การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

Advertisement

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการบัญญัติถึงวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้อย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายสันติไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 และในวันนั้นเองได้เกิดคลื่นยักษ์ถล่นเกาะสมุยทำให้มีคนตายบาดเจ็บและสูญหายเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนายสันติด้วย นางสดใสภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสันติมาปรึกษาท่านซึ่งเป็นนักกฎหมายว่าจะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ เนื่องจากหลังจากวันนั้นแล้วไม่มีใครได้ข่าวหรือพบนายสันติอีกเลย

ให้วินิจฉัยว่า นางสดใสจะมีสิทธิไปใช้สิทธิทางศาลได้หรือไม่ เมื่อไหร่ และเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)     นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)     นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)     นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสันติได้ไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 และในวันนั้นเองได้เกิดคลื่นยักษ์ถล่มเกาะสมุย ทำให้มีคนตายบาดเจ็บและสูญหายเป็นจำนวนมากรวมทั้งนายสันติด้วยนั้น ย่อมถือว่านายสันติไต้ตกอยู่ในเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต และเมื่อหลังจากวันนั้นแล้วไม่มีใครได้ข่าวหรือพบนายสันติอีกเลย จึงถือว่านายสันติได้สูญหายไปในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (3)

ดังนั้น ถ้าผู้มีส่วนได้เสียจะใช้สิทธิในการร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญ จะใช้สิทธิได้เมื่อครบกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป และเมื่อปรากฏว่าเหตุอันตรายแก่ชีวิตคือการเกิดคลื่นยักษ์นั้นได้ผ่านพ้นไปในวันที่ 30 กันยายน 2559 ดังนั้น วันครบกำหนด 2 ปีดังกล่าว คือ วันที่ 30 กันยายน 2561 ผู้มีส่วนได้เสียจึงสามารถเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป

และตามกฎหมายนั้น บุคคลที่จะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญจะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางสดใสเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสันติ ดังนั้น นางสดใสจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิที่จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญได้

สรุป

นางสดใสมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญได้ และจะเริ่มไปใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป

ข้อ 3. นายไก่อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับ กำหนดว่าเมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินในธนาคารซึ่งเป็นเงินส่วนตัวของตนให้แก่มูลนิธิแมวไร้บ้าน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางไข่มารดาแต่อย่างใด ต่อมาแพทย์ลงความเห็นว่านายไก่เจ็บป่วยทางจิตเป็นโรคจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและตั้งนางไข่เป็นผู้พิทักษ์ นายไก่ได้ไปยืมเงินนายเป็ดเพื่อนรักจำนวนหนึ่งร้อยบาทโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ หลังจากนั้นนายไก่ก็เจ็บป่วยมากขึ้น แพทย์ลงความเห็นว่าวิกลจริต นายไก่ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดในราคา 1 ล้านบาทในขณะคุ้มดี และนายเป็ดรู้ว่านายไก่เป็นคนวิกลจริต ต่อมาศาลสั่งให้นายไก่เป็นคนไร้ความสามารถและศาลตั้งนางไข่เป็นผู้อนุบาล นางไข่อนุญาตให้นายไก่ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดมาอีก 1 คันในราคา 2 ล้านบาท

1) พินัยกรรม

2) ยืมเงินนายเป็ด 100 บาท

3) ซื้อรถยนต์จากนายเป็ดคันแรก 1 ล้านบาท และ

4) ซื้อรถยนต์คันที่สองจากนายเป็ด 2 ล้านบาท

มีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอยางหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

1)      ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหาการที่นายไก่ซึ่งมีอายุครบ 15ปีบริบูรณ์ ได้ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับโดยกำหนดว่าเมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินในธนาคารซึ่งเป็นเงินส่วนตัวของตนให้แก่มูลนิธิแมวไร้บ้านนั้น แม้ว่าการทำพินัยกรรมดังกล่าวจะไม่ได้รับความยินยอมจากนางไข่มารดาแต่อย่างใด แต่ก็มิได้เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย เพราะเป็นการทำพินัยกรรมในขณะที่นายไก่มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์

2)      โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มีฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถได้ไปยืมเงินจากนายเป็ดจำนวน 100 บาท โดยที่นางไข่ผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมแต่อย่างใดนั้น การยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

3)      โดยหลักของฆาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายไก่ซึ่งเป็นคนวิกลจริตได้ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดในราคา 1 ล้านบาทนั้น เมื่อนายไก่ได้ไปทำนิติกรรมซื้อรถยนต์จากนายเป็ดในขณะที่คุ้มดีคือไม่มีอาการวิกลจริต ดังนั้นแม้นายเป็ดจะได้รู้ว่านายไก่เป็นคนวิกลจริตก็ตาม นิติกรรมการซื้อรถยนต์ดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

4)      ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่ซึ่งเป็นคนวิกลจริตและศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดอีก 1 คันในราคา 2 ล้านบาทนั้น ถึงแม้การทำนิติกรรมซื้อรถยนต์คันที่ 2 นี้จะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมการซื้อรถยนต์ดังกล่าวก็มีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

การทำนิติกรรมของนายไก่มีผลในทางกฎหมาย ดังนี้

1)      การทำพินัยกรรมมีผลสมบูรณ์

2)      การยืมเงินจากนายเป็ด 100 บาท มีผลเป็นโมฆียะ

3)      การซื้อรถยนต์คันแรกมีผลสมบูรณ์

4)      การซื้อรถยนต์คันที่ 2 มีผลเป็นโมฆียะ

Advertisement