรือเสรีภาพดังกล่าวมีสิทธินำคดีไปฟ้องศาลหรือยกเป็นข้อต่อสู้ในคดีได้
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การที่ กกต. จังหวัดเชียงใหม่ฯ ปฏิเสธการรับสมัครรับเลือกตั้งฯของนายแดง เป็นการละเมิดสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งฯของนายแดงหรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่ กกต. จังหวัดเชียงใหม่ฯปฏิเสธการรับสมัครฯของนายแดงนั้นเป็นเพราะเมื่อ กกต จังหวัดเชียงใหม่ฯได้ตรวจสอบคุณสมบัติของนายแดงแล้วเห็นว่า นายแดงมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนเนื่องจากได้ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย นายแดงจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 102(2) ดังนั้นการปฏิเสธการรับสมัครฯของ กตต จังหวัดเชียงใหม่ฯดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งฯ ของนายแดงแต่อย่างใด
และเมื่อกรณีดังกล่าวไม่ถือว่านายแดงได้ถูกละเมิดสิทธิ ดังนั้นนายแดงจึงไม่สามารถที่จะใช้สิทธิในทางศาลกรณีนี้ได้
สรุป นายแดงไม่สามารถที่จะใช้สิทธิในทางศาลกรณีนี้ได้