การสอบไล่ภาค  2   ปีการศึกษา 2555 

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 

Advertisement

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ   ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ  1

(ก)    การแสดงเจตนาซึ่งกระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ  มีผลในทางกฎหมายประการใด  ให้อธิบายโดยสังเขป

(ข)   นายสมพงษ์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ซื้อรถยนต์คันหนึ่งจากนายสมชายซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว  ราคา  600,000  บาท  โดยได้รับความยินยอมจากนายสมพร  ซึ่งเป็นบิดาของนายสมพงษ์แล้ว  ในวันทำสัญญาซื้อขาย  นายสมชายได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่นายสมพงษ์  และนายสมพงษ์ได้วางเงินมัดจำให้ไว้แก่นายสมชาย  600,000  บาท  กำหนดชำระราคาส่วนที่ยังค้างอยู่ในวันที่  20  กุมภาพันธ์  2556 

เมื่อถึงกำหนดนายสมพงษ์ไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายสมชาย  นายสมชายจึงทำหนังสือบอกกล่าวเตือนให้นายสมพงษ์นำเงินไปชำระให้แก่นายสมชายภายใน  7  วัน  นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวเตือน  เมื่อครบกำหนดตามหนังสือบอกกล่าวเตือนแล้ว  นายสมพงษ์ก็ยังไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายสมชาย  นายสมชายจึงทำหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์ส่งให้แก่นายสมพงษ์  ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ความว่านายสมพรบิดาของนายสมพงษ์ไม่ทราบเรื่องการบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวแต่อย่างใด  เช่นนี้  การบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์  ซึ่งนายสมชายกระทำต่อนายสมพงษ์มีผลในทางกฎหมายอย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 170 การแสดงเจตนาซึ่งมีต่อผู้เยาว์ หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับการแสดงเจตนาไม่ได้ เว้นแต่ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณีของผู้รับการแสดงเจตนานั้นได้รู้ด้วย หรือได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแล้ว

ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับ ถ้าการแสดงเจตนานั้นเกี่ยวกับการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์หรือคนเสมือนไร้ความสามารถกระทำได้เองโดยลำพัง

 อธิบาย

กรณีการแสดงเจตนาต่อผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

เป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมาแสดงเจตนาต่อผู้บกพร่องในความสามารถ หาใช่เป็นเรื่องที่ผู้บกพร่องในความสามารถได้แสดงเจตนาต่อบุคคลภายนอกไม่ ผู้บกพร่องในความสามารถในที่นี้ได้แก่ ผู้เยาว์ซึ่งมีผู้แทนโดยชอบธรรมคุ้มครองดูแล คนไร้ความสามารถซึ่งมีผู้อนุบาลคุ้มครองดูแล และคนเสมือนไร้ความสามารถซึ่งมีผู้พิทักษ์คุ้มครองดูแล

หลักทั่วไป   ผู้แสดงเจตนาจะยกเอาการแสดงเจตนานั้น ขึ้นเพื่อเป็นข้อต่อสู้ผู้รับการแสดงเจตนาซึ่งเป็นผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถนั้นไม่ได้

ข้อยกเว้น   ผู้แสดงเจตนาสามารถยกเอาการแสดงเจตนาขึ้นมาต่อสู้กับผู้รับการแสดงเจตนาได้ถ้าเป็นกรณีต่อไปนี้

1. ผู้คุ้มครองดูแลผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (ได้แก่ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์) แล้วแต่กรณี ได้รู้ถึงการแสดงเจตนานั้นด้วยหรือได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแล้ว (มาตรา 170 วรรคแรก) หรือ

2. การแสดงเจตนานั้น กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถกระทำได้เองโดยลำพัง ตามมาตรา 170 วรรคสอง (สังเกตว่า กรณีนี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติรวมถึงคนไร้ความสามารถ เพราะคนไร้ความสามารถไม่อาจทำนิติกรรมได้เองโดยลำพัง)

(ข)  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์ซึ่งนายสมชาย  กระทำต่อนายสมพงษ์มีผลในทางกฎหมายหรือไม่อย่างไร  เห็นว่า  การที่นายสมชายได้ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์ส่งไปให้แก่นายสมพงษ์ซึ่งเป็นผู้เยาว์นั้น  นายสมพรบิดาของนายสมพงษ์ไม่ได้รู้ถึงการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาดังกล่าว  รวมทั้งไม่ได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแต่อย่างใด  และเรื่องนี้ก็มิใช่กิจการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์กระทำได้เองโดยลำพัง  กรณี จึงต้องตามหลักทั่วไปของการแสดงเจตนาต่อผู้บกพร่องในความสามารถที่ผู้แสดง เจตนาจะยกเอาการแสดงเจตนานั้นขึ้นมาต่อสู้กับผู้รับการแสดงเจตนาไม่ได้ ตามมาตรา 170 วรรคแรก

ดังนั้น การที่นายสมชายบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์  โดยส่งคำบอกกล่าวไปยังนายสมพงษ์โดยนายสมพรผู้แทนโดยชอบธรรมของนายสมพงษ์มิได้รู้ด้วยหรือให้ความยินยอมไว้ก่อน มีผลในทางกฎหมาย คือ นายสมชายจะยกเอาการบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์นั้นขึ้นต่อสู้หรือเรียกร้องสิทธิใด ๆ จากนายสมพงษ์ไม่ได้

สรุป  ผลทางกฎหมาย คือ นายสมชายจะยกเอาการบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์ขึ้นต่อสู้กับนายสมพงษ์ผู้เยาว์ไม่ได้

มาตรา 170 การแสดงเจตนาซึ่งมีต่อผู้เยาว์ หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับการแสดงเจตนาไม่ได้ เว้นแต่ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณีของผู้รับการแสดงเจตนานั้นได้รู้ด้วย หรือได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแล้ว

ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับ ถ้าการแสดงเจตนานั้นเกี่ยวกับการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์หรือคนเสมือนไร้ความสามารถกระทำได้เองโดยลำพัง

 

ข้อ  2  นาย  ก  ตกลงซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนาย  ข  โดยนาย  ข  มิได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่านาย  ค  ได้มาหลอกลวงนาย  ก  โดยบอกว่าที่ดินแปลงดังกล่าวจะมีโครงการตัดถนนผ่าน  ทำให้ที่ดินติดถนนสาธารณะไม่มีที่ดินแปลงอื่นคั่นอยู่  ซึ่งนาย  ก  หลงเชื่อ  เมื่อซื้อไปแล้วไม่มีโครงการตัดถนนดังคำกล่าวอ้างของนาย  ค  แต่อย่างใด  นาย  ก  ไม่ต้องการที่ดินแปลงนี้แล้ว  จึงมาปรึกษาท่าน  ให้ท่านแนะนำนาย  ก  ถึงผลของสัญญาซื้อขายนี้ว่ามีอยู่อย่างไรตามกฎหมาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  157  การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน  เป็นโมฆียะ

ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง  ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ  ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว  การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น

มาตรา  159  การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ

การที่กลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง  จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น

ถ้าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก  การแสดงเจตนานั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  ได้ทำนิติกรรมโดยการซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนาย  ข  เพราะได้หลงเชื่อข้อเท็จจริงตามที่นาย  ค  ได้หลอกลวงนาย  ก  ว่าที่ดินแปลงดังกล่าวจะมีโครงการตัดถนนผ่านทำให้ที่ดินติดถนนสาธารณะไม่มีที่ดินแปลงอื่นคั่นอยู่  จึงถือว่านาย  ก ได้ทำนิติกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉล  และเป็นกลฉ้อฉลที่ถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว  นาย  ก  ก็คงจะมิได้ทำสัญญาซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนาย  ข  ตามมาตรา  159  วรรคแรกและวรรคสอง

แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  เป็นกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก  ซึ่งตามกฎหมายนิติกรรมจะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้  หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้นด้วย  ตามมาตรา  159  วรรคสาม  เมื่อปรากฏว่า  คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง  คือนาย  ข  มิได้รู้หรือควรจะรู้ว่านาย  ค  ได้มาหลอกลวงนาย  ก  ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนาย  ก  กับนาย  ข  จึงไม่ตกเป็นโมฆียะเพราะถูกกลฉ้อฉล

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อนาย  ก  ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนาย  ข  ไปแล้ว  มาทราบในภายหลังว่าไม่มีโครงการตัดถนนดังคำกล่าวอ้างของนาย  ค  ซึ่งถ้านาย  ก  ได้ทราบตั้งแต่แรกก็คงจะไม่ทำสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงนี้แน่นอน  ดังนั้นนาย  ก  ย่อมสามารถอ้างได้ว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินดังกล่าวได้เกิดขึ้นเพราะตนได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สิน  ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม  นิติกรรมในรูปของสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าว  จึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา  157  (ฎ. 257/2537)

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นาย  ก  ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นโมฆียะ  เพราะเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สินตามมาตรา  157

 


ข้อ  3  เมื่อวันที่  3  มกราคม  2552  นายแดงได้ทำสัญญาซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากนายดำจำนวน 
100,000  บาท  โดยมีนายเขียวเป็นผู้ค้ำประกันมีกำหนดชำระหนี้คืนภายในวันที่  31  มีนาคม  2552  เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายแดงไม่นำเงินมาชำระ  นายดำได้ทวงถามตลอดมา  แต่นายแดงก็ไม่นำเงินมาชำระจนกระทั่งอายุความฟ้องร้อง  2  ปีได้สิ้นสุดลง  ต่อมาวันที่  16  กุมภาพันธ์  2555  

นายแดงถูกสลากกินแบ่งจำนวน  30,000  บาท  จึงได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำจำนวน  20,000  บาท  โดยไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความ  ในวันที่นำเงินมาชำระนั้นเอง  นายดำได้ให้นายแดงทำหลักฐานเป็นหนังสือให้ตนหนึ่งฉบับ  มีใจความว่านายแดงจะนำเงินจำนวน  80,000  บาท  มาชำระให้แก่นายดำในวันที่  30  ธันวาคม  2555  ดังนี้  อยากทราบว่า

(ก)   นายแดงมาทราบภายหลังว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว  นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วจำนวน  20,000  บาท  คืนจากนายดำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)   เมื่อหนี้ถึงกำหนดในวันที่  30  ธันวาคม  2555  นายแดงไม่นำเงินมาชำระ  นายดำจะนำคดีไปฟ้องนายแดงและนายเขียวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/ 9  “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด  สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1)  ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อจากเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัย  แสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง

มาตรา  193/28  การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้น  ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้  แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง  ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ  หรือโดยการให้ประกันด้วย  แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้

มาตรา 193/35 “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงได้ทำสัญญาซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากนายดำจำนวน  100,000  บาท  และมิได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำเลย  และเมื่อนายดำไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด  2  ปี  สิทธิเรียกร้องของนายดำที่มีต่อนายแดงลูกหนี้และนายเขียวผู้ค้ำประกันย่อมเป็นอันขาดอายุความ  นายดำย่อมไม่สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายแดงและนายเขียวชำระหนี้แก่ตนได้  และถ้านายดำฟ้องนายแดงและนายเขียวให้ชำระหนี้  นายแดงและนายเขียวย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา  193/9  และมาตรา  193/10

และตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงได้นำเงินบางส่วนไปชำระหนี้แก่นายดำ  รวมทั้งการที่นายแดงได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือให้แก่นายดำโดยมีใจความว่านายแดงจะนำเงินจำนวนที่เหลืออีก  80,000  บาท  มาชำระให้แก่นายดำในวันที่  30  ธันวาคม  2555  นั้น  ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายแดงลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อนายดำเจ้าหนี้แต่อย่างใด  เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา  193/14  นั้น  ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ  ดังนั้นการกระทำของนายแดงจึงเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว  และเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา  193/28

ดังนั้น  ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  จึงวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก)   การที่นายแดงได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำจำนวน  20,000  บาท  โดยไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วนั้น  นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากนายดำไม่ได้  ตามมาตรา  193/28  วรรคแรก  ที่ว่าการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความแล้วนั้น  ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้  แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่ทราบว่า  สิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม  เนื่องจากสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความนั้นมิได้ทำให้หนี้นั้นระงับไปแต่อย่างใด(ข)  เมื่อนายแดงได้รับสภาพความรับผิด  โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือกับนายดำว่าจะนำเงินจำนวน  80,000  บาท  มาชำระให้แก่นายดำ ถือว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญาตามมาตรา  193/28  วรรคสอง  และเมื่อการรับสภาพความรับผิดนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงใช้บังคับได้  ดังนั้นเมื่อนายแดงไม่นำเงินมาชำระภายในกำหนด  นายดำย่อมสามารถฟ้องให้นายแดงชำระหนี้ได้  (ฎ. 1770/2517)  โดยนายดำจะต้องฟ้องนายแดงภายในอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดนั้นตามมาตรา  193/28  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  193/35  แต่นายดำจะฟ้องนายเขียวไม่ได้  เพราะนายเขียวผู้ค้ำประกันเดิมที่ไม่ได้รับสภาพความรับผิดเช่นเดียวกับนายแดง  และตามมาตรา  193/28  วรรคสองตอนท้าย ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า  “…แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”  กล่าวคือ ถ้านายดำฟ้องนายเขียวผู้ค้ำประกัน  นายเขียวย่อมมีสิทธิยกเอาการที่หนี้ขาดอายุความขึ้นต่อสู้นายดำได้

สรุป

(ก)   นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วจำนวน  20,000  คืนจากนายดำไม่ได้

(ข)  เมื่อหนี้ถึงกำหนด  นายแดงไม่นำเงินมาชำระ  นายดำสามารถนำคดีไปฟ้องนายแดงได้แต่จะฟ้องนายเขียวไม่ได้

 

ข้อ  4

(ก)   คำเสนอคืออะไร  การแสดงเจตนาซึ่งจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะอย่างไร  ให้อธิบายโดยสังเขป

(ข)   เมื่อวันที่  15  มีนาคม  พ.ศ.2556  นายทองหล่อได้ไปที่สำนักงานบริษัท  ทองแท้แร่ไทย  จำกัด  และได้บอกกล่าวแก่พนักงานฝ่ายขายของบริษัทว่า  “ข้าพเจ้าต้องการซื้อแร่ดีบุกจากบริษัทของท่านประมาณ  40  ตัน  แต่จะขอซื้อในงวดแรกก่อน  20  ตัน  ส่วนที่เหลือจะมาซื้อเป็นคราวๆไปจนกว่าจะครบ”  ต่อมาอีกสามวัน  นายทองดีซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัททองแท้แร่ไทย  จำกัด  ได้ทำหนังสือตอบไปยังนายทองหล่อว่า  “บริษัทตกลงขายแร่ดีบุกให้แก่ท่านเต็มจำนวนตามที่ท่านเสนอ  ราคาตันละห้าแสนบาท  ทั้งนี้ท่านต้องชำระราคาเป็นเงินสดและโดยด่วน”  ดังนี้สัญญาซื้อขายแร่ดีบุกระหว่างทองหล่อกับบริษัท  ทองแท้แร่ไทย  จำกัด  เกิดขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก)  คำเสนอ  คือ  นิติกรรมฝ่ายเดียวชนิดที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา  เกิดขึ้นโดยบุคคลฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาต่อบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งแจ้งให้ทราบว่าตนมีความประสงค์จะผูกพันตนทำสัญญาด้วยในประการใด  และขอให้บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งนั้นร่วมทำสัญญาด้วยตามที่เสนอไปนั้น

การแสดงเจตนาอันจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะดังนี้

(1) เป็นข้อความชัดเจนและแน่นอน

(2) มีความมุ่งหมายว่า  ถ้ามีคำสนอง  สัญญาเกิดขึ้นทันที(ข)   วินิจฉัย

โดยหลักของกฎหมาย สัญญาเป็นนิติกรรมสองฝ่าย จะเกิดขึ้นได้ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายหรือกว่านั้นขึ้นไปเป็นคู่สัญญาแสดงเจตนาเป็นคำเสนอและคำสนองสอดคล้องต้องกัน หรืออาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าสัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีคู่สัญญาสองฝ่ายได้ให้คำเสนอและคำสนองสอดคล้องตรงกัน

และการแสดงเจตนาที่ถือว่าเป็นคำเสนอนั้น จะต้องมีลักษณะที่สำคัญ 2 ประการ คือ

1.       ต้องเป็นข้อความชัดเจนและแน่นอน

2.       มีความมุ่งหมายว่า ถ้ามีคำสนอง สัญญาจะเกิดขึ้นทันทีกรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายทองหล่อได้บอกกล่าวแก่พนักงานฝ่ายขายของบริษัทฯว่า  “ข้าพเจ้าต้องการซื้อแร่ดีบุกจากบริษัทของท่านประมาณ  40  ตัน  แต่จะขอซื้อในงวดแรกก่อน  20  ตัน  ส่วนที่เหลือจะมาซื้อเป็นคราวๆไปจนกว่าจะครบ”  ดังนี้ถือว่า  เป็นคำเสนอขอซื้อแร่ดีบุก  20  ตัน  เพราะการแสดงเจตนาในส่วนแรกที่ว่า  ข้าพเจ้าต้องการซื้อแร่ดีบุกจากบริษัทของท่านประมาณ  40  ตันนั้น  เป็นข้อความที่ไม่แน่นอน  จึงไม่เป็นคำเสนอ  แต่ข้อความในส่วนต่อไปที่ว่าแต่จะขอซื้อในงวดแรกก่อน  20  ตัน  เป็นข้อความชัดเจนและแน่นอน  และมีความมุ่งหมายว่าถ้าอีกฝ่ายหนึ่งสนองตอบตกลงสัญญาเกิดขึ้นทันที  ซึ่งเมื่อนายทองดี  ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทฯ  ได้สนองรับโดยตกลงขายแร่ดีบุกให้แก่นายทองหล่อเต็มจำนวนตามที่นายทองหล่อเสนอ  ก็เป็นสัญญาซื้อขายแร่ดีบุกเพียง  20  ตัน  ส่วนที่นายทองหล่อจะขอซื้ออีก  20  ตันนั้น  คงเป็นแต่เพียง  “คำปรารภ”  ของนายทองหล่อ  (ว่าประสงค์จะซื้อ)  ดังนั้นแม้บริษัทตอบรับว่าจะขายก็เป็นเพียงคำเสนอ  มิใช่คำสนองรับ  และเมื่อนายทองหล่อไม่สนองรับ  ก็ไม่เป็นสัญญาซื้อขายแร่ดีบุกอีก  20  ตัน  (ฎ. 411/2490)

สรุป  สัญญาซื้อขายแร่ดีบุกระหว่างนายทองหล่อกับบริษัท  ทองแท้แร่เทียม  จำกัด  เกิดขึ้นเพียง  20  ตัน  ส่วนอีก  20  ตัน  ถือว่าสัญญาซื้อขายยังไม่เกิดขึ้น

Advertisement