การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระชวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 รัฐธรรมนูญคือ กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นกติกาการปกครองของรัฐ กลไกการใช้อำนาจรัฐฝ่ายต่างๆ ทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ
กติกา หรือกฎเกณฑ์ที่เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศมีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งที่เป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการและรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ซึ่งหากกติกาหรือกฎเกณฑ์ที่ใช้ในการปกครองประเทศเป็นกติกาที่ไม่ดี กำหนดตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญ ก็ควรต้องแก้ไขกติกาหรือกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายนั้น
จึงขอให้นักศึกษาอธิบายหลักเกณฑ์และขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ตามมาตรา 291 มาโดยละเอียดและให้ยกตัวอย่างมาตราที่ควรแก้ไขมา 3 มาตรา
ธงคำตอบ
ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 กำหนดหลักการในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการแก้ไขแบบง่ายโดยมีหลักเกณฑ์ขั้นตอนการแก้ไขกำหนดไว้ในมาตรา 291 บัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 291 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้กระทำได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้
(1) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้(2) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ
(3) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
(4) การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมด้วย
การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตราให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ
(5) เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป
(6) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
(7) เมื่อการลงมติได้เป็นไปตามที่กล่าวแล้ว ให้นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำบทบัญญัติมาตรา 150 และมาตรา 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลมตัวอย่างมาตราที่ควรแก้ไข เช่น
มาตรา 122 ที่เป็นการนำหลักของทฤษฎีอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติมาผสมผสานกับหลักของทฤษฎีอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน กล่าวคือ ผู้แทนตามทฤษฎีอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนต้องอยู่ในอาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง แต่รัฐธรรมนูญฯมาตราดังกล่าวได้บัญญัติให้ผู้แทนไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือความครอบงำใดๆ อันเป็นหลักของทฤษฎีที่ขัดกัน หรือ
มาตรา 237 ที่กำหนดให้การกระทำของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงคนเดียวที่มีเจตนาทุจริตเลือกตั้ง มีผลต่อกรรมการบริหารพรรคและพรรคการเมืองที่ตนสังกัดด้วย หากรู้แล้วมิได้ยับยั้งหรือปล่อยปละละเลย ซึ่งนับว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
มาตรา 309 ที่เป็นการรับรองการยึดอำนาจ รัฐประหารว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
ข้อ 2 จงอธิบายว่า “กฎหมายมหาชน” มีความสำคัญต่อการปกครองในทุกระดับอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างให้ชัดเจน
ธงคำตอบ
กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง
กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง
กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อำนาจ คือ
1 อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
2 อำนาจบริหาร เป็นอำนาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
3 อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจนี้ คือ ศาล
กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน
ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งปกครอง ให้อำนาจในการออกกฎ ให้อำนาจในการกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง
หน่วยงานปกครอง ได้แก่ หน่วยงานในราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นๆที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน่วยงานทางปกครอง รวมถึงหน่วยงานเอกชนที่ใช้อำนาจหรือได้รับสอบให้ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย เช่น สำนักงานรังวัดเอกชน สถานที่ตรวจสภาพรถยนต์ สภาทนายความ ฯลฯ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ บุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้ใช้อำนาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจในทางปกครองของรัฐ ได้แก่ ข้าราชการ พนักงานเจ้าหน้าที่ ลูกจ้าง คณะบุคคล หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานทางปกครอง ฯลฯ
กล่าวโดยสรุป กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครองมีความสัมพันธ์กับการปกครองของไทยในทุกระดับในแง่ที่ว่า เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์และวางหลักในการจัดระเบียบการปกครองของรัฐ รวมทั้งบัญญัติสถานะอำนาจหน้าที่แก่ฝ่ายปกครองในทางปกครองและการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อสนองความต้องการของประชาชนภายในรัฐ หากไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ ฝ่ายปกครองก็จะไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ เพราะตามหลักการของกฎหมายมหาชนแล้ว ฝ่ายปกครองจะกระทำการใดๆได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้เท่านั้น
ข้อ 3 ให้นักศึกษาอธิบายและยกตัวอย่าง เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจในคำต่อไปนี้ ในเรื่องการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ
– การให้เหตุผลทางปกครอง
-ระบบศาลคู่
-การควบคุมการใช้อำนาจรัฐแบบป้องกัน
– ดุลพินิจผูกพัน และอำนาจดุลพินิจทั่วไป
– การเยียวยาความเสียหาย
ธงคำตอบ
อธิบาย
การให้เหตุผลทางปกครอง โดยหลักแล้ว คำสั่งทางปกครองเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานทางปกครองหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในการที่ จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดว่า คำสั่งทางปกครองจะต้องมีเหตุผลของการออกคำสั่งดังกล่าวเอาไว้ด้วย เช่น ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นในสาระสำคัญ กฎหมายที่ใช้อ้างอิงในการพิจารณา ข้อพิจารณา ข้อสนับสนุนที่ใช้ประกอบดุลพินิจในการตัดสินใจ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้คู่กรณีสามารถทราบได้ว่าเจ้าหน้าที่มีคำสั่งทางปกครองเพราะเหตุใด ถูกต้อง เหมาะสม ขัดหรือแย้งข้อเท็จจริงหรือกฎหมายใดหรือไม่ มีอำนาจในการออกคำสั่งทางปกครองหรือไม่ และการให้เหตุผลดังกล่าวก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพิจารณาทบทวนคำสั่งทางปกครอง และประการที่สำคัญก็คือ เหตุผลในทางปกครองสามารถนำไปสู่การฟ้องคดีต่อศาลปกครองต่อไป (พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539)
ระบบศาลคู่
เป็นหนึ่งในระบบการควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายปกครองแบบแก้ไข (ภายหลัง) ซึ่งเป็นการใช้ระบบตุลาการเข้ามาช่วย หมายความว่า มีศาลพิเศษแยกต่างหากจากศาลยุติธรรม กล่าวคือ เป็นระบบการควบคุมฝ่ายปกครองที่ให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะคดีแพ่งและคดีอาญาเท่านั้น ส่วนการวินิจฉัยชี้ขาดคดีปกครองนั้นให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลปกครอง ซึ่งมีระบบศาลและระบบผู้พิพากษาแยกต่างหากจากระบบศาลยุติธรรม
การควบคุมการใช้อำนาจรัฐในระบบศาลคู่นี้ถือว่าเป็นวิธีการควบคุมการใช้อำนาจรัฐที่ดีที่สุด เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีระบบการพิจารณาที่ใช้ศาล และมีกฎหมายรองรับทำให้การพิจารณาพิพากษาเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างยิ่ง อาทิเช่น กฎหมายจัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 กฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 กฎหมายว่าด้วยความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ.2539 ซึ่งแม้วิธีการจะล่าช้าอยู่บ้าง แต่เป็นหลักประกันที่ดีกว่าแก่ประชาชน เมื่อเทียบกับการควบคุมการใช้อำนาจรัฐในวิธีการอื่นๆ
สำหรับอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครอง มีกำหนดไว้ใน พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นการตรวจสอบหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้า หน้าที่ของรัฐในเรื่องการใช้อำนาจทางปกครองหรือการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎคำสั่งหรือการกระทำอื่นใด เนื่องจากการกระทำโดยไม่มีอำนาจ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมหรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เป็นต้น
การควบคุมการใช้อำนาจแบบป้องกัน (ก่อน) เป็นวิธีการก่อนที่ฝ่ายบริหารหรือฝ่ายปกครองจะได้วินิจฉัยสั่งการหรือก่อนจะมีนิติกรรมหรือคำสั่งในทางปกครอง หรือการกระทำในทางปกครองใดที่จะไปกระทบต่อสิทธิหรือสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะมีระบบป้องกันเสียก่อน กล่าวคือ มีกฎหมายกำหนดกระบวนการ หรือขั้นตอนต่างๆก่อนที่จะมีคำสั่งออกไป กระบวนการควบคุมดังกล่าวมีตัวอย่างเช่น
– การโต้แย้งคัดค้านคำสั่ง คือ ผู้ที่อาจเสียหายจากการกระทำของฝ่ายปกครอง จะต้องสามารถแสดงข้อโต้แย้งของตนได้ก่อนมีการกระทำนั้น เพื่อหลีกเลี่ยง “การปกครองที่ดื้อดึง”
– การไต่สวนหาข้อเท็จจริง เป็นวิธีการที่กำหนดให้ฝ่ายปกครองต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริง โดยทำการรวบรวมความคิดเห็นของบุคคลที่มีส่วนได้เสีย แล้วทำเป็นรายงานก่อนที่ฝ่ายปกครองจะตัดสินใจกระทำการที่จะมีผลกระทบผู้มีส่วนได้เสีย
– การปรึกษาหารือหรือการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
– องค์กรที่ปรึกษาให้ข้อเสนอแนะ
– การให้เหตุผล เพื่อเป็นหลักประกันในการควบคุมการใช้ดุลพินิจของฝ่ายปกครอง
– หลักการไม่มีส่วนได้เสีย กล่าวคือ ผู้มีอำนาจสั่งการทางปกครองต้องไม่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่สั่งการนั้น
– การแจ้งสิทธิและระยะเวลาอุทธรณ์ เป็นต้น
การควบคุมการใช้อำนาจรัฐแบบป้องกันนี้ มีผลทำให้ฝ่ายปกครองจะต้องระมัดระวังในขั้นตอนการพิจารณาออกคำสั่ง ทำให้การกระทำของฝ่ายปกครองมีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังลดคดีที่จะมีไปสู่ศาลอีกทางหนึ่งด้วย แต่ก็มักไม่ได้ผลเมื่อเปรียบเทียบกับการควบคุมการใช้อำนาจรัฐแบบแก้ไข ทั้ง นี้เพราะรูปแบบของการควบคุมแบบป้องกันนั้นยังขาดหลักประกันในการดำเนินการ หรือการเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมก่อนที่ องค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะมีคำสั่งหรือนิติกรรมในทางปกครองอันส่ง ผลกระทบถึงประชาชนนั่นเอง ซึ่งมักจะมีการละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามของแต่ละหน่วยงานในการดำเนินการดังกล่าว
ดุลพินิจผูกพัน และอำนาจดุลพินิจทั่วไป การควบคุมการใช้อำนาจรัฐ มีสิ่งที่จะต้องควบคุมคือ การควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรของรัฐ หน่วยงานของรัฐ นั่นเอง ซึ่งการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มี 2 รูปแบบ คือ
1 ดุลพินิจผูกพัน คือ อำนาจหน้าที่ที่องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐต้องปฏิบัติเมื่อมีข้อเท็จจริงอย่างใดๆเกิดขึ้นตามที่กฎหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ ได้บัญญัติกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนี้ องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐจะต้องออกคำสั่งและคำสั่งนั้นต้องมีเนื้อความเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น เรื่องการร้องขอจดทะเบียนสมรส เมื่อชายและหญิงผู้ร้องขอมีคุณสมบัติครบถ้วนและปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการสมรสที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. แล้ว นายทะเบียนครอบครัวจะต้องทำการจดทะเบียนสมรสให้แก่ผู้ร้องขอเสมอ
2 อำนาจดุลพินิจทั่วไป อำนาจดุลพินิจทั่วไปแตกต่างกับดุลพินิจผูกพันข้างต้น กล่าวคือ อำนาจดุลพินิจทั่วไปเป็นอำนาจที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหรือองค์กรฝ่ายปกครองของรัฐสามารถเลือกตัดสินใจออกคำสั่ง หรือเลือกสั่งการอย่างใดๆได้ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เพื่อให้บรรลุตามความมุ่งหมายหรือตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง อำนาจดุลพินิจทั่วไปก็คือ อำนาจที่กฎหมายเปิดช่องให้องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐมีอิสระในการตัดสินใจเมื่อมีเหตุการณ์หรือมีข้อเท็จจริงใดๆที่กำหนดไว้เกิดขึ้น
ทั้งดุลพินิจผูกพันและอำนาจดุลพินิจทั่วไปนี้ ส่วนใหญ่แล้วกฎหมายจะกำหนดให้ใช้อำนาจทั้งสองนี้ไปด้วยกัน กล่าวคือ เมื่อมีข้อเท็จจริงอย่างใดเกิดขึ้นแล้ว องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐจะต้องออกคำสั่งในเรื่องนั้นๆ (ดุลพินิจผูกพัน) แต่จะออกคำสั่งอย่างไรนั้น สามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระตามที่กฎหมายเปิดช่องไว้ (อำนาจดุลพินิจทั่วไป)
การเยียวยาความเสียหาย คือ การชดใช้ในทางค่าใช้จ่ายหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในคดีปกครองเช่นเดียวกับค่าเสียหายในคดีแพ่ง ทั้งนี้เพราะในการใช้อำนาจปกครองที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจหรือกว่านั้น ในบางครั้งอาจจะกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพหรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนได้ ดังนั้น จึงไม่สมควรที่จะให้ฝ่ายปกครองนำหลักของการที่ตนมีอำนาจในทางปกครองเหนือกว่ามาปฏิเสธความรับผิดในเรื่องนี้ กฎหมายจึงกำหนดให้ฝ่ายปกครองอาจต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ประชาชน หากการกระทำใดๆของฝ่ายปกครองจะไปกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น ในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาเป็นของรัฐเพื่อทำถนนสาธารณะ ซึ่งฝ่ายปกครองมีอำนาจทำได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากประชาชน กรณีเช่นนี้ ถ้าฝ่ายปกครองเวนคืนที่ดินมา ก็จะทำให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของที่ดินส่วนนั้นได้รับความกระทบกระเทือนถึงสิทธิในทรัพย์สินที่ตนมีอยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย ในการนี้ฝ่ายปกครองจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินทดแทนค่าที่ดินในส่วนที่จะต้องเวนคืนให้กับประชาชนเจ้าของที่ดินนั้น เพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นนั่นเอง