การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ทำนิติกรรมอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์โดยปราศจากความยินยอมจากผู้เยาว์หรือขออนุญาตจากศาล จะมีผลเป็นการเช่นใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1572 ผู้ใช้อำนาจปกครองจะทำหนี้ที่บุตรจะต้องทำเองโดยมิได้รับความยินยอมของบุตรไม่ได้
มาตรา 1574 นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต
มาตรา 1575 ถ้าในกิจการใด ประโยชน์ของผู้ใช้อำนาจปกครอง ขัดกับประโยชน์ของผู้เยาว์ ผู้ใช้อำนาจปกครองต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงทำกิจการนั้นได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ
อธิบาย
ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้ใช้อำนาจปกครองนั้น เป็นเพียงบุคคลที่กฎหมายได้กำหนดให้มีขึ้น เพื่อมุ่งที่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เยาว์ในกรณีที่ผู้เยาว์จะทำ นิติกรรมบางอย่างซึ่งเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ไม่สามารถที่จะกระทำได้โดย ลำพังตนเอง หรือในบางกรณีผู้แทนโดยชอบธรรมอาจจะทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ก็ได้
ในกรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรม จะทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์นั้น กฎหมายได้กำหนดไว้ว่าถ้าเป็นนิติกรรมอันเกี่ยวกับหนี้ที่ผู้เยาว์ (บุตร) จะต้องทำเองก็จะต้องได้รับความยินยอมจากบุตรด้วย ตามมาตรา 1572 และถ้าเป็นนิติกรรมอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ เช่น การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี หรือการให้กู้ยืมเงิน ฯลฯ ดังนี้ก็จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลด้วย ตามมาตรา 1574
แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรมได้ทำนิติกรรมดังกล่าวโดยปราศจากความยินยอมของผู้เยาว์ หรือไม่ได้รับอนุญาตจากศาล กฎหมายก็มิได้บัญญัติไว้โดยตรงว่าจะเกิดผลประการใด แต่เมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาฎีกาประกอบกับมาตรา 1575 แล้ว พอจะสรุปได้ว่าจะมีผลทางกฎหมายได้ 2 ประการ คือ
- ไม่มีผลผูกพันผู้เยาว์ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3830/2542, 4861/2548 และ 7776/2551
- เป็นโมฆะ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 8438/2547, และ ป.พ.พ. มาตรา 1575)
ข้อ 2 ครอบครัววิชุนีตระกูลไฮโซชื่อดังกำลังประสบปัญหาการเงิน คุณลำเพาและคุณนพรัตน์ วิชุนีประมุขของครอบครัวต้องรีบหาทางจัดการปัญหานี้ด่วน เพื่อรักษาหน้าตาก่อนที่คนในสังคมจะรู้ และหนทางที่คุณลำเพาคิดได้ คือการไปทวงข้อตกลงกับคุณเปรม ปัทมกุล เจ้าของไร่กาแฟแห่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงรายถึงสัญญาที่ทำกันไว้เมื่อยี่สิบปีก่อนว่า
จะทดแทนบุญคุณที่คุณนพรัตน์เคยช่วยเหลือเรื่องเงิน ด้วยการให้ลูกชายของเขาแต่งงานกับรจนาซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัววิชุนี ปัทม์ลูกชายคนเดียวของครอบครัวปัทมกุลไม่พอใจเพราะพ่อของเขาผู้ให้คำสัญญาเสียชีวิตไปนานแล้ว ประกอบกับเขาไม่ชอบให้ใครมาบังคับ แม้ว่าเขาจะไม่ยอมทำตามข้อตกลง
แต่คุณลำเพาอ้างถึงบุญคุณที่คุณนพรัตน์เคยช่วยเหลือไว้ ไม่เช่นนั้นครอบครัวปัทมกุลคงไม่มีโอกาสสร้างไร่กาแฟได้อย่างทุกวันนี้ ปัทม์จึงจำเป็นต้องยอมทำตามข้อตกลงด้วยการจะเข้าแต่งงานกับรจนา ก่อนวันงานแต่งงาน ปัทม์จึงมาปรึกษากับท่านเพื่อหาเหตุผลข้อกฎหมายเพื่อยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว เพราะเข้าใจผิดว่ารจนารู้ว่าครอบครัวของตนร่ำรวยมาก จึงคิดว่าต้องการแต่งงานกับตนเพื่อที่จะสนองตอบความรักสบายของรจนาได้ ท่านจะให้คำแนะนำแก่ปัทม์อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”
วินิจฉัย
จากบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ในการตกลงทำนิติกรรมกันนั้น วัตถุประสงค์ของนิติกรรมนั้นจะต้องไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จะต้องไม่เป็นการพ้นวิสัย และจะต้องไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ถ้านิติกรรมใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่คุณนพรัตน์ วิชุนี ได้ตกลงกับคุณเปรม ปัทมกุล ให้รจนา วิชุนี กับปัทม์ ปัทมกุล แต่งงานกันเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณที่คุณนพรัตน์เคยช่วยเหลือเรื่องเงินกันไว้นั้น มิได้เกิดจากการตกลงกันระหว่างชายและหญิงที่จะแต่งงานกันแต่อย่างใด ซึ่งตามหลักของสถาบันครอบครัวและกฎหมายครอบครัวนั้น การแต่งงานหรือการสมรสจะต้องเป็นเรื่องของชายและหญิงได้ตกลงที่จะเป็นสามีภริยากัน ตกลงที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ได้ตกลงแต่งงานกันโดยมีวัตถุประสงค์อย่างอื่น ดังนั้นข้อตกลงระหว่างคุณนพรัตน์ วิชุนี กับคุณเปรม ปัทมกุล ดังกล่าว จึงเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ข้อตกลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 และปัทม์สามารถบอกเลิกการแต่งงานของตนได้
สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่ปัทม์ว่าข้อตกลงระหว่างคุณนพรัตน์กับคุณเปรม ตกเป็นโมฆะ ปัทม์สามารถบอกเลิกการแต่งงานของตนได้
ข้อ 3 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 นายสมหมายได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อชนนายสมจริงได้รับบาดเจ็บสาหัส นายสมจริงถูกนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลและได้พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 เดือน นายสมจริงได้จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวน 4 แสนบาท ต่อมานายสมจริงจึงได้ไปทวงเงินค่ารักษาพยาบาลจากนายสมหมายเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2553 แต่นายสมหมายได้ขอผัดผ่อนเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553
นายสมหมายได้นำเงินไปชำระให้แก่นายสมจริงเพื่อช่วยค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท หลังจากนั้นก็มิได้นำไปชำระให้อีกเลย นายสมจริงจึงได้นำคดีไปฟ้องศาลเพื่อเรียกค่ารักษาพยาบาลที่ตนได้ออกไปก่อนในวันที่ 22 กันยายน 2554 นายสมหมายได้ต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว แต่นายสมจริงอ้าว่ายังไม่ขาดอายุความ เพราะอายุความได้สะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2553 ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้ออ้างของนายสมจริงฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 193/14 อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใดๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง
มาตรา 193/15 เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ
เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 นายสมหมายได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อ ชนนายสมจริงได้รับบาดเจ็บสาหัส การที่นายสมหมายขับรถยนต์ชนนายสมจริงเป็นการกระทำละเมิด อายุความฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมีกำหนดอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 ซึ่งสิทธิเรียกร้องจะครบกำหนดอายุความในวันที่ 10 สิงหาคม 2554
เมื่อนายสมจริงถูกรถชนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และได้จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินจำนวน 4 แสนบาท จึงได้มาทวงเงินค่ารักษาพยาบาลจากนายสมหมาย แต่นายสมหมายได้ผัดผ่อนเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553 นายสมหมายได้นำเงินไปชำระให้แก่นายสมจริง 5,000 บาท เป็นการชำระหนี้ให้แก่นายสมจริงบางส่วน จึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามมาตรา 193/14(1) เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นจึงไม่นับเข้าในอายุความตามมาตรา 193/15 วรรคแรก และให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2553 และอายุความใหม่จะครบกำหนดในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 ตามมาตรา 193/15 วรรคสอง นายสมจริงนำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 22 กันยายน 2554 คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ ข้ออ้างของนายสมจริงจึงฟังขึ้น
สรุป ข้ออ้างของนายสมจริงฟังขึ้น
ข้อ 4 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2556 นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้ส่งจดหมายเสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนไปยังนางจันทราซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในราคา 3 ล้านบาท โดยนายอาทิตย์ได้กำหนดไปในจดหมายด้วยว่า ถ้านางจันทราต้องการซื้อบ้านหลังนี้ ให้ตอบไปยังนายอาทิตย์ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2556 นางจันทราส่งจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นตามราคาที่นายอาทิตย์เสนอ แต่จดหมายของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ในวันที่ 5 เมษายน 2556
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายของนางจันทราแล้ว เป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่า นางจันทราได้ส่งจดหมายตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2556 ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรไปถึงนายอาทิตย์ก่อนหรือภายในวันที่ 31 มีนาคม 2556 ตามที่นายอาทิตย์กำหนด
เช่นนี้ จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านที่นางจันทราส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 358 ถ้าคำบอกกล่าวสนองมาถึงล่วงเวลา แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคำบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากำหนดนั้นไซร้ ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว
ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคต้น ท่านให้ถือว่าคำบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางจันทราได้ส่งจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นตามราคาที่นายอาทิตย์เสนอ แต่จดหมายของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ในวันที่ 5 เมษายน 2556 ซึ่งล่าช้ากว่าเวลาที่นายอาทิตย์ได้กำหนดไว้ แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายว่า นางจันทราส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2556 ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะไปถึงนายอาทิตย์ก่อน หรือภายในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2556 อันเป็นเวลาที่นายอาทิตย์กำหนดไว้ ในกรณีเช่นนี้ คำสนองของนางจันทราจะเป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่านายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้กฎหมายกำหนดหน้าที่ของผู้เสนอไว้ว่า ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่ผู้สนองโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น
(1) ถ้านายอาทิตย์ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายจึงจะถือว่าจดหมายคำสนองของนางจันทราเป็นคำสนองล่วงเวลา
(2) แต่ถ้านายอาทิตย์ละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายให้ถือว่าจดหมายคำสนองของนางจันทราเป็นคำสนองที่มิได้ล่วงเวลา ซึ่งมีผลให้สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายอาทิตย์กับนางจันทราเกิดขึ้น
สรุป จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านของนางจันทราที่ส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า นายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ตามมาตรา 358