การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561
ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1001 อารยธรรมตะวันตก
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. การค้นพบถ่านหินที่ใดแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกและสิ่งมีชีวิต
(1) เกาะมาดากัสก้า
(2) เกาะอังกฤษ
(3) เกาะกาลาปากอส
(4) หมู่เกาะสปิตเบอร์เกน
ตอบ 4 หน้า 2, 7 (H) การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะเกิดขึ้นหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาเป็นเวลาช้านาน ตัวอย่างเช่น การขุดค้นพบแหล่งถ่านหินในบริเวณหมู่เกาะสปิตเบอร์เกน (Spitbergen) ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์ใกล้กับบริเวณขั้วโลกเหนือ หรือบริเวณ ที่เส้นขนาน 80 องศาเหนือ ซึ่งปัจจุบันถูกปกคลุมไปด้วยธารน้ําแข็งนั้น อันเป็นประจักษ์พยานว่าบริเวณนี้เคยเป็นเขตป่าไม้และมีอากาศแบบกึ่งเมืองร้อนมาก่อน

Advertisement

2. ความสําคัญของทฤษฎีโนแมดทางอารยธรรมเน้นในเรื่องใด
(1) สภาพภูมิศาสตร์
(2) สภาพภูมิอากาศ
(3) การทําลายอารยธรรม
(4) ผู้ชนะรับเอาอารยธรรมของผู้แพ้มาปรับใช้
ตอบ 4 หน้า 26 – 27, 13 (H) ทฤษฎีโนแมด (Nomad Theory) หมายถึง การที่ผู้ชนะยอมรับเอา อารยธรรมที่เจริญกว่าของผู้แพ้มาเผยแพร่และปรับใช้ เช่น กรณีที่พวกเซไมท์เข้ายึดครองดินแดน ของพวกสุเมเรียน และรับเอาอารยธรรมของพวกสุเมเรียนมาปรับใช้ เป็นต้น

3. มนุษย์ถือกําเนิดขึ้นในยุคสมัยทางธรณีวิทยาที่มีการปรับเปลี่ยนทุกระยะ 4 ครั้งต่อ 1 รอบ ยุคใด
(1) Archeozoic
(2) Pleistocene
(3) Cenozoic
(4) Mesozoic
ตอน 2 หน้า 2, 8 (H), (คําบรรยาย) ยุคน้ําแข็ง (Pleistocene) เป็นยุคที่ธารน้ําแข็งปกคลุมส่วนต่าง ๆ ของโลก ซึ่งเริ่มประมาณ 1 ล้านปีมาแล้ว โดยพบว่ามนุษย์ถือกําเนิดขึ้นในยุคสมัยทางธรณีวิทยา ที่มีการปรับเปลี่ยนทุกระยะ 4 ครั้งต่อ 1 รอบในยุคดังกล่าวนี้ ระยะสุดท้ายคือ ระยะนานที่สุด ประมาณ 150,000 ปี หรืออย่างน้อยที่สุดประมาณ 25,000 ปีมาแล้ว

4. บรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน (Primate) คือข้อใด
(1) โฮโม อีเรคตัส
(2) โฮม เซเปียนส์
(3) โฮโม นีแอนเดอร์ล
(4) โฮโม ฟาเบอร์
ตอบ 2 หน้า 11 – 12, 38, 1C (H) โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) หรือมนุษย์ฉลาด เริ่มปรากฏขึ้น ครั้งแรกในยุคหินเก่าตอนปลาย ซึ่งถือเป็นมนุษย์ที่รู้จักคิดและรู้จักการโต้ตอบ มีหน้าตาคล้ายมนุษย์ ปัจจุบันมากขึ้น และถือว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน (Primate) ซึ่งจะมีอยู่ 3 เผ่าพันธุ์ คือ
1. มนุษย์โครมันยอง (Cro-Magnon) หรือคนผิวขาว
2. มนุษย์กรมัลดี (Grimaldi) หรือคนผิวดํา
3. มนุษย์ชานเซอเลด (Chancelade) หรือคนผิวเหลืองหรือสีน้ำตาล

5. จุดประสงค์แรกในการเลี้ยงสัตว์ของมนุษย์ คือข้อใด
(1) เพื่อใช้แรงงานทางการเกษตร
(2) เพื่อประกอบพิธีกรรม
(3) เพื่อใช้เป็นอาหาร
(4) เพื่อเป็นเพื่อน
ตอบ 3 หน้า 14, 39, 10 (H), (คําบรรยาย) ยุคหินกลาง (Mesolithic) ถือว่าเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง หรือเป็นยุคที่เชื่อมต่อระหว่างยุคหินเก่า (ยุคเก็บผลไม้) กับยุคหินใหม่ (ยุคปลูกผลไม้) นอกจากนี้ ยังเป็นยุคที่มนุษย์อยู่เป็นหลักแหล่ง อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล ทําอาชีพประมง และเริ่มรู้จักการ เลี้ยงสัตว์ ซึ่งสัตว์ชนิดแรกที่มนุษย์รู้จักนํามาเลี้ยงคือ สุนัข โดยมีจุดประสงค์แรกในการเลี้ยงก็เพื่อใช้บริโภคเป็นอาหาร

6. ในยุคหินใหม่ มนุษย์มีวิวัฒนาการมาถึงขั้นใด
(1) เริ่มรู้จักการเพาะปลูก
(2) เริ่มรู้จักการล่าสัตว์
(3) เริ่มรู้จักการใช้ไฟ
(4) เริ่มตั้งรกรากและสร้างอารยธรรม
ตอบ 4 หน้า 14, 39, 10 (H), (คําบรรยาย) ยุคหินใหม่ (Neolithic / New Stone Age) เป็นยุคที่มนุษย์ รู้จักเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูก รวมทั้งเป็นยุคของการสร้างสมอารยธรรมในระยะแรก ๆ ของโลก กล่าวคือ มีการเปลี่ยนจากชุมชนเร่ร่อนเป็นชุมชนรกราก หรือเป็นยุคที่เริ่มมีการตั้งถิ่นฐานเป็น ครั้งแรก มีหัวหน้าปกครอง มีการแบ่งงานกันทํา และเริ่มดํารงชีวิตแบบสังคมเมือง (Urban Life) ซึ่งถือว่าเป็นสมัยอารยธรรม(Civilization) ของมนุษย์

7. ข้อใดจัดเป็นหลักฐานดั้งเดิม Primary Record
(1) บทความ
(2) วารสาร
(3) หนังสือพิมพ์
(4) จารึก
ตอบ 4 หน้า 21, 12 (H), (คําบรรยาย) เรื่องราวที่ได้จารึกไว้เป็นหลักฐาน (Written Record) เป็น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่สําคัญ ที่สุดในการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์สมัยประวัติศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. หลักฐานดั้งเดิม (Primary Record) เช่น จารึกโบราณ หลักศิลาจารึก สนธิสัญญา จดหมายเหตุ เอกสารทางการทูต แถลงการณ์ของรัฐบาล พงศาวดาร ฯลฯ 2. หลักฐานรอง (Secondary Record) ได้แก่ หนังสือที่เรียบเรียงมาจากหลักฐานดั้งเดิม
เช่น บทความ วารสาร หนังสือพิมพ์ ตําราอารยธรรมตะวันตก ฯลฯ

8.ระบบการปกครองที่ได้รับอิทธิพลผสมระหว่างอนารยชนและโรมัน คือ
(1) เทวสิทธิกษัตริย์
(2) สมบูรณาญาสิทธิราชย์
(3) ประชาธิปไตย
(4) ศักดินาสวามิภักดิ์
ตอบ 4 หน้า 17, 222 – 223, (คําบรรยาย) ในช่วงยุคกลางของยุโรป (ค.ศ. 500 – 1500) สภาพบ้านเมือง ของยุโรปเสื่อมโทรม กษัตริย์ไม่มีความสามารถ มีพวกอนารยชนเยอรมันเข้ามารุกรานอยู่ตลอดเวลา และมีโจรผู้ร้ายชุกชุม ส่งผลให้ประชาชนได้รับความยากลําบากมาก จนต้องหันไปขอความคุ้มครอง จากพวกขุนนางแทน ด้วยเหตุนี้จึงทําให้เกิดระบอบการเมืองใหม่ที่เรียกว่า ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ หรือระบอบฟิวดัล (Feudalism) ขึ้น ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ได้รับอิทธิพลผสมระหว่าง ประเพณีเดิมของทั้งโรมันและอนารยชนเยอรมัน

9.พวกเซไมท์เข้ายึดครองและรับอารยธรรมของพวกสุเมเรียนมาใช้ เป็นลักษณะของทฤษฎีใด
(1) ทฤษฎีภูมิศาสตร์
(2) ทฤษฎีโนแมด
(3) ทฤษฎีดินเสื่อม
(4) ทฤษฎีศาสนา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

10. อารยธรรมใดที่ได้รับการขนานนามว่า “ของขวัญจากลุ่มแม่น้ําไนล์”
(1) อารยธรรมกรีก
(2) อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
(3) อารยธรรมอียิปต์
(4) อารยธรรมโรมัน
ตอบ 3 หน้า 46, 17 (H) เฮโรโดตัส (Herodotus) เป็นนักปราชญ์ชาวกรีกที่ได้กล่าวไว้ว่า “อียิปต์คือ ของขวัญจากลุ่มแม่น้ําไนล์” (Egypt is a gift of the Nites) ทั้งนี้เพราะสภาพภูมิประเทศของอียิปต์จะล้อมรอบไปด้วยทะเลทราย มีอากาศร้อนและแห้งแล้ง และมีฝนตกเฉพาะบริเวณเดลต้าแม่น้ำไนล์จึงเป็นหัวใจสําคัญที่หล่อเลี้ยงและให้ความชุ่มชื้นแก่อียิปต์ จนทําให้อียิปต์เป็นดินแดน ที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทําเกษตรกรรม และมีความมั่งคั่งจนสามารถสร้างสมอารยธรรม อันยิ่งใหญ่ของโลกในยุคโบราณได้

11. สันนิษฐานว่าแหล่งกําเนิดของมนุษย์อยู่ในทวีป
(1) ยุโรป
(2) เอเชียและแอฟริกา
(3) ออสเตรเลีย
(4) อเมริกา
ตอบ 2 หน้า 1 – 2, 8 (H) นักประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่าแหล่งกําเนิดของมนุษย์อยู่ในทวีปเอเชียและ แอฟริกา รวมทั้งบริเวณตอนกลางของทวีปเอเชียที่อยู่ติดกับยุโรป คือบริเวณยูเรเชีย (Eurasia) ซึ่งมีภูมิอากาศเหมาะสําหรับการพัฒนาของไพรเมท (Primate) ที่เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ต่อมา มนุษย์เหล่านี้ก็ได้กระจัดกระจายออกไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่าง ๆ ทั้งในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา

12. จุดมุ่งหมายของการสร้างปฏิทินของอารยธรรมสมัยแรก คือข้อใด
(1) เพื่อการจัดระบบสังคมในเรื่องวันหยุดและการแบ่งงาน
(2) เพื่อต้องการทราบระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลเพื่อทําการเกษตร
(3) เพื่อใช้สําหรับวัน เวลา ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 35 – 36, 14 (H) (คําบรรยาย) จุดมุ่งหมายของการสร้างปฏิทินของอารยธรรมในสมัยแรก คือ เพื่อต้องการทราบระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล และการกําหนดระยะเวลาในแต่ละปี ซึ่งเป็นประโยชน์ในการทําเกษตรกรรม เช่น ปฏิทินสุริยคติของอียิปต์ เป็นต้น

13. จูเลียส ซีซาร์ นําปฏิทินมาประยุกต์ใช้กับอาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นมรดกจากอารยธรรมใด
(1) อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
(2) อารยธรรมมายา
(3) อารยธรรมอินคา
(4) อารยธรรมอียิปต์
ตอบ 4 หน้า 52, 50 – 51 (H) ในปี 46 B.C. จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้นําเอาปฏิทินแบบสุริยคติ ของอียิปต์มาเผยแพร่และประยุกต์ใช้กับอาณาจักรโรมัน ซึ่งปฏิทินดังกล่าวนี้ยังคงใช้สืบเนื่องมา จนถึงปัจจุบัน โดยชื่อเดือนกรกฎาคม หรือ July ก็ได้มาจากชื่อของ Julius Caesar นั่นเอง

14. มนุษย์รู้จักใช้ไฟที่เกิดจากธรรมชาติให้ความอบอุ่น และประกอบอาหารในยุคใด
(1) หินเก่า
(2) หินแรก
(3) หินเก่าตอนต้น
(4) หินกลาง
ตอบ 3 หน้า 8 – 9, 9 – 10 (F) ยุคหินเก่าตอนต้น หรือ “ยุคล่าสัตว์” (The Age of the Hunter) เป็น สมัยที่มนุษย์รู้จักใช้หินเป็นอาวุธในการล่าสัตว์ อาศัยอยู่ในถ้ํา รู้จักใช้ไฟที่เกิดจากธรรมชาติมาให้ ความอบอุ่น และประกอบอาหารให้สุก มีร่างกายยืดตรง พูดได้ และมีมันสมองใหญ่ มนุษย์ในสมัยนี้ ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในแอฟริกา ซึ่งรู้จักกันในชื่อ East African Man

15. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) การประดิษฐ์ Papyrus ทําจากต้นกก ต้นอ้อ ริมแม่น้ําไนล์
(2) Book of the Death คือหนังสือตัดสินความดีหลังจากเสียชีวิตของชาวอียิปต์
(3) อักษร Cuneiform มีลักษณะเป็นรูปลิ่ม กดทับลงบนแผ่นดินเหนียว
(4) ชาวเมโสโปเตเมียรับวิธีการสร้างปฏิทินจากอียิปต์
ตอบ 4 หน้า 36, 69 – 70, 23 – 24 (H) ปฏิทินของชาวสุเมเรียน (Sumerians) ในดินแดนเมโสโปเตเมีย เป็นปฏิทินแบบจันทรคติ ซึ่งเกิดขึ้นจากการสังเกตดวงจันทร์บนท้องฟ้า โดยกําหนดให้หนึ่งปีมี 354 วัน ในขณะที่ปฏิทินแบบสุริยคติของชาวอียิปต์เกิดขึ้นจากการสังเกตระยะเวลาการขึ้นลงของ แม่น้ำไนล์ โดยกําหนดให้หนึ่งปีมี 365 วัน

16. ข้อใดเป็นลักษณะของดินแดนเมโสโปเตเมีย
(1) เป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์
(2) มีประชากรหลากหลายเชื้อชาติ
(3) เป็นผู้คิดประดิษฐ์ปฏิทินแบบจันทรคติ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 65 – 69, 73, 23 – 24 (H), (คําบรรยาย) ลักษณะของดินแดนเมโสโปเตเมีย มีดังนี้
1. เป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์
2. เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ปิดเผย ไม่มีปราการทางธรรมชาติป้องกันการรุกรานจากศัตรู
3. มีประชากรหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาอยู่รวมกัน
4. มีชาวสุเมเรียนเป็นผู้คิดประดิษฐ์ปฏิทินแบบจันทรคติ
5. เป็นแหล่งกําเนิดกฎหมายฉบับแรกของโลก คือประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (The Code of Hammurabi) ของพระเจ้าฮัมมูราบี เป็นต้น

17. กลุ่มชนที่ได้รับฉายาว่า “พ่อค้าทางบก” คือกลุ่มใด
(1) อัคคาเดียน
(2) แคลเดียน
(3) อราเมียน
(4) ฟินิเซียน
ตอบ 3 หน้า 86 – 87, 27 (H. ความสําคัญของพวกอราเบียน คือ
1. ภาษาอราเมียนเป็นภาษากลางของกลุ่มเอเชียตะวันตก และเป็นภาษาที่พระเยซูและเหล่าสาวก
ใช้ในการสอนศาสนา
2. พวกอราเมียนได้รับฉายาว่าเป็น “พ่อค้าทางบก” ที่ยิ่งใหญ่ในเขตตะวันออกใกล้ (Near East) หรือบริเวณเอเชียตะวันตก

18.Pharaoh ผู้ปกครองอียิปต์ปกครองภายใต้ระบอบใด
(1) เทวาธิปไตย
(2) ประชาธิปไตย
(3) อนาธิปไตย
(4) อภิชนาธิปไตย
ตอบ 1 หน้า 53, 60, 19 (H), (คําบรรยาย) การปกครองของอียิปต์ในสมัยอาณาจักรเก่าหรือสมัยพีระมิด เป็นแบบเทวาธิปไตย โดยมีฟาโรห์ (Pharaoh) เป็นประมุขสูงสุด และทรงเป็นเทวกษัตริย์ที่มีฐานะ เป็นโอรสของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์คือ สุริยเทพเรหรือรา (Re / Ra) โดยทรงทําหน้าที่เป็นทั้ง หัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าพระ เป็นผู้พิพากษาสูงสุด รวมทั้งเป็นผู้บังคับบัญชาการกองทัพและ บัญชาการทางด้านพลเรือนด้วย

19. ข้อใดไม่ใช่ผลงานของชาวสุเมเรียน
(1) อักษรคูนิฟอร์ม
(2) การนับหน่วย 60
(3) ศาสนาโซโรแอสเตอร์
(4) วิหารซิกกูแรต
ตอบ 3 หน้า 69 – 71, 23 – 24 (H) อารยธรรมที่สําคัญของชาวสุเมเรียน คือ
1. การประดิษฐ์ตัวอักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) หรือตัวอักษรรูปลิ่ม โดยใช้ลิ่มหรือวัสดุที่มี ความแข็ง กดทับลงบนแผ่นดินเหนียว แล้วนําไปตากแดดหรือเผาไฟให้แห้ง
2. การสร้างสถาปัตยกรรมด้วยอิฐที่เรียกว่า “ซิกกูแรต” (Ziggurats) เพื่อใช้เป็นวิหารของเทพเจ้า
3. การทําปฏิทินแบบจันทรคติขึ้นใช้ โดยหนึ่งปีจะมี 354 วัน
4. การนับหน่วย 60 เช่น 1 ชั่วโมง มี 60 นาที, 1 นาที มี 60 วินาที เป็นต้น

20. ผู้ที่เรียกชื่อวันในหนึ่งสัปดาห์ตามชื่อของดวงดาวในระบบสุริยะ คือกลุ่มใด
(1) ฟินิเซียน
(2) แคลเดียน
(3) ฮิบรู
(4) ฮิทไทท์
ตอบ 2 หน้า 82 – 84, 26 (H) ผลงานที่สําคัญของกลุ่มแคลเดียน คือ
1. การสร้างสวนลอยแห่งนครบาบิโลน (Hanging Garden of Babylonia)
2. การเรียกชื่อวันต่าง ๆ ทั้ง 7 วันใน 1 สัปดาห์ตามชื่อของดวงดาวในระบบสุริยะ
3. การหาระยะเวลาที่ดวงจันทร์หมุนรอบโลก เวลาที่เกิดสุริยคราสและจันทรคราส และคํานวณความยาวของปีทั้งหมดได้อย่างแม่นยํา

21. กลุ่มคนที่ปรับปรุงอักษรพยัญชนะ 22 ตัว และถ่ายทอดให้กับอักษรกรีก-โรมัน คือกลุ่มใด
(1) ฟินิเชียน
(2) แคลเดียน
(3) ฮิบรู
(4) ฮิทไทท์
ตอบ 1 หน้า 84 – 85, 27 (H), (คําบรรยาย) ชาวฟินิเซียน (Phoenicians) ได้รับการยกย่องว่าเป็น “พ่อค้าทางทะเล” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 11 B.C. หรือประมาณปี 1000 B.C. นอกจากนี้ ชาวฟินเขียนยังได้ชื่อว่าเป็นนักลอกเลียนและนักปรับปรุงโดยเลียนแบบการปกครองมาจากอียิปต์และบาบิโลเนียผ่านทางการค้าขาย รวมทั้งรับรูปแบบตัวอักษรเฮียโรกลิฟิกของอียิปต์ และ ตัวอักษรคูนิฟอร์มของสุเมเรียนมาดัดแปลงเป็นของตน เพื่อใช้จดบันทึกทางการค้า โดยปรับปรุง อักษรพยัญชนะ 22 ตัว ซึ่งต่อมาตัวอักษรดังกล่าวก็ถูกถ่ายทอดให้กับอักษรกรีก-โรมัน

22. ลักษณะโดดเด่นของชาวอัสสิเรียน คือข้อใด
(1) เป็นผู้ถ่ายทอดระบบการใช้ปฏิทินให้กับกรีก-โรมัน
(2) การผลิตเหรียญกษาปณ์ครั้งแรก, มีความเชี่ยวชาญทางด้านการพาณิชย์
(3) มีความเชี่ยวชาญในด้านการทําสงครามและรูปสลักนูนต่ำ, มีนิสัยดุร้าย
(4) ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ชอบสร้างสรรค์งานศิลปะ
ตอบ 3 หน้า 80 – 82, 25 – 26 (H) ลักษณะโดดเด่นของชาวอัสสิเรียน คือ
1. เป็นพวกนักรบที่มีนิสัยดุร้ายป่าเถื่อน และมีความเชี่ยวชาญในด้านการทําสงคราม
2. เป็นชนชาติแรกที่จัดระเบียบการปกครองจักรวรรดิอย่างมีระบบ
3. สร้างหอสมุดแห่งแรกของเอเชียตะวันตกคือ หอสมุดที่กรุงนิเนอเวห์ในสมัยพระเจ้าอัสซูร์บานิพัล
4. ชาวอัสสิเรียนได้รับฉายาว่าเป็น “ชาวโรมันตะวันออก” เพราะมีลักษณะเหมือนชาวโรมัน
5. ศิลปะที่มีชื่อเสียงมากของอัสสิเรียนคือ การแกะสลักภาพนูนต่ําซึ่งสะท้อนถึงลักษณะที่ดุร้าย ของชาวอัสสิเรียน เป็นต้น

23. ข้อใดคือกษัตริย์คนสําคัญของเปอร์เซีย
(1) ซากอน
(2) ครีซัส
(3) อัสซูร์บานิพัล
(4) ดาริอุส
ตอบ 4 หน้า 93 – 95, 31 (H) พระเจ้าดาริอุสมหาราช เป็นกษัตริย์คนสําคัญของเปอร์เซีย ทรงมีฉายา ว่า “King of Kings” โดยมีผลงานที่สําคัญดังนี้
1. ขยายจักรวรรดิเปอร์เซียออกไปอย่างกว้างขวาง โดยแบ่งเขตปกครองออกเป็น 20 มณฑล
2. สร้างถนนไปตามเมืองต่าง ๆ ทั่วจักรวรรดิ มีชื่อว่า “เส้นทางพระราชา” (The King’s Highway) มีระยะทางประมาณ 1,600 ไมล์
3. มีการวางระบบสื่อสารระหว่างเมืองหลวงถึงมณฑลและการวางกําลังทหารไว้ตามจุด ยุทธศาสตร์สําคัญ ๆ เพื่อการควบคุมเมืองขึ้น
4. มีการเก็บบัญชีภาษีไว้ที่เมืองหลวง เพื่อเป็นการควบคุมการเงิน

24. ศาสนาที่มีความเชื่อ คําสอน ว่าทุกสิ่งมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ถือว่าเป็นศาสนาแห่งเหตุผลในยุคโบราณคือศาสนาใด
(1) อิสลาม
(2) ยูดาย
(3) เอเดรียน
(4) โซโรแอสเตอร์
ตอบ 4 หน้า 96 – 98, 31 (H) ลักษณะสําคัญของศาสนาโซโรแอสเตอร์ (Zoroaster) คือ
1. เป็นศาสนาประจําชาติของเปอร์เซีย โดยมีโซโรแอสเตอร์เป็นศาสดา
2. สอนว่าทุกสิ่งในโลกนี้มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ซึ่งต่อสู้เอาชนะกันตลอดเวลา โดยมีพระอนุรา มาสดา (Ahura Mazda) เป็นเทพแห่งแสงสว่างและความดี และมีอหริมัน (Aharyman) เป็นเทพแห่งความมืดและความชั่ว
3. เป็นศาสนาแห่งจริยธรรมและเหตุผล โดยเชื่อว่าตายไปแล้วจะต้องได้รับผลกรรมที่เคยทําไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่
4. เป็นศาสนาที่ประกาศสัจธรรมเป็นศาสนาแรกของโลกตะวันตก
5. เป็นศาสนาที่มีการบูชาไฟ เป็นต้น

25. ข้อใดไม่ใช่ผลจากแม่น้ําไนล์
(1) การสังเกต น้ำขึ้น-น้ำลง เพื่อทําปฏิทิน
(2) การสร้างพีระมิดบูชาเทพเจ้า
(3) เกษตรกรรม
(4) การประดิษฐ์ปฏิทินแบบจันทรคติ
ตอบ 4 หน้า 46 – 47, 53 – 54, 17 – 18 (H) ความสําคัญของแม่น้ำไนล์ที่มีผลต่อการสร้างอารยธรรม
ของอียิปต์ มีดังนี้
1. ทําให้อียิปต์เป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทําเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์
2. การสังเกต น้ำขึ้น-น้ำลง ของแม่น้ําไนล์เพื่อทําการชลประทาน ได้นําไปสู่การประดิษฐ์ปฏิทิน แบบสุริยคติ
3. การสร้างพีระมิดบูชาเทพเจ้า เพราะเชื่อว่าการที่แม่น้ำไนล์อุดมสมบูรณ์นั้นเป็นการกระทําของเทพเจ้า
4. การขึ้นลงของแม่น้ำไนล์เกิดขึ้นจากอิทธิพลของฟาโรห์ นั่นคือ เมื่อฟาโรห์ยังทรงมีพระชนม์ อยู่จะมีฐานะเป็นเทพโฮรัส (Horus) โอรสของเทพโอซิริส (Osiris) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งแม่น้ำไนล์ เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วก็จะกลับไปเป็นเทพโอซิริสอีกครั้ง ซึ่งแสดงถึงความเชื่อเกี่ยวกับการ แบ่งภาคเป็นฟาโรห์มาปกครอง เป็นต้น

26. ศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลในช่วงสมัยอารยธรรมอียิปต์ เมโสโปเตเมีย คือข้อใด
(1) ทะเลแดง
(2) ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
(3) ทะเลสาบแคสเปียน
(4) คลองสุเอซ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลในสมัยอารยธรรมอียิปต์และเมโสโปเตเมีย คือ ในน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยชาวอียิปต์จะค้าขายทางเรือโดยใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสินค้า กับกลุ่มชนในดินแดนเมโสโปเตเมีย อันได้แก่ ปาเลสไตน์ ฟินิเซีย ซีเรีย และเอเชียไมเนอร์

27. เหตุใดชาวอียิปต์จึงเป็นคนมองโลกในแง่ดี
(1) มีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย
(2) การดํารงชีวิตอุดมสมบูรณ์
(3) ไม่มีการสู้รบและการทําสงคราม
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 64 – 65, 68, 23 (H) ชาวอียิปต์ได้รับประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำไนล์ ทําให้มีการดำรงชีวิตที่สุขสมบูรณ์ ประกอบกับมีความเชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ ชีวิตหลังความตาย และโลกหน้า ทําให้ชาวอียิปต์เป็น “พวกที่มองโลกในแง่ดี” และหวังจะกลับมาเกิดใหม่ ในโลกหน้า จึงมีการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทํามัมมี่ และมีการสร้างสุสานไว้เก็บศพ นอกจากนี้ดินแดนอียิปต์ยังมีทะเลทรายเป็นปราการทางธรรมชาติที่จะช่วยสกัดกั้นการรุกรานจากศัตรูภายนอก ทําให้ไม่มีการสู้รบและการทําสงคราม

28. การใช้ลิ่มหรือวัสดุที่มีความแข็ง กดทับลงบนแผ่นดินเหนียว เป็นลักษณะของตัวอักษรใด
(1) เฮียโรกลิฟิก
(2) ฟินีเซียน
(3) กรีก
(4) คูนิฟอร์ม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

29. บริเวณ “สุเอซ” ของอียิปต์โบราณ มีลักษณะสําคัญอย่างไร
(1) ศูนย์กลางการค้าขายทางทะเล
(2) จุดอ่อนของอียิปต์ทางด้านการป้องกันประเทศ
(3) ต้นกําเนิดของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้า
(4) แม่น้ำสายหลักที่ใช้ในการทําการเกษตรของอารยธรรมอียิปต์
ตอบ 2 หน้า 47 – 48, 18 (H) บริเวณที่เป็นจุดอ่อนของอียิปต์ทางด้านการป้องกันประเทศ คือ บริเวณช่องแคบ “สุเอซ” (Suez) ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมระหว่างทวีปแอฟริกากับทวีปเอเชียตะวันตก บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ําไทกริส-ยูเฟรตีส ซึ่งเป็นแหล่งกําเนิดอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ดังนั้นพื้นที่บริเวณนี้จึงเป็นทางเชื่อมหรือสะพานระหว่าง 2 ทวีปและ 2 อารยธรรม เป็นเส้นทางการค้า และเป็น แหล่งเชื่อมความคิด อีกทั้งยังเป็นทางเดินของศัตรูผู้รุกรานตลอดสมัยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ของอียิปต์โบราณ

30. เทพเจ้าสูงสุดของอียิปต์ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการแบ่งภาคเป็นฟาโรห์มาปกครอง คือเทพองค์ใด
(1) อานูบิส-ซุส
(2) ไอซิส-โอซิริส
(3) โอซิริส-โฮรัส
(4) ซุส-โพเซดอน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

31. สมัยที่อียิปต์เริ่มมีการสั่งสมกองทัพและสร้างวิหาร อยู่ในสมัยใด
(1) สมัยก่อนราชวงศ์
(2) สมัยขุนนาง
(3) สมัยอาณาจักรเก่า
(4) สมัยอาณาจักรใหม่
ตอบ 4 หน้า 56 – 57, 20 (H) สมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิของอียิปต์ (1580) – 1090 B.C.) เป็นสมัยที่ฟาโรห์มีอํานาจมากที่สุด เพราะหลังจากที่ขุนนางอียิปต์สามารถขับไล่พวกฮิคโซส (Hyksos) ออกจากอียิปต์ได้สําเร็จแล้ว ฟาโรห์ได้ทรงดึงอํานาจคืนจากพวกขุนนางและพระ จากนั้นจึงทรงปกครองด้วยอํานาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว มีการสั่งสมกองทัพทั้งกองทัพบกและ กองทัพเรือ เริ่มใช้นโยบายรุกรานเพื่อนบ้านเอาไว้เป็นรัฐกันชน และที่สําคัญก็คือ การเปลี่ยนจาก การสร้างพีระมิดมาเป็นการสร้างวิหารตามไหล่เขาและหน้าผาอย่างใหญ่โตมโหฬาร เพื่อแสดงอํานาจและความมั่งคั่งของฟาโรห์

32.พีระมิด สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใด
(1) สถานที่เก็บรักษาพระศพของฟาโรห์
(2) สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา บูชาเทพเจ้า
(3) พระราชวังที่ประทับของฟาโรห์
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 53 – 54, 64 – 65, 19 (H), 21 (H) การสร้างพีระมิดในสมัยอาณาจักรเก่าของอียิปต์นั้น เป็นการสร้างเพื่อถวายแก่ฟาโรห์ โดยมีจุดประสงค์สําคัญ 2 ประการ คือ
1. เชื่อว่าเมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็จะได้ไปร่วมมือกับเทพเจ้าเพื่อนําความอุดมสมบูรณ์ มาให้แก่อียิปต์เหมือนในสมัยที่ฟาโรห์ยังมีชีวิตอยู่
2. จากความเชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะและโลกหน้า ทําให้มีการสร้างพีระมิดไว้เก็บรักษา พระศพของฟาโรห์ เพื่อรอการฟื้นคืนพระชนม์ชีพ

33. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับกีฬาโอลิมปิก
(1) เทพเจ้ากรีก
(2) ภูเขาซีนาย
(3) ช่อมะกอกศักดิ์สิทธิ์
(4) ระยะเวลา 1 โอลิมเปียด
ตอบ 2 หน้า 115, 39 (H), (ค่าบรรยาย) ชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้ามักจะพอใจในการแสดงออกถึงความ กล้าหาญและความเข้มแข็งของมนุษย์ จึงได้จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (Olympic Games) ขึ้น ทุก ๆ 4 ปี เพื่อถวายแก่เทพซีอุส (Zeus) ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดของกรีก โดยผู้ที่ชนะจะได้รับมงกุฎ ที่ทําด้วยก้านมะกอกหรือช่อมะกอกศักดิ์สิทธิ์ และจะเรียกระยะเวลา 4 ปี ระหว่างการแข่งขัน แต่ละครั้งว่า โอลิมเปียด (Olympiad) หรือระยะเวลา 1 โอลิมเปียด กีฬาโอลิมปิกได้มีการจัด ขึ้นครั้งแรกในปี 776 3.C. และถูกยกเลิกในสมัยกษัตริย์ธีโอโดซีอุส ในปี ค.ศ. 393

34. อารยธรรมเฮลเลนิสติก เกิดขึ้นในสมัยใด
(1) สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
(2) สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
(3) หลังสงครามเมืองทรอย
(4) หลังสงครามคาบสมุทรเพลอปอินนิซุส
ตอบ 1 หน้า 146, 38 (H), 4” (H) อารยธรรมกรีกโบราณ แบ่งออกเป็น 2 สมัย คือ
1. สมัยเฮลเลนิก (Helenic) เป็นอารยธรรมกรีกแท้ หรือสมัยก่อนพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช โดยเริ่มตั้งแต่สมัยการอพยพของพวกอินโด-ยุโรป ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวกรีก
2. สมัยเฮลเลนิสติก (Hellenistic) เป็นอารยธรรมผสมระหว่างอารยธรรมกรีกเฮลเลนิก (ตะวันตก) กับอารยธรรมเปอร์เซีย (ตะวันออก) ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช

35. นครรัฐที่ปกครองระบอบเผด็จการทหารในดินแดนกรีก คือข้อใด
(1) ทรอย
(2) สปาร์ตา
(3) เอเธนส์
(4) อิกทาก้า
ตอบ 2 หน้า 118 – 121, 40 – 41 (H) ลักษณะสําคัญของนครรัฐสปาร์ตา คือ
1. เป็นดินแดนที่อยู่ในหุบเขา ไม่ติดชายฝั่งทะเล ทําให้ไม่มีกําแพงธรรมชาติป้องกันเหมือน นครรัฐอื่น และทําให้เกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ
2. แสวงหาความมั่งคั่งโดยการทําสงครามปราบปรามนครรัฐอื่น ๆ ทําให้มีทาสเชลยศึกเป็นจํานวนมาก
3. ปกครองระบอบเผด็จการทหารหรือเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarian Government)
4. ชาวสปาร์ตาเป็นผู้แบกภาระของรัฐไว้หนักที่สุด เพราะต้องเป็นทหารตั้งแต่อายุ 20 – 60 ปี เพื่อควบคุมพวกทาสซึ่งมีจํานวนมากกว่า เป็นต้น

36. การตรวจสอบความแข็งแรงสมบูรณ์ของเด็กเกิดใหม่ในรัฐสปาร์ตาเป็นหน้าที่ของใคร
(1) กลุ่มพาริเชียน
(3) สภาซีเนท
(2) คณะตรีบูน
(4) คณะเอเฟอร์
ตอบ 4 หน้า 119 – 120, 122, 41 (H) คณะเอเฟอร์ หรือกลุ่มผู้มีอํานาจสูงสุดในนครรัฐสปาร์ตา มีหน้าที่สําคัญดังนี้
1. กําหนดโชคชะตาของเด็กเกิดใหม่ทุกคน นั่นคือ เมื่อมีเด็กเกิดใหม่ต้องนําไปให้คณะเอเฟอร์ ตรวจสอบความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย ถ้าเด็กพิการหรืออ่อนแอก็จะถูกนําไปทิ้งหน้าผา เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อสังคม
2. สามารถถอดถอนหรือสั่งประหารกษัตริย์ได้
3. ควบคุมระบบการศึกษา
4. มีอํานาจเหนือกฎหมายและสภา

37. กีฬาโอลิมปิกถูกยกเลิกในสมัยใด
(1) จูเลียส ซีซาร์
(2) พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
(3) กษัตริย์ธีโอโดซีอุส
(4) กษัตริย์จัสติเนียน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

38.Greco-Buddhist Arts ส่งผลให้กับศิลปะใด
(1) ศิลปะอินเดีย
(2) ศิลปะเฮลเลนิสติก
(3) ศิลปะลังกา
(4) ศิลปะโรมัน
ตอบ 1 หน้า 152, 47 (H), (คําบรรยาย) ในสมัยที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชกษัตริย์ของกรีก ได้ยกกองทัพขยายอํานาจมาถึงชายแดนอินเดียบริเวณลุ่มแม่น้ําสินธุ์ในปี 323 3.C. ส่งผลให้ ชาวอินเดียในแคว้นคันธาระได้รับอิทธิพลทางด้านการปั้นหรือประติมากรรมจากกรีก นั่นคือ ศิลปะการปั้นพระพุทธรูปแบบกรีก (Greco-Buddhist Arts) โดยจะเห็นว่าพระพุทธรูปของอินเดียในระยะแรกนั้นมีลักษณะเหมือนเทพอพอลโลของกรีก

39. กลุ่มชนดั้งเดิมในพื้นที่บริเวณคาบสมุทรอิตาลี ก่อนการบุกรุกของชาวเยอรมัน คือกลุ่มใด
(1) Plebeian
(2) Latin
(3) Greek
(4) Etruscan
ตอบ 2 หน้า 158 – 159, 48 (4) บรรพบุรุษของชาวโรมันคือ พวกอินโด-ยุโรป ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในคาบสมุทรอิตาลีเมื่อประมาณปี 2000 – 1000 B.C. ก่อนการรุกรานของอนารยชนเยอรมัน โดยหนึ่งในบรรดาพวกที่อพยพเข้ามาคือ พวกละติน (Latin) ซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณลุ่มแม่น้ํา ไทเบอร์ (Fiber) และได้สร้างกรุงโรมขึ้นบนฝั่งแม่น้ํานี้เมื่อปี 753 B.C. ต่อมาบริเวณนี้จึงได้ชื่อว่า “ที่ราบละติอุม” (Plair of Latium) และทําให้ชาวละตินกลุ่มนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “โรมัน”

40. ข้อใดจัดเป็นอารยธรรมกรีกแท้
(1) ศรีตัน ไมนวน
(2) เฮลเลนิก
(3) เฮลเลนิสติก
(4) โทรจัน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

41. เทพเจ้าของชาวกรีก-โรมัน มีลักษณะอย่างไร
(1) เชื่อในเรื่องความสมดุล ความมืด-ความสว่าง / ความดี ความชั่ว
(2) ประกอบพิธีกรรมอย่างเคร่งครัด โดยมีพระเป็นสื่อกลาง
(3) เทพเจ้ามีลักษณะใกล้เคียงมนุษย์ มีอารมณ์ ความรู้สึก
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 115, 39 (H) ชาวกรีก-โรมันมีความเชื่อในเรื่องวิญญาณและอํานาจลึกลับต่าง ๆ โดยเชื่อว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งลึกลับเหล่านั้นก็คือ เทพเจ้า ซึ่งเทพเจ้าจะมีรูปร่างหน้าตา อารมณ์ และความรู้สึก เช่นเดียวกับมนุษย์ ทั้งนี้ชาวโรมันจะรับเอาเทพเจ้าของกรีกมาทั้งหมด แต่มีการแปลงชื่อใหม่ โดยเทพเจ้าที่สําคัญ เช่น เทพซีอุส (Zeus) เป็นเทพเจ้าสูงสุด พวกโรมันเรียกว่า “จูปีเตอร์” (Jupiter), เทพโพไซดอน (Poseidon) เป็นเจ้าแห่งทะเล พวกโรมันเรียกว่า “เนปจูน” (Neptune) เป็นต้น

42. การต่อสู้ระหว่างทาส-สัตว์ / ทาส ทาส เพื่อให้ได้รับความเป็นอิสระ คือข้อใด
(1) Gradiator Combat
(2) Mortal Combat
(3) Circus Maximus
(4) Amphitheater
ตอบ 1 หน้า 177 – 179, 52 (H) ชาวโรมันเป็นกลุ่มชนที่นิยมการกีฬาและความบันเทิง ซึ่งที่ได้รับ ความนิยมมาก ได้แก่
1. การแข่งรถศึกเทียมม้าที่ Circus Maximus ซึ่งเป็นสนามที่จุคนดู ได้ประมาณ 150,000 คน
2. การแข่งขันกีฬากลาดิเอเตอร์ (Gradiator Coimbat) ที่สนามโคลอสเซียม (Colosseum) ในกรุงโรม ซึ่งจะเป็นการต่อสู้ระหว่างคนซึ่งอาจเป็นนักสู้ถืออาวุธ พวกฟรีดแมน หรือทาสกับทาส หรือทาสกับสัตว์ที่ดุร้ายก็ได้ ในกรณีที่เป็นการต่อสู้ของพวก ทาส หากชนะก็จะแลกกับการได้รับอิสรภาพ
3. การจัดการแสดงละครที่โรงมหรสพรูปครึ่ง วงกลม (Amphitheater) ซึ่งเป็นโรงละครขนาดใหญ่ในกรุงโรม

43. กฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของชาวโรมัน คือข้อใด
(1) กฎหมายสิบสองโต๊ะ
(2) กฎหมายฮัมมูราบี
(3) กฎหมายโซลอน
(4) กฎหมายจัสติเนียน
ตอบ 1 หน้า 161, 49 (H), (คําบรรยาย) ในปี 450 B.C. ได้มีการประกาศใช้ “กฎหมายสิบสองโต๊ะ” ซึ่งเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของชาวโรมัน โดยจารึกลงบนแผ่นทองแดง 12 แผ่น แล้วนําไปติดที่ฟอรัมเพื่อประกาศให้ราษฎรได้ทราบโดยทั่วไป

44. ปรัชญามนุษยนิยม “Man is the measure of all things” เป็นแนวคิดของใคร
(1) Sophists
(2) Plato
(3) Aristotle
(4) Socrates
ตอบ 1 หน้า 137, 140, 45 (H), (คําบรรยาย) ปรัชญากรีกจัดเป็นปรัชญามนุษยนิยม ดังที่โปรตากอรัส (Protagoras) นักปรัชญากลุ่มโซฟิสต์ (Sophists) ได้กล่าวไว้ว่า “มนุษย์คือเครื่องวัดทุกสิ่ง (Man is the measure of all things) ซึ่งเท่ากับเป็นการสรุปทัศนคติทั้งหมดของชาวกรีก หรือ อาจกล่าวได้ว่ากรีกเป็นนักมนุษยธรรมนิยม (Humanistic)

45. สงครามใดที่ทําให้นครรัฐกรีกอ่อนแอลง
(1) สงครามเปอร์เซียน
(2) สงครามปูนิก
(3) สงครามเพลอปอนนิซุส
(4) สงครามกรุงทรอย
ตอบ 3 หน้า 144, 46 (H), (คําบรรยาย) ในระหว่างปี 431 – 404 B.C. นครรัฐต่าง ๆ ของกรีกได้ทํา สงครามภายในระหว่างกันเอง เรียกว่า สงครามเพลอปอนนี้เซียน (The Peloponnesian War) หรือบางครั้งอาจเรียกว่า สงครามเพลอปอนนิซุส (Peloponnesus) ทั้งนี้เนื่องจากเกิดขึ้นบน คาบสมุทรเพลอปอนนี้ซุสเป็นส่วนใหญ่ ทําให้บรรดานครรัฐกรีกอ่อนแอลง จนเปิดโอกาสให้ พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนีย ยกกองทัพทหารฟาแลงซ์ (Phalanx) เข้ายึดครองนครรัฐกรีก ได้ทั้งหมด และสามารถรวบรวมนครรัฐกรีกซึ่งไม่เคยรวมกันเป็นรัฐเดียวเข้าไว้ด้วยกันได้เป็น ผลสําเร็จในปี 338 B.C.

46. ผู้ที่วางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย “การบริหารในมือคนส่วนใหญ่” คือใคร
(1) ดราโค
(2) โชลอน
(3) เพริคลิส
(4) คลิสเธนีส
ตอบ 4 หน้า 126 – 127, 43 (H) คลิสเธนีส (Cleisthenes) เป็นผู้ที่วางรากฐานการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยในเอเธนส์เป็นคนแรก ทําให้ประชาธิปไตยมีความหมายว่า “การบริหารอยู่ในมือ ของคนส่วนใหญ่” ซึ่งการปฏิรูปที่สําคัญ ได้แก่
1. กําจัดอิทธิพลของครอบครัวที่มีอํานาจทางการเมือง
2. จัดตั้งสภา 500 แทนสภา 400 ของโซลอน และแบ่งเอเธนส์ออกเป็น 10 เขต แต่ละเขตมี สมาชิก 50 คน
3. นําเอาระบบออสตราซิสม์ (Ostracism) มาใช้ ซึ่งเป็นการเนรเทศบุคคลที่ไม่พึงปรารถนา ออกจากนครเอเธนส์

47.Dark Age (ยุคมืด) ทางอารยธรรมอยู่ในช่วงใด
(1) ยุคกลางตอนต้น
(2) ยุคกลางตอนกลาง
(3) ยุคกลางอันรุ่งเรือง
(4) ยุคกลางตอนปลาย
ตอบ 1 หน้า 205 – 206, 214 318, 59 (H) ยุคกลางตอนต้น ถูกเรียกว่า “ยุคมืด” (Dark Age) เนื่องจาก ความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรมคลาสสิก หรืออารยธรรมกรีก-โรมัน ได้หยุดชะงักลงในดินแดน ยุโรปตะวันตก พร้อมกับการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ทั้งนี้เพราะถูกอนารยชนกลุ่ม ต่าง ๆ เข้ามารุกรานอยู่เสมอ ทําให้สภาพบ้านเมืองเกิดความสับสนวุ่นวาย การค้าซบเขาเพราะถนน หนทางถูกตัดขาด มีโจรผู้ร้ายออกทําการปล้นสะดมทั่วไป บรรดาช่างฝีมือกลายเป็นคนว่างงาน ชาวเมืองต้องอพยพหลบหนีออกไปอยู่ชนบท ส่งผลทําให้ศิลปวิทยาการต่าง ๆ ไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไป

48. พื้นที่ใดภายหลังพัฒนาเป็นนครรัฐสันตะปาปา
(1) Byzantium
(2) Papal States
(3) Latium
(4) Constantinople
ตอบ 2 หน้า 217, 62 – 63 (H) เมื่อเปแบ่งที่ 3 (Pepin III) ได้ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์คาโรแลงเจียน ของพวกแฟรงค์ในปี ค.ศ. 752 แล้ว เปแบ่งก็ต้องการการสนับสนุนทางการเมืองจากฝ่ายศาสนจักร ดังนั้นพระองค์จึงเอาใจสันตะปาปาด้วยการยึดครองอาณาจักรทางภาคกลางของพวกลอมบาร์ด และนําไปถวายแก่สันตะปาปา เรียกว่า การบริจาคที่ของเปแบ่ง (Donation of Pepin) ต่อมา ดินแดนแห่งนี้ก็คือ นครรัฐสันตะปาปา (Papal States) ซึ่งมีอํานาจทางการเมืองมาจนถึงปีค.ศ. 1870

49. ชนชาติชาวเอเชียที่เข้ามารุกรานในเขตพื้นที่ Chalon ในช่วงปี A.D, 451 คือชนชาติใด
(1) Huns
(2) Vandals
(3) Franks
(4) Visigoths
ตอบ 1 หน้า 212, 60 (H) ฮั่น (Huns) เป็นอนารยชนเผ่ามองโกลที่มาจากทวีปเอเชียที่รุกไล่พวกกอธ (Goths) เข้าไปในจักรวรรดิโรมันและได้เข้าคุกคามยุโรปตะวันตก โดยมีผู้นําคือ อัตติลา (Attita) แต่ในที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่เมโรเวกในการรบที่เมืองชาลอง (Chalon) ในปี ค.ศ. 451 (A.D. 451) หลังจากนั้นพวกฮั่นก็หมดอํานาจไปในปี ค.ศ. 454

50. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองอาณาจักรโรมันโดยพวกอนารยชน
(1) มีชีวิตแบบสังคมชนบท ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
(2) ไม่ใช้กฎหมายเป็นแบบแผน เน้นความรุนแรง การตัดสินแบบไม่ยุติธรรม
(3) เกิดการต่อสู้และสงครามระหว่างกลุ่มอนารยชนตลอดเวลา
(4) มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ตอบ 4 หน้า 214 – 215, 61 (H), (คําบรรยาย) การปกครองอาณาจักรโรมันโดยพวกอนารยชน มีลักษณะ ที่สําคัญดังนี้
1. แตกแยกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยมากกว่าที่จะรวมกันเป็นปึกแผ่น
2. พวกอนารยชนไม่สร้างเมืองเหมือนพวกกรีก-โรมัน มีวิถีชีวิตแบบสังคมชนบท ประกอบอาชีพ
เกษตรกรรม
3. พวกอนารยชนมักทําสงครามระหว่างกันอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีเวลาพอที่จะทํานุ บํารุงศิลปวัฒนธรรม ทําให้อารยธรรมกรีก-โรมันเสื่อมลง
4. พวกอนารยชนไม่ใช้กฎหมายที่ เป็นแบบแผน เน้นความรุนแรง การตัดสินเป็นแบบไม่ยุติธรรม โดยจะขึ้นอยู่กับการใช้อํานาจและ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวกําหนด เป็นต้น

51.ระบบ Feudalism เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของทรัพย์สินกับผู้เช่าทรัพย์สิน คําว่า “ทรัพย์สิน” หมายถึงข้อใด
(1) ทอง / โลหะมีค่า
(2) แรงงาน / ทาส
(3) ที่อยู่อาศัย
(4) ที่ดิน
ตอบ 4 หน้า 223 – 224, 64 – 65 (H), (คําบรรยาย) ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ หรือระบอบฟิวดัล (Feudalism / Feudal) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของที่ดินกับผู้ใช้ประโยชน์จากที่ดินหรือ ผู้เช่าที่ดินผืนนั้น เจ้าของที่ดินคือกษัตริย์หรือขุนนาง เรียกว่า เจ้า (Lord) ส่วนผู้ใช้ประโยชน์จากที่ดิน เรียกว่า ข้า (Vassal) โดยคําว่า Feudalism หรือ Feudal มาจากคําว่า Fiefs หรือ Feuda ซึ่งหมายถึง “ที่ดิน” นั่นเอง

52. เครื่องมือของคริสตจักรต่อสังคมในข้อใด มีการกําหนดวันเวลายุติการทําสงคราม ตั้งแต่คืนวันพุธ ถึงเช้าวันจันทร์
(1) Truce of God
(2) Interdict
(3) Excommunication
(4) Peace of God
ตอบ 1 หน้า 231 – 232, 65 – – 66 (H) ในยุคกลางมักมีสงครามแย่งชิงที่ดินระหว่างขุนนางอยู่บ่อยครั้ง สันตะปาปาจึงออกประกาศให้มีการหยุดพักรบเป็นการชั่วคราวใน 2 กรณี คือ
1. ประกาศสันติสุขแห่งพระผู้เป็นเจ้า หรือ Peace of God คือ ให้การพิทักษ์รักษาแก่บุคคลและ สถานที่บางแห่งยามที่มีสงคราม เช่น โบสถ์ วิหาร สํานักชี และคนของวัด
2. ประกาศระยะพักรบเพื่อพระผู้เป็นเจ้า หรือ Truce of God คือ ห้ามทําการรบตั้งแต่พระอาทิตย์ ตกดินในวันพุธ ไปจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันจันทร์

53. ข้อใดไม่ใช่ราชอาณาจักรสําคัญในยุคกลาง
(1) The Holy Roman Empire
(2) Byzantine Empire
(3) Mostem Empire
(4) Roman
ตอบ 4 หน้า 246, 251, 255, 69 – 70 (H) ราชอาณาจักรสําคัญในยุคกลาง ได้แก่
1. จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Roman Empire)
2. จักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire)
3. จักรวรรดิมอสเล็ม (Mostem Empire)

54. สงครามครูเสด เป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างศาสนาใด
(1) คริสต์-ยูดาย
(2) ยูดาย-อิสลาม
(3) คริสต์-อิสลาม
(4) คาทอลิก-โปรเตสแตนต์
ตอบ 3 หน้า 280, 284, 76 (H), (คําบรรยาย) สงครามครูเสดในยุคกลาง ถือเป็นสงครามมหายุทธ์ที่มี รัฐและฝ่ายต่าง ๆ เข้าร่วมสงครามมากมาย ซึ่งกินระยะเวลาร่วม 200 ปี (รวมทั้งหมด 8 ครั้ง) โดยเป็นสงครามระหว่างศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม หรือระหว่างพวกคริสเตียนกับพวกมุสลิม หรือมอสเอ็ม เพื่อแย่งกันครอบครองกรุงเยรูซาเล็ม และเมื่อสิ้นสุดสงคราม พวกคริสเตียนก็ไม่ สามารถยึดกรุงเยรูซาเล็มคืนจากพวกมอสเล็มได้ จึงถือว่าเป็น “ความล้มเหลวที่ประสบความสําเร็จ มากที่สุดในประวัติศาสตร์” เพราะชาวยุโรปได้รับบทเรียนต่าง ๆ จากพวกอาหรับและอิสลามอื่น ๆ เป็นอันมาก

55. พระนักรบสํานักใดเกิดขึ้นระหว่างสงครามครูเสด ภายหลังมีหน้าที่เป็นกองกําลังรักษาและถวายอารักขา
สันตะปาปา
(1) สํานักเทมปลาร์
(2) สํานักฮอสปิแตร์เลอร์
(3) สํานักเจซูอิท
(4) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 243, 68 (H) สํานักสงฆ์นิกายโรมันคาทอลิกที่ตั้งขึ้นในระหว่างสงครามครูเสด คือ
1. สํานักเทมปลาร์ (Templars) เป็นทั้งพระและนักรบในสงครามครูเสด ภายหลังมีหน้าที่เป็น กองกําลังรักษาและถวายอารักขาสันตะปาปา
2. สํานักฮอสปิแตร์เลอร์ (Hospitalers) เป็นพระที่ช่วยรักษาพยาบาลทหารและประชาชน ฝ่ายตนที่ได้รับบาดเจ็บจากการรบ

56. สงครามครูเสดครั้งใดเป็นการสู้รบระหว่างชาวคริสต์ด้วยกัน
(1) ครั้งที่ 1
(2) ครั้งที่ 3
(3) ครั้งที่ 4
(4) ครั้งที่ 8
ตอบ 3 หน้า 283, 76 (H), (คําบรรยาย) สงครามครูเสดครั้งที่ 4 (ค.ศ. 1202 – 1204) เป็นสงคราม ระหว่างชาวคริสต์ด้วยกันเอง โดยกองทัพครูเสดภายใต้การนําของสาธารณรัฐเวนิส และการสนับสนุน ของสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ได้เข้ายึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิล แทนที่จะยกกองทัพไปยึด กรุงเยรูซาเล็ม

57. ข้อใดคือผลของสงครามระหว่าง Pope Alexander lII + สมาคมลอมบาร์ด
(1) Italy แยกออกจาก Germany
(2) เกิดนครรัฐสันตะปาปา
(3) Germany สามารถรวมประเทศได้
(4) เกิดสัญญา Treaty of Verdun
ตอบ 1 หน้า 260 – 261, 71 – 72 (H) จักรพรรดิเฟรเดอริก บาร์บารอสซา (Frederick Barbarossa) ไม่สามารถที่จะรวมเยอรมนีได้สําเร็จ มีสาเหตุมาจากการที่จักรพรรดิทรงเน้นว่าอาณาจักรต้อง เป็นฝ่ายปกครองศาสนจักร ทําให้สันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 3 (Pope Alexander III) ไม่พอใจ จักรพรรดิ จึงร่วมกับกลุ่มพ่อค้าและชาวเมืองอิตาลีตั้งสมาคมลอมบาร์ดต่อต้านจักรพรรดิ รวมไปถึง ขุนนางเยอรมันไม่ต้องการให้จักรพรรดิมีอํานาจแข็งแกร่งเกินไปจึงไม่ช่วยรบ ซึ่งผลปรากฏว่า จักรพรรดิเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จึงมีการทําสนธิสัญญาสันติภาพคองสตังซ์ (Peace of Constance)ในปี ค.ศ. 1183 โดยมีผลตามมาคือ
1. แคว้นลอมบาร์ดีเป็นอิสระและได้ปกครองตนเอง
2. สิ้นสุดการรวมกันระหว่างอิตาลี (Italy) และเยอรมนี (Germany) ลงโดยสิ้นเชิง ซึ่งทําให้อิตาลีแยกออกจากเยอรมนี
3. ดินแดนเยอรมนีแตกแยกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย

58.อนารยชนชาว Franks ที่สามารถรวบรวมอาณาจักรของอนารยชนทั่วยุโรปเป็นอาณาจักรใหญ่ มีการปกครองในระบอบกษัตริย์ สถาปนาราชวงศ์ใดเป็นราชวงศ์แรก
(1) Merovingian
(2) Carolingian
(3) Capetien
(4) Tudor
ตอบ 1 หน้า 215 – 217, 61 – 62 (H), (คําบรรยาย) พวกแฟรงค์ (Franks) เป็นอนารยชนที่สามารถ รวบรวมดินแดนยุโรปตะวันตกให้เป็นปึกแผ่นได้อีกครั้ง ภายหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิ โรมันตะวันตก โดยได้ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นภายใต้การนําของ 2 ราชวงศ์ คือ
1. อาณาจักรเมโรแวงเจียน (Merovingian Kingdom) ผู้ก่อตั้งคือ กษัตริย์โคลวิส (Colvis) ซึ่งได้สถาปนาราชวงศ์เมโรแวงเจียนขึ้นเป็นราชวงศ์แรกในปี ค.ศ. 481
2. อาณาจักรคาโรแลง,จียน (Carolingjian Kingdom) ผู้ก่อตั้งคือ เปแบ่งที่ 3 (Pepin III) ซึ่งได้รับ การสถาปนาขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ใหม่คือ ราชวงศ์คาโรแลงเจียนในปี ค.ศ. 751

59. ข้อใดมีความสัมพันธ์กับ Magna Carta : The Great Charter
(1) John the Lackland
(2) การปกครองระบอบประชาธิปไตย
(3) Charles Martel, The Haminer
(4) กษัตริย์ประเทืองปัญญา
ตอบ 1 หน้า 275, 75 (H), (คําบรรยาย) พระเจ้าจอห์น หรือ “กษัตริย์ผู้ไร้แผ่นดิน” (John the Lackland) ทรงถูกพวกขุนนางอังกฤษบังคับให้ลงนามในรัฐธรรมนูญแมกนา คาร์ตา (Magna Carta) หรือ “The Great Charter” ในปี ค.ศ. 1215 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอังกฤษ โดยมีหลักการ ที่สําคัญคือ กําหนดให้ทุกชนชั้นต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย นอกจากนี้ยังจํากัดอํานาจของกษัตริย์ ให้ศาลยุติธรรมทําหน้าที่ตัดสินคดีความของเสรีชน การจัดเก็บภาษีต้องทําด้วยความยุติธรรม และ มีการกล่าวถึงตัวบทกฎหมายอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองในระบอบรัฐสภาหรือการปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของอังกฤษ

60. ผลของสงครามใดเป็นการเปลี่ยนมหาอํานาจทางทะเล จากสเปนเป็นอังกฤษ
(1) World War I
(2) War of the Roses
(3) Armada War
(4) Hundred Years War
ตอบ 3 หน้า 388 – 389, 87 (H), 100 – 101 (H) สงครามอาร์มาดา (Armada War) ในปี ค.ศ. 1588 เป็นสงครามทางทะเลระหว่างพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน กับพระราชินีเอลิซาเบทที่ 1 แห่งอังกฤษ ซึ่งผลปรากฏว่าอังกฤษเป็นฝ่ายชนะ ส่งผลให้สเปนหมดอิทธิพลในยุโรป ในขณะที่อังกฤษกลายเป็นมหาอํานาจทางทะเลแทนสเปน

61. สํานักสงฆ์ของนิกายเบเนดิกไตน์ มีบทบาทสําคัญในยุคกลางตรงตามข้อใด
(1) มีส่วนร่วมสําคัญในสงครามครูเสด
(2) แจกจ่ายอาหารและให้ที่พักแก่คนยากจนและคนเจ็บ
(3) มุ่งวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตที่หรูหราของสันตะปาปาและพระชั้นสูง
(4) ส่งเสริมการค้นคว้าวิทยาการใหม่ ๆ
ตอบ 2 หน้า 242, 68 (H) สํานักเบเนดิกไตน์ (Benedictines) เป็นคณะสงฆ์ที่ตัดขาดทางโลก โดยมี ผู้นําคือ เซนต์เบเนดิก (St. Benedict) เป็นพวกพระที่เรียกว่า “monk” ซึ่งพระในสํานักสงฆ์นี้ ได้มีส่วนช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมในยุคกลางเป็นอย่างมาก เช่น
1. ส่งเสริมการศึกษาด้วยการ จัดตั้งโรงเรียน และคัดลอกเอกสารโบราณ
2. แจกจ่ายอาหารและให้ที่พักแก่คนยากจน คนเจ็บ เด็กกําพร้าและแม่หม้าย
3. พระจะไถหว่านที่ดินและเป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้านอื่น ๆ โดยนําเอา วิธีเพาะปลูกที่ได้ผลดีที่สุดมาใช้ เป็นต้น

62. เพราะเหตุใด “ศาสนจักร” กับ “อาณาจักร” ในช่วงยุคกลางจึงมักขัดแย้งกันอยู่เสมอ
(1) สันตะปาปามักจะมองวากษัตริย์บริหารบ้านเมืองไม่ดีพอ
(2) กษัตริย์มักจะมองว่าสันตะปาปามีความประพฤติไม่ถูกต้อง
(3) มีความขัดแย้งเรื่องพิธีกรรมต่อพระเจ้า
(4) มีความขัดแย้งในเรื่องของอํานาจ และมักจะแทรกแซงกันอยู่เสมอ
ตอบ 4 หน้า 243, 68 (H), (คําบรรยาย) ความขัดแย้งในเรื่องการแต่งตั้งตําแหน่งทางศาสนา เป็นความ ขัดแย้งระหว่างสันตะปาปาฝ่ายศาสนจักร กับกษัตริย์และพวกขุนนางฝ่ายอาณาจักร ทั้งนี้เพราะ วัดมีฐานะเป็นข้า (Vassal) ของกษัตริย์และพวกขุนนางซึ่งมอบที่ดินให้แก่วัด ขณะเดียวกันวัดก็ อยู่ภายใต้อํานาจของสันตะปาปา ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ศาสนจักรหรืออาณาจักรใครควรมีอํานาจ ในการแต่งตั้งหัวหน้าพระ ด้วยเหตุนี้เองจึงทําให้ศาสนจักรกับอาณาจักรในช่วงยุคกลางมีความ ขัดแย้งในเรื่องอํานาจ และมักจะแทรกแซงกันอยู่เสมอ

63. เครื่องมือสําคัญของสันตะปาปาในการจัดการความขัดแย้งกับกษัตริย์ในยุโรป คือข้อใด
(1) การขับออกจากศาสนา
(2) การยกกองทัพไปปราบปราม
(3) การใช้นโยบายทางการทูต
(4) การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
ตอบ : 1 หน้า 243, 250, 66 (H), (คําบรรยาย) การบัพพาชนียกรรม (Excommunication) คือ การประกาศ ขับไล่บุคคลใดบุคคลหนึ่งให้เป็นพวกนอกศาสนา หรือการขับออกจากศาสนา ทําให้ไม่มีใครมาคบ ด้วยหรือถ้าเป็นกษัตริย์ก็จะถูกต่อต้านจากประชาชน ซึ่งการบัพพาชนียกรรมนี้ถือว่าเป็นเครื่องมือ สําคัญของสันตะปาปาในการจัดการความขัดแย้งกับกษัตริย์ในยุโรป ตัวอย่างเช่น กรณีพิพาทระหว่าง สันตะปาปาเกรเกอรีที่ 7 กับจักรพรรดิเฮนรีที่ 4 เป็นต้น

64. ข้อแตกต่างสําคัญในความเชื่อทางศาสนาระหว่างไบแซนไทน์กับโรมันคาทอลิก คือข้อใด
(1) ไบแซนไทน์ไม่มีนักบวชประจําศาสนา
(2) พระของไบแซนไทน์แต่งงานได้
(3) ไบแซนไทน์ไม่มีการแบ่งลําดับชั้นของพระ
(4) ไบแซนไทน์ปฏิเสธรูปบูชา และทําลายรูปเคารพในวัดทั้งหมด
ตอบ 4 หน้า 252 – 253, (คําบรรยาย) ข้อแตกต่างสําคัญในความเชื่อทางศาสนาระหว่างไบแซนไทน์กับ โรมันคาทอลิก คือ การปฏิเสธรูปบูชา (Iconoclastic) โดยจักรพรรดิลีโอที่ 3 ทรงสั่งห้ามบูชารูป รูปปั้นในวัด เพราะเกรงว่าจะไปเหมือนลัทธิเดิม อีกทั้งยังได้โปรดให้ทําลายรูปปั้นและรูปภาพใน วัดทั้งหมด ทําให้ฝ่ายสันตะปาปาและพวกคริสเตียนในจักรวรรดิตะวันตกพากันคัดค้านอย่างรุนแรงจนทั้งสองฝ่ายต้องประกาศแยกออกจากกันเป็นนิกายอิสระในปี ค.ศ. 1054 ส่งผลให้ศาสนาทาง ตะวันออกของจักรวรรดิไบแซนไทน์เปลี่ยนเป็นแบบกรีกออร์ธอดอกซ์ (Greek Orthodox) ขณะที่ศาสนาทางตะวันตกเป็นแบบโรมันคาทอลิก

65. ชนชั้นใดที่ไม่ได้อยู่ภายใต้โครงสร้างทางสังคมแบบฟิวดัล
(1) ขุนนาง
(2) อัศวิน
(3) พ่อค้า
(4) ชาวนา
ตอบ 3 หน้า 226 – 228, (คําบรรยาย) ชนชั้นที่อยู่ภายใต้โครงสร้างทางสังคมแบบฟิวดัลหรือสังคม ศักดินาสวามิภักดิ์ ได้แก่
1. กษัตริย์ (King)
2. ขุนนางชั้นสูง (Vassals)
3. ขุนนางชั้นรองลงมา (Subvassals)
4. นักรบ (Warriors) หรืออัศวิน
5. ทาสติดที่ดิน (Serf.) หรือชาวนา

66. ข้อใดเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้จักรพรรดิเฟรเดอริก บาร์บารอสซา ไม่สามารถที่จะรวมเยอรมนีได้สําเร็จ
(1) สันตะปาปาไม่พอใจจักรพรรดิ
(2) ขุนนางเยอรมันไม่ต้องการให้จักรพรรดิมีอํานาจแข็งแกร่งเกินไปจึงไม่ช่วยรบ
(3) กลุ่มพ่อค้าและชาวเมืองอิตาลีตั้งสมาคมลอมบาร์ดเพื่อต่อต้านจักรพรรดิ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ

67. ราชวงศ์ใดที่มีอํานาจปกครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่าง ค.ศ. 962 – 1024
(1) บาวาเรียน
(2) แขกซอน
(3) แฮปสเบิร์ก
(4) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 270 ราชวงศ์แขกซอน (Saxon Dynasty) เป็นสายตระกูลของอนารยชนเยอรมันที่เข้ายึด ครองแคว้นแซกโซนี และแคว้นต่าง ๆ ในเยอรมนีตอนใต้ พวกแซกซอนบางส่วนได้เข้าไปรุกราน ๆ เกาะอังกฤษ ส่วนพวกที่อยู่ในเยอรมนีได้ตั้งราชวงศ์แซกซอนขึ้น และได้ปกครองจักรวรรดิโรมัน อันศักดิ์สิทธิ์ (เยอรมนี) ระหว่าง ค.ศ. 962 – 1024

68. ชนกลุ่มใดที่นําระบบฟิวดัลจากฝรั่งเศสเข้าสู่เกาะอังกฤษ
(1) วิสิกอธ
(2) นอร์มัน
(3) บริตัน
(4) แซกซอน
ตอบ 2 หน้า 271 – 273, 72 (1), 74 (H), (คําบรรยาย) กษัตริย์วิลเลียมที่ 1 (William I) แห่งนอร์มัน ทรงนํากองทัพเข้ารุกรานอังกฤษ สามารถรบชนะพวกแองโกลแซกซอน และเข้ายึดครองอังกฤษ ได้สําเร็จในปี ค.ศ. 1056 อีกทั้งได้นําเอาระบบฟิวดัลจากฝรั่งเศสเข้าสู่เกาะอังกฤษ ซึ่งทําให้มีผลตามมาคือ
1. กษัตริย์อังกฤษทรงมี 2 สถานภาพคือ มีฐานะเป็นเจ้า (Lord) สูงสุดในอังกฤษ แต่ต้องมีฐานะเป็นข้า (Vassal) ของกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งจากสภาพดังกล่าวได้กลายเป็นชนวนของ สงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสในเวลาต่อมา
2. ภาษาฝรั่งเศสกลายเป็นภาษาของชนชั้นสูงและเป็นภาษาทางการในอังกฤษ
3. การนํารูปแบบแมเนอร์ (Manorial System) เข้ามาใช้ในอังกฤษ เป็นต้น

69. กฎบัตร แมกนา คาร์ตา ของอังกฤษ ในปี 1215 มีสาระสําคัญตามข้อใด
(1) จํากัดอํานาจของกษัตริย์
(2) เพิ่มความแข็งแกร่งด้านการทหาร
(3) ให้เสรีภาพทางการค้า
(4) ส่งเสริมอํานาจทางศาสนา
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

70. ผลจากกรณีที่พระเจ้าจอห์นถูกพวกขุนนางอังกฤษบังคับให้ลงนามในเอกสารแมกนา คาร์ตา ในปี ค.ศ. 1215 นั้น คือข้อใด
(1) ทําให้พวกขุนนางมีอํานาจสูงสุด
(2) ทําให้กษัตริย์มีอํานาจสูงสุด
(3) เป็นการถ่ายโอนอํานาจของพวกพระไปสู่พวกขุนนาง
(4) เป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

71. แม้ฝ่ายคริสต์จะพ่ายแพ้ในสงครามครูเสด แต่ผลพลอยได้ที่สําคัญของยุโรปตรงกับข้อใด
(1) ได้แบ่งเมืองเยรูซาเล็มมาหนึ่งในห้าส่วน
(2) ทําให้ศาสนจักรกรีกออร์ธอดอกซ์มีอํานาจมากขึ้น
(3) กระตุ้นให้เกิดการค้าระหว่างดินแดนมากขึ้น เพราะมีความต้องการสินค้าใหม่ ๆ
(4) ทําให้เกิดการแปลงานเขียนของโรมันและกรีกมากขึ้น
ตอบ 3 หน้า 284 – 285, 77 (H), (คําบรรยาย) ฝ่ายคริสต์แม้จะพ่ายแพ้ในสงครามครูเสด แต่ผลพลอยได้ ที่สําคัญของยุโรป คือ
1. เมืองและนครรัฐต่าง ๆ ที่ส่งของช่วยเหลือในสงครามมีอํานาจในการค้าขายมากขึ้น
2. มีการนําเงินและทองเข้ามาในยุโรปมากขึ้น การค้าแบบแลกเปลี่ยนสินค้าก็ค่อย ๆ เลิกไป และหันมาใช้เงินในการซื้อขาย
3. กระตุ้นให้เกิดการค้าระหว่างดินแดนมากขึ้น เพราะมีความต้องการสินค้าใหม่ ๆ เช่น เครื่องเทศจากภาคตะวันออกไปเผยแพร่ในยุโรปตะวันตก เป็นต้น

72. ปรากฏการณ์ในข้อใดที่มีบทบาทสําคัญในการทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในช่วง
ปลายยุคกลาง
(1) การมีบทบาทของชาวยิว
(2) การลดภาษีของศาสนจักร
(3) การเกิดบรรษัทร่วมทุน
(4) การเติบโตของชนชั้นกลาง
ตอบ 4 หน้า 285 – 286, 77 (H), (คําบรรยาย) การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในช่วงปลาย ยุคกลาง มีสาเหตุมาจากการเติบโตของชนชั้นกลาง ผลจากสงครามครูเสดทําให้เกิดเมืองซึ่งเป็น ผลมาจากความเจริญทางการค้า และมีชนชั้นกลางจํานวนมากขึ้น ซึ่งคนพวกนี้ไม่ได้จัดอยู่ในสังคม ฟิวดัล แต่เป็นคนรุ่นใหม่ที่เรียกตนเองว่า “เสรีชน” (Free Man) ดําเนินชีวิตเป็นอิสระ ทําการค้า และอุตสาหกรรม ใช้เงินตราแลกเปลี่ยน รวมกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อการป้องกันร่วมกันและมีการปกครองตนเอง

73. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของสมาคมการค้าในช่วงปลายยุคกลาง
(1) ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของคนงานให้ดียิ่งขึ้น
(2) กําหนดชั่วโมงการทํางานและค่าแรงของคนงาน
(3) ช่วยดูแลครอบครัวของสมาชิกผู้เสียชีวิตจากการทํางาน
(4) กําหนดราคาและคอยดูแลคุณภาพของสินค้า
ตอบ 1 หน้า 289 – 290, (คําบรรยาย) บทบาทสมาคมการค้าในช่วงปลายยุคกลาง ได้แก่
1. กําหนดชั่วโมงการทํางานและค่าแรงของคนงาน
2. กําหนดราคาที่แน่นอน และควบคุมดูแลคุณภาพและปริมาณของสินค้า
3. ให้ความช่วยเหลือแก่ภรรยาและบุตรของสมาชิกผู้เสียชีวิตจากการทํางาน
4. จัดให้คนงานได้รับความบันเทิงในวันหยุด เป็นต้น

74. ในช่วงปลายยุคกลาง บริเวณใดของยุโรปที่เป็นเมืองสําคัญทางการค้า
(1) โรมันอันศักดิ์สิทธิ์
(2) คาบสมุทรอิตาลี
(3) คาบสมุทรไอบีเรีย
(4) แถบสแกนดิเนเวีย
ตอบ 2 หน้า 286, 77 (H), (คําบรรยาย) ในช่วงปลายยุคกลางนั้นเกิดเมืองสําคัญทางการค้าในคาบสมุทร อิตาลี เช่น เวนิส เจนัว และปิซ่า ส่วนแคว้นฟลานเดอร์ (เบลเยียม) คือศูนย์กลางทางการค้าระหว่าง ทะเลบอลติกกับทะเลเหนือ และเป็นเมืองรับสินค้าของอังกฤษเข้าสู่ประเทศบนภาคพื้นทวีป

75. สาเหตุสําคัญของสงคราม 100 ปี ในช่วงปลายยุคกลาง คือข้อใด
(1) กษัตริย์ฝรั่งเศสอ้างสิทธิในบัลลังก์อังกฤษ
(2) กษัตริย์อังกฤษอ้างสิทธิในบัลลังก์ฝรั่งเศส
(3) อังกฤษและฝรั่งเศสขัดแย้งด้านการค้า
(4) อังกฤษและฝรั่งเศสขัดแย้งทางศาสนา
ตอบ 2 หน้า 296 – 297, 79 (H) สาเหตุปัจจุบันที่ทําให้เกิดสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ในช่วงปลายยุคกลาง เนื่องจากกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 3 (Edward III) แห่งอังกฤษ ทรงเรียกร้อง สิทธิในการขึ้นครองราชบัลลังก์ฝรั่งเศส เมื่อกษัตริย์ฝรั่งเศสสิ้นพระชนม์ลงโดยไม่มีรัชทายาท แต่พวกขุนนางฝรั่งเศสไม่ยินยอมโดยอ้างกฎหมายที่เรียกว่า “Salic Law” เพื่อตัดสิทธิในราชบัลลังก์ ของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงประกาศสงครามกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1337 และสงครามได้ดําเนิน มาจนถึงปี ค.ศ. 1453

76. บทบาทสําคัญของ โจน ออฟ อาร์ค ในช่วงสงคราม 100 ปี คือข้อใด
(1) นําทัพฝรั่งเศสเข้ายึดครองเกาะอังกฤษ
(2) นําทัพฝรั่งเศสเข้ายึดครองบริเวณนอร์มังดี
(3) เข้าร่วมสงครามและได้รับชัยชนะหลายครั้ง
(4) เอาชนะอังกฤษได้ที่กี่เยนและยึดดินแดนคืนได้
ตอบ 3 หน้า 298 – 299, 79 (H) ในช่วงสงคราม 100 ปี ได้เกิดวีรสตรีชาวฝรั่งเศสชื่อ เจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) ขึ้น โดยเป็นสตรีที่เข้าร่วมสงครามและได้รับชัยชนะหลายครั้ง แต่ในที่สุดก็ถูก อังกฤษจับไปเผาในฐานะเป็นพวกนอกรีต (แม่มด) ซึ่งการตายของโจนได้ส่งผลให้ชาวฝรั่งเศส เกิดความรู้สึกชาตินิยมหันกลับมาปรองดองกัน จนสามารถเอาชนะฝ่ายอังกฤษได้ที่ปารีสในปี ค.ศ. 1436 และยึดดินแดนคืนได้ตามลําดับคือ รูอัง นอร์มังดี และกีเยน

77. ชนชาติใดที่มีส่วนสําคัญในการทําให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ล่มสลายลงในปี 1453
(1) อาหรับ
(2) ออตโรมัน เติร์ก
(3) ฮาน
(4) มองเกล
ตอบ 2 หน้า 255, 54 (H), 70 (H) จักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทนล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1453 เพราะถูกพวกออตโตมัน เติร์ก (Ottoman Turks) ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม เข้ายึดครอง กรุงคอนสแตนติโนเปิล หลังจากนั้นอารยธรรมไบแซนไทน์จึงถูกถ่ายทอดให้แก่รัสเซียทั้งทางด้าน สถาปัตยกรรม ปฏิทิน ตัวอักษร และนิกายกรีกออร์ธอดอกซ์ได้ย้ายศูนย์กลางไปอยู่ที่ประเทศ รัสเซีย เรียกว่านิกาย Russian Orthodox

78. นักคิดในข้อใดที่เห็นว่าการเมืองและศีลธรรมเป็นคนละส่วน และไม่ควรนํามาปะปนกันหรือพิจารณารวมกัน
(1) โทมัส ฮอบส์
(2) โบแดง
(3) มาเคียเวลลี
(4) ดังเต้
ตอบ 3 หน้า 334, 94 (H), (คํา บรรยาย) มาเคียเวลลี (Machiavelli) เห็นว่า การเมืองและศีลธรรมเป็น คนละส่วน และไม่ควรนํามาปะปนหรือพิจารณารวมกัน โดยผลงานสําคัญของเขาคือ The Prince ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชาธิปไตยหรือรัฐบาลที่มีอํานาจเด็ดขาด และมีความสําคัญในแง่ของการเมือง ทีว่า “The end always justifies the means” หรือการทําให้บรรลุจุดมุ่งหมายโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง โดยไม่คํานึงถึงศีลธรรม

79. ข้อใดเป็นหลักการสําคัญของลัทธิพาณิชย์นิยม
(1) ให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปตามกลไกตลาดโดยที่รัฐไม่แทรกแซง
(2) ผลิตสินค้าเพื่อยังชีพเป็นหลัก
(3) ซื้อสินค้าจากชาติอื่นให้น้อยที่สุด ส่งออกสินค้าให้มากที่สุด
(4) ระบบการค้าอยู่ภายใต้การควบคุมของประชาชนส่วนใหญ่
ตอบ 3 หน้า 339 – 340, 88 (H), (คําบรรยาย) ระบบเศรษฐกิจและการค้าทางทะเลตั้งแต่ปลายศตวรรษ ที่ 15 – 16 ในยุโรปตะวันตก เรียกว่า “ลัทธิพาณิชย์นิยม” (Mercantilism) ซึ่งหมายถึง การควบคุม เศรษฐกิจโดยรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งเป็นการผสมกลมกลืนระหว่างลัทธิชาตินิยมกับลัทธินายทุนใหม่ พวกนายทุนจะได้รับการส่งเสริมทางการค้าจากรัฐบาล โดยลัทธินี้มีแนวคิดพื้นฐานที่ว่าชาติจะมั่นคง ได้ก็ต่อเมื่อมีการพึ่งพาทางเศรษฐกิจจากชาติอื่นน้อยที่สุด ดังนั้นจึงพยายามที่จะซื้อสินค้าจากชาติอื่น ให้น้อยที่สุด แต่จะพยายามขายหรือส่งออกสินค้าให้ได้มากที่สุด

80. ข้อใดเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้สเปนสามารถรวบรวมดินแดนได้ในคริสต์ศตวรรษที่ 15
(1) การคิดค้นอาวุธชนิดใหม่
(2) การแต่งงานระหว่างเจ้าคาสติลกับอรากอน
(3) การเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส
(4) การได้ทองจํานวนมากจาก “โลกใหม่”
ตอบ 2 หน้า 267, 73 (H), (คําบรรยาย) ยุคแห่งการยึดอํานาจคืนของพวกคริสเตียนจากพวกมัวร์ (Moors) ในสเปน เรียกว่ายุค Reconquest หรือ Reconguista โดยยุคนี้สิ้นสุดลงเมื่อมีการรวมอาณาจักร คริสเตียน 2 แห่งเข้าด้วยกัน ซึ่งเกิดจากการแต่งงานระหว่างเจ้าคาสติลกับอรากอน นั่นคือ การอภิเษกสมรสระหว่างพระราชินีอิซาเบลลาที่ 1 แห่งคาสติล กับพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่ง อรากอน ซึ่งได้ร่วมกันปกครองในฐานะเป็นกษัตริย์คาทอลิกทําสงครามกับพวกมัวร์จนมีชัยชนะ ในปี ค.ศ. 1492 ซึ่งเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้สเปนสามารถรวบรวมดินแดนได้ในคริสต์ศตวรรษ ที 15 นั่นเอง

81. กระบวนการในข้อใดที่ทําให้เกิดพัฒนาการทางการเมืองหรือการกําเนิดชาติรัฐในยุโรปช่วงต้นสมัยใหม่
(1) ความเสื่อมของระบอบฟิวดัล
(2) การติดต่อสัมพันธ์กับจีน
(3) การคัดค้านอํานาจของสันตะปาปาและศาสนจักร
(4) ความพยายามรวบอํานาจเข้าสู่ศูนย์กลางของกษัตริย์ในหลายรัฐ
ตอบ 1 หน้า 332, 86 (H) พัฒนาการทางการเมืองหรือการกําเนิดชาติรัฐ (National States) ของยุโรป ช่วงต้นสมัยใหม่ ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 นั้นมีสาเหตุมาจากความเสื่อมของระบอบฟิวดัล และ ความสํานึกในความเป็นชาติ

82. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทําให้ชาวยุโรปออกมาแสวงหาเส้นทางเดินเรือไปสู่ทวีปเอเชีย
(1) ความต้องการสินค้าจากภาคตะวันออก
(2) การยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลโดยออตโตมัน เติร์ก
(3) ล้มการผูกขาดการค้าจากพ่อค้าชาวอิตาลี
(4) การยึดครองกรุงเยรูซาเล็มโดยเซลจุก เติร์ก
ตอบ 4 หน้า 350 – 351, 89 – 90 (H) สาเหตุสําคัญที่ทําให้ชาวยุโรปออกมาแสวงหาเส้นทางเดินเรือ ไปสู่ทวีปเอเชีย คือ
1. แรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ยุคกลางที่กองทัพครูเสดนําเอาความรู้และสินค้าจากเอเชียไป เผยแพร่ในยุโรป
2. กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกพวกออตโตมัน เติร์ก เข้ายึดครองในปี ค.ศ. 1453 ทําให้เส้นทาง การค้าระหว่างยุโรปกับเอเชียถูกตัดขาด
3. มีความต้องการสินค้าจากเอเชียหรือภาคตะวันออก เช่น เครื่องเทศ ผ้าไหม พรม และเครื่องแก้ว
4. ต้องการล้มการผูกขาดการค้าของพวกพ่อค้าชาวอิตาลีที่มั่งคั่งจากการค้า เช่น เวนิส เจนัว
5. มีการปรับปรุงเส้นทางเดินเรือ มีการประดิษฐ์เรือขนาดใหญ่ เข็มทิศ และมีการทําแผนที่ ที่มีความแน่นอนมากขึ้น เป็นต้น

83. ข้อใดเป็นปัจจัยสําคัญที่สุดที่ทําให้ความรู้ต่าง ๆ แพร่หลายได้อย่างรวดเร็วในโลกตะวันตกต้นสมัยใหม่
(1) การเปิดเส้นทางการค้าใหม่ ๆ
(2) การประดิษฐ์แท่นพิมพ์สมัยใหม่
(3) การติดต่อกับโลกอาหรับ
(4) การถกเถียงในศาสนจักร
ตอบ 2 หน้า 359, 372, 3 (H) 96 (H) โจฮันน์ กูเตนเบิร์ก (Johann Gutenberg) ช่างทองชาวเยอรมัน เป็นบุคคลแรกที่ได้รับการยกย่องในการประดิษฐ์แท่นพิมพ์สมัยใหม่ได้สําเร็จในปี ค.ศ. 1445 ซึ่งการพิมพ์นี้มีผลต่อการปฏิวัติอารยธรรมยุโรปตะวันตกเป็นอย่างมาก เพราะทําให้ความรู้ต่าง ๆ แพร่หลายได้อย่างรวดเร็วในโลกตะวันตกต้นสมัยใหม่ ทําให้หนังสือหาอ่านได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาทางด้านศาสนา ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนําไปสู่การปฏิรูปศาสนาในเวลาต่อมา

84. นักเดินเรือในข้อใดเป็นคนแรกที่สามารถเดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปไปยังอินเดียได้
(1) วาสโก ดา กามา
(2) ไดแอซ
(3) โคลัมบัส
(4),แมเจลแลน
ตอบ 1 หน้า 336, 351, 90 (H), (คําบรรยาย) ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 โปรตุเกสภายใต้การนําของเจ้าชาย เฮนรี (Henry) กษัตริย์นักเดินเรือ เป็นผู้เริ่มการสํารวจทางเรือเป็นชาติแรก โดยมีนักเดินเรือที่ สําคัญ คือ
1. ไดแอซ (Diaz) เดินทางไปถึงปลายสุดของทวีปแอฟริกา (แหลมกู๊ดโฮป) ในปี ค.ศ. 1487
2. วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) เป็นคนแรกที่สามารถเดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปไปถึง อินเดียได้สําเร็จในปี ค.ศ. 1498
3. คาบรัล (Cabrat) เดินทางไปถึงบราซิลในปี ค.ศ. 1500

85. ศิลปวิทยาของอารยธรรมใดที่ได้รับความสนใจหรือฟื้นฟูขึ้นในอิตาลีช่วงเรอเนสซองส์
(1) ไบแซนไทน์
(2) กรีก-โรมัน
(3) ยุคกลาง
(4) อียิปต์
ตอบ 2 หน้า 356 – 358, 92 (H) การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ หรือ “เรอเนสซองส์” (Renaissance) ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 คือการเกิดใหม่ของอารยธรรมคลาสสิกหรือการฟื้นฟูอารยธรรมกรีก-โรมัน ขึ้นมาใหม่ ซึ่งในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการจะเน้นความสําคัญของมนุษย์ ปรัชญามนุษยนิยม (Humanism) รวมทั้งการแสดงออกของปัจเจกบุคคลและประสบการณ์ทางโลก ดังนั้นจึงนับว่า มีความแตกต่างจากยุคกลางซึ่งถูกครอบงําจากคริสต์ศาสนาโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองฟลอเรนซ์ในแหลมอิตาลี ก่อนที่จะแพร่ขยายเข้าไปในประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ

86. ข้อใดคือลักษณะสําคัญของศิลปะในสมัยเรอเนสซองส์
(1) เลียนแบบลักษณะการเขียนภาพในยุคกลาง
(2) มักจะเขียนเรื่องราวชีวประวัติของพระเยซู
(3) มีการเขียนงานศิลปะแบบ Perspective และสมจริงมากขึ้น
(4) เขียนภาพในแนวนามธรรมที่เน้นรูปทรง เส้น สี มากกว่าความสมจริง
ตอบ 3 หน้า 356 – 357, 363, (คําบรรยาย) ลักษณะสําคัญของความคิดในสมัยเรอเนสซองส์ (ค.ศ. 1300 – 1500) มีดังนี้ 1. เน้นความสําคัญของมนุษย์ในฐานะศูนย์กลางแห่งจักรภพ 2. ในวรรณคดีจะย้ําความสนใจในเรื่องมนุษยนิยม เพื่อหาหนทางทําความเข้าใจในมนุษย์ 3. มีการเขียนงานศิลปะแบบ Perspective ทําให้ภาพเป็นธรรมชาติและสมจริงมากขึ้น 4. เน้นถึงเหตุการณ์ที่แสดงออกถึงความคิดของแต่ละคน เป็นต้น

87. ข้อใดเป็นผู้มีบทบาทสําคัญต่อการเกิดการปฏิรูปศาสนา
(1) กาลิเลโอ
(2) ฟรานซิส เบคอน
(3) อีรัสมัส
(4) มาร์ติน ลูเธอร์
ตอบ 4 หน้า 378 – 379, 98 (H) มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) พระชาวเยอรมัน เป็นผู้ที่มีบทบาท สําคัญในการเริ่มการปฏิรูปศาสนา ซึ่งได้เขียนคําประท้วง 95 ข้อ ไปติดที่โบสถ์ในแคว้นแซกโซนี ทําให้มีผู้เห็นด้วยว่าไม่ควรนําเงินของเยอรมันไปสร้างวัดในอิตาลี เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นนับเป็น จุดเริ่มต้นของการประท้วงทางศาสนา และเป็นที่มาของคําว่า “Protestant” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1529

88. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่ทําให้เกิดการปฏิรูปศาสนา
(1) พระชั้นสูงมีความเป็นอยู่ที่ฟุ้งเฟ้อ และมักเรียกเก็บภาษีสูงขึ้น
(2) ศาสนาแบบเดิมใส่ใจเรื่องพิธีกรรมมากกว่าแก่นแท้
(3) การไปถึงทวีปอเมริกา ทําให้เกิดการตั้งคําถามต่อสิ่งที่เขียนไว้ในไบเบิล
(4) แนวคิดมนุษยนิยมที่ส่งเสริมให้มนุษย์ใส่ใจกับโลกปัจจุบันมากกว่าโลกหน้า
ตอบ 3 หน้า 377, 97 (H), (คําบรรยาย) ปัจจัยที่ทําให้เกิดการปฏิรูปศาสนา ได้แก่
1. สันตะปาปาหรือ พระชั้นสูงมีความเป็นอยู่ที่ฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือย และมักเรียกเก็บภาษีสูงขึ้นสําหรับนําไปใช้จ่าย ในสํานักวาติกัน
2. ศาสนาแบบเดิมใส่ใจเรื่องพิธีกรรมมากกว่าแก่นแท้ของศาสนา
3. มีการ วิพากษ์วิจารณ์การฉ้อฉลและความประพฤติไม่ดีของพระ
4. นักมนุษยนิยมเผยแพร่แนวคิดที่ว่า มนุษย์ควรใส่ใจกับโลกปัจจุบัน มากกว่าโลกหน้า (ชีวิตหลังความตาย) เพราะไม่มีประโยชน์ เป็นต้น

89. ข้อใดเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้พระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทําการปฏิรูปศาสนาในอังกฤษ
(1) ไม่พอใจการขายใบไถ่บาปของสันตะปาปา
(2) ต้องการหย่าขาดจากมเหสี แต่ศาสนจักรไม่ยอม
(3) สันตะปาปาไม่ยอมรับการขึ้นสู่บัลลังก์ของพระองค์
(4) ไม่พอใจการปฏิบัติตัวของพระในอังกฤษ
ตอน 2 หน้า 383, 99 (H), (คําบรรยาย) การปฏิรูปศาสนาในอังกฤษเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ ต้องการหย่าขาดจากพระนางแคทเทอรีนแห่งอรากอนเพื่ออภิเษกสมรสใหม่กับ แอน โบลีน แต่ศาสนจักร (สันตะปาปา) ไม่ยินยอม พระเจ้าเฮนรีที่ 8 จึงตัดขาดจากองค์กร คริสตจักรที่กรุงโรม และทรงให้รัฐสภาออกกฎหมายที่เรียกว่า “The Act of Supremacy” ในปี ค.ศ. 1534 เพื่อแต่งตั้งให้พระองค์เป็นประมุขทางศาสนาในอังกฤษแทนสันตะปาปา หรือ “Catholic without Popes” ซึ่งส่งผลทําให้อังกฤษเปลี่ยนศาสนาเป็นโปรเตสแตนต์ที่เรียกว่า นิกายอังกฤษ (Anglican Church / Church of England)

90. สงครามสามสิบปี (ค.ศ. 1618 – 1648) สิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาฉบับใด
(1) สนธิสัญญาอ๊อกซเบิร์ก
(2) สนธิสัญญาแห่งเมืองนังต์
(3) สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย
(4) สนธิสัญญาพิเรนิส
ตอบ 3 หน้า 390 – 391, 101 (H) สงครามสามสิบปี (ค.ศ. 1618 – 1648) หรือสงครามยุโรป เป็น สงครามศาสนาครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นในยุโรปในดินแดนเยอรมนี (อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) ระหว่างพวกโปรเตสแตนต์ซึ่งมีประเทศผู้นําคือ อังกฤษและฝรั่งเศส กับพวกคาทอลิกซึ่งมีประเทศ ผู้นําคือ สเปน สงครามนี้สิ้นสุดลงด้วยการทําสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) โดยเป็นชัยชนะของพวกโปรเตสแตนต์และฝรั่งเศส ทําให้ฝรั่งเศสกลายเป็นมหาอํานาจในยุโรปแทนที่สเปน และดินแดนเยอรมนีได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากทําให้การรวมเยอรมนีช้าไป เป็นเวลา 200 ปี

91. แนวคิดข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789
(1) เสรีนิยม
(2) มาร์กซิส
(3) ชาตินิยม
(4) รัฐธรรมนูญนิยม
ตอบ 2 หน้า 456, 114 – 116 (H), (คําบรรยาย) การปฏิวัติฝรั่งเศสปี ค.ศ. 1789 เป็นการปฏิวัติของ พวกเสรีนิยม (Liberalism) ซึ่งเป็นการปฏิวัติภายใต้การนําของกลุ่มชนชั้นกลางที่ต้องการยกเลิก ระบอบอภิสิทธิ์ลงในฝรั่งเศส อีกทั้งยังได้รับอิทธิพลของรัฐธรรมนูญนิยมซึ่งต้องการเลียนแบบ รัฐสภาของอังกฤษ และอิทธิพลของแนวคิดแบบชาตินิยม (Nationalism) โดยฝูงชนปารีสได้บุก เข้าไปทําลายคุกบาสติลในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 ซึ่งเป็นที่คุมขังบุคคลที่เป็นศัตรูของรัฐ และเป็นเครื่องหมายของการปกครองระบอบเก่า ได้ทําให้วันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี กลายเป็น วันชาติของฝรั่งเศสเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

92. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการปฏิวัติอเมริกา ค.ศ. 1776
(1) วันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาคือวันที่ 4 สิงหาคม
(2) กองทัพฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรกับอังกฤษรบกับกองทัพชาวอาณานิคมอเมริกัน
(3) คําประกาศอิสรภาพได้รับอิทธิพลจากแนวคิดนักปรัชญาเสรีนิยม เช่น จอห์น ล็อค
(4) รัฐบาลอังกฤษใช้แนวคิดการค้าเสรีในอาณานิคมอเมริกาก่อนสมัยการปฏิวัติ
ตอบ 3 หน้า 454, 113 (H), คําบรรยาย) จอห์น ล็อค (John Locke) และรุสโซ (Rousseau) เป็น นักปรัชญาเสรีนิยม ซึ่งมีอิทธิพลต่อการปฏิวัติอเมริกาปี ค.ศ. 1776 โดยแนวความคิดของพวกเขา ได้ไปปรากฏในคําประกาศอิสรภาพ (The Declaration of Independence) ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 เพื่อสถาปนาประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้น โดยมีโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) เป็นผู้ร่างคําประกาศอิสรภาพดังกล่าว

93. ใครคือผู้ค้นพบจุดดับบนดวงอาทิตย์
(1) โคเปอร์นิคัส
(2) นิวตัน
(3) เคปเลอร์
(4) กาลิเลโอ
ตอบ 4 หน้า 437, 111 (H) ผลงานที่สําคัญของกาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) ได้แก่
1. เป็นผู้ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ส่องดูภูเขาและหุบเขาบนดวงจันทร์ วงแหวนของดาวเสาร์
และค้นพบจุดดําหรือจุดดับบนดวงอาทิตย์
2. เป็นผู้พิสูจน์การหมุนของดวงอาทิตย์ และพบว่าดวงจันทร์หมุนรอบดาวพฤหัสบดี
3. เป็นผู้พิสูจน์ว่าสิ่งของที่มีน้ำหนักเบาและหนักนั้นจะตกถึงพื้นในเวลาเดียวกัน ถ้าปราศจาก
การต้านทานของอากาศ เป็นต้น

94. ใครคือผู้ค้นพบการโคจรของดวงดาวเป็นรูปวงรี
(1) โคเปอร์นิคัส
(2) บราเฮ
(3) เคปเลอร์
(4) กาลิเลโอ
ตอบ 3 หน้า 437, 111 (H) โจฮัน เคปเลอร์ (Johann Kepler) ชาวเยอรมัน (ลูกศิษย์ของบราเฮ) เป็น ผู้ค้นพบว่าโลกและดวงดาวทั้งปวงโคจรเป็นรูปวงรี และเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์จะหมุนเร็วขึ้น

95. นักคิดคนใดเห็นว่าอํานาจอธิปไตยควรอยู่กับผู้มีอํานาจอย่างสมบูรณ์เพื่อไม่ให้สังคมวุ่นวาย
(1) ฮอบส์
(2) ล็อค
(3) รุสโซ
(4) มาร์กซ์
ตอบ 1 หน้า 440 441, 112 (H), (คําบรรยาย) โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbs) ชาวอังกฤษ เป็น นักปรัชญาที่เขียนวิเคราะห์สนับสนุนการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolutism) ไว้ในหนังสือ Leviathan โดยเขาเห็นว่า อํานาจอธิปไตยควรอยู่กับกษัตริย์ผู้มีอํานาจอย่างสมบูรณ์ (Absolute Power) เพื่อไม่ให้สังคมวุ่นวายหรือเกิดลัทธิอนาธิปไตยขึ้นอีก

96. สงครามครั้งสุดท้ายของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ซึ่งกองทัพของพระองค์พ่ายแพ้แก่กองทัพพันธมิตร ที่นําโดยแม่ทัพตุ๊ก เวลลิงตัน เกิดขึ้นที่ใด
(1) ปารีส
(2) วอเตอร์ลู
(3) บรัสเซล
(4) ไลป์ซิก
ตอบ 2 หน้า 470 – 471, 117 (H), (คําบรรยาย) สงครามครั้งสุดท้ายของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เกิดขึ้น ในระหว่างเดือนมีนาคม – มิถุนายน ค.ศ. 1815 โดยกองทัพของพระองค์ประสบความพ่ายแพ้แก่ กองทัพพันธมิตรปรัสเซีย ออสเตรีย รัสเซีย และอังกฤษ ภายใต้การนําของแม่ทัพตุ๊กแห่งเวลลิงตัน ที่สมรภูมิวอเตอร์ลู (Waterloo) ในวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1815

97. ใครคือคนที่มีบทบาทสําคัญที่สุดในสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว (Reign of Terror)
(1) จักรพรรดินโปเลียนที่ 1
(2) มองเตสกิเออ
(3) โรเบสปิแอร์
(4) รุสโซ
ตอบ 3 หน้า 464 – 465, 115 (H) โรเบสปิแอร์ (Robespiere) ได้ทําการยึดอํานาจในฝรั่งเศสและ ปกครองแบบเผด็จการในระหว่างเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1793 ถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1794 ซึ่งมีการประหารศัตรูทางการเมืองไปมากมาย จนได้ชื่อว่าเป็น “สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว” (Reign of Terror) ทําให้สมาชิกสภาคอนเวนชั่นกลัวว่าตัวเองจะได้รับอันตรายจึงร่วมมือกัน กําจัดโรเบสปิแอร์ด้วยเครื่องกิโยตินในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1794 นั่นเอง

98. วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 เกิดเหตุการณ์สําคัญใดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
(1) ทําลายพระราชวังแวร์ซาย
(2) ทําลายคุกบาสติล
(3) ทําลายพระราชวังลูฟวร์
(4) การปฏิวัติอันรุ่งเรือง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

99. อะไรคือวัตถุประสงค์หลักของระบบ “The Continental System” ในสมัยจักรพรรดินโปเลียน
(1) เพื่อสร้างพันธมิตรรัฐต่าง ๆ ในยุโรปเพื่อต่อต้านปรัสเซีย
(2) เพื่อสร้างระบบการค้าร่วมในทวีปยุโรป
(3) เพื่อสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจแก่อังกฤษ
(4) พระเจ้านโปเลียนต้องการสงบศึกกับประเทศเพื่อนบ้าน
ตอบ 3 หน้า 469, 117 (H), (คําบรรยาย) ระบบ The Continental System ในสมัยจักรพรรดินโปเลียน มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจแก่อังกฤษ ไม่ให้มีการค้าขายระหว่างประเทศ บนภาคพื้นยุโรปกับอังกฤษ ซึ่งทําให้ฝรั่งเศสและประเทศที่เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส เช่น ประเทศรัสเซีย ต้องเดือดร้อนเพราะขาดแคลนสินค้า

100. ขบวนการโรแมนติกเป็นปฏิกิริยาที่ต่อต้านแนวคิดอะไร
(1) แนวคิดเหตุผลนิยมในยุคประเทืองปัญญา
(2) นิกายโรมันคาทอลิก
(3) แนวคิดชาตินิยม
(4) มาร์กซิส
ตอบ 1 หน้า 473 – 474, 119 (H) ขบวนการโรแมนติก (Romanticism) เป็นขบวนการที่ต่อต้านข้อจํากัด ของศตวรรษที่ 18 หรือเป็นปฏิกิริยาที่ต่อต้านแนวคิดเหตุผลนิยม (Rationalism) ในยุคประเทือง ปัญญา แต่จะเน้นที่อารมณ์ ความรู้สึก และปัจเจกชน หรือเน้นที่ตัวบุคคล ซึ่งต่อมาขบวนการนี้ได้ เข้าร่วมกับขบวนการชาตินิยมและเสรีนิยม ลุกฮือขึ้นทั่วยุโรปเพื่อทําการปฏิวัติ

101. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ “ประกาศแห่งสิทธิ” (Bill of Rights) ค.ศ. 1689 ในการปฏิวัติอันรุ่งเรือง
(1) พระเจ้าแผ่นดินทรงออกกฎหมายโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภามิได้
(2) การร่างรัฐธรรมนูญที่มีลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพ
(3) การตัดสินคดีความต้องผ่านการพิจารณาจากลูกขุน
(4) กษัตริย์อังกฤษทุกพระองค์ต้องนับถือนิกายแองกลิคัน
ตอบ 2 หน้า 417 ประกาศแห่งสิทธิ (Bill of Rights) ค.ศ. 1689 ในการปฏิวัติอันรุ่งเรือง มีใจความว่า
1. พระเจ้าแผ่นดินจะทรงออกกฎหมาย เก็บภาษี หรือจัดตั้งกองทัพโดยไม่ผ่านความเห็นชอบ ของรัฐสภามิได้
2. ประชาชนมีสิทธิที่จะถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ โดยไม่ต้องเกรงกลัวต่อการลงโทษ
3. การตัดสินคดีต่าง ๆ ต้องได้รับการพิจารณาจากคณะลูกขุน
4. กษัตริย์อังกฤษทุกพระองค์ต้องนับถือนิกายแองกลิคัน เป็นต้น

102. ข้อใดไม่ใช่พระราชกรณียกิจสําคัญของพระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชแห่งปรัสเซีย ค.ศ. 1740 – 1786
(1) การปฏิรูปการทหารให้มีประสิทธิภาพ
(2) ทรงร่วมสงครามสามสิบปี
(3) ทรงใช้การทูตระหว่างสงคราม
(4) ทรงร่วมในการแบ่งแยกโปแลนด์
ตอบ 2 หน้า 419 – 421, 108 – 109 (H), (คําบรรยาย) พระราชกรณียกิจสําคัญของพระเจ้าเฟรเดอริก มหาราชแห่งปรัสเซีย (ค.ศ. 1740 – 1786) มีดังนี้
1. ทรงทําการปฏิรูปการทหารให้มีประสิทธิภาพ โดยสร้างกองทัพที่มีทหารถึง 147,000 คน ซึ่งมีระเบียบวินัยเฉียบขาด ได้รับการฝึกฝนอย่างดีและมีอาวุธที่ทันสมัย
2. ทรงร่วมสงครามเจ็ดปี (ค.ศ. 1756 – 1763) ซึ่งเป็นสงครามสืบเนื่องจากสงครามสืบราชสมบัติ ออสเตรีย
3. ทรงใช้การทูตระหว่างสงคราม และถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางการทูต (Diplomatic Revolution) คือ ศัตรูกลับมาเป็นมิตร และมิตรกลายเป็นศัตรู
4. ทรงร่วมกับรัสเซียและออสเตรียในการแบ่งแยกโปแลนด์ เป็นต้น

103. ข้อใดไม่ใช่บุคคลที่มีบทบาทสําคัญในการรวมประเทศอิตาลี
(1) เคานต์ คามิลโล ดิ คาวัวร์
(2) กษัตริย์วิกเตอร์ เอมมานูเอลที่ 2
(3) โจเซฟ การบัลดี
(4) บิสมาร์ก
ตอบ 4 หน้า 512, 125 – 120 (H) บุคคลที่มีบทบาทสําคัญในการรวมประเทศอิตาลี ได้แก่
1. กษัตริย์วิกเตอร์ เอมมานูเอลที่ 2
2. เคานต์ คามิลโล ดิ คาร์วัวร์
3. โจเซฟ การบัลดี

104. ใครคือผู้ที่นําสถิติประชากรมาวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐศาสตร์
(1) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(2) เดวิด ริคาร์โด
(3) โทมัส มัลธัส
(4) อดัม สมิธ
ตอบ 3 หน้า 502, (คําบรรยาย) โทมัส มัลธัส (Thomas Maithus) ขาวอังกฤษ เป็นผู้ที่นําสถิติประชากร มาวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐศาสตร์ และถือว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์คนแรกที่ใช้วิชาสถิติมาประยุกต์ เข้ากับอัตราการเกิดของประชากร โดยมีงานวิทยานิพนธ์คือ Malthusian Doctrine ซึ่งเป็นเรื่อง เกี่ยวกับการเพิ่มจํานวนประชากรซึ่งถ้าไม่มีการตรวจสอบแล้วจะมีอัตราเพิ่มขึ้น (ตามหลักเรขาคณิต) มากกว่าหนทางในการดํารงอยู่ (ตามหลักคณิตศาสตร์)

105. ชาร์ลส์ ดาร์วิน มีบทบาทสําคัญต่อแนวคิดเรื่องใด
(1) ปมเอดิปัส
(2) ทฤษฎีสัมพันธภาพ
(3) ทฤษฎีวิวัฒนาการมนุษย์
(4) การค้าเสรี
ตอบ 3 หน้า 18 – 19, 11 (H) ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) นักชาติพันธุ์วิทยาชาวอังกฤษ ได้เขียนหนังสือเรื่อง ทฤษฎีวิวัฒนาการ (The Theory of Evolution) ซึ่งมีสาระสําคัญคือ
1. สิ่งมีชีวิตถือกําเนิดมาจากสัตว์เซลล์เดียวในทะเล
2. สิ่งมีชีวิตจะค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างไปตามสภาพแวดล้อม
3. สิ่งมีชีวิตย่อมได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจากพ่อและแม่
4. สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ ก็จะต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด

106. ระบบเศรษฐกิจและการค้าทางทะเลตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 15 – ศตวรรษที่ 18 ในยุโรปตะวันตกเรียกว่าระบบอะไร
(1) เสรีนิยม
(2) การค้าเสรี
(3) สังคมนิยม
(4) พาณิชย์นิยม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 79. ประกอบ

107. ข้อใดไม่ใช่นวัตกรรมที่เกิดขึ้นในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม
(1) กล้องดูดาว
(2) รถไฟ
(3) หูกทอผ้า
(4) ระบบโรงงาน
ตอบ 1 หน้า 494 – 498, (คําบรรยาย) นวัตกรรมที่เกิดขึ้นในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม เช่น ระบบโรงงาน การประดิษฐ์เครื่องปั่นด้าย (Spinning Mute) หูกทอผ้า (Power Loom) เครื่องแยกเมล็ดฝ้าย (Cotton Gin) ตะเกียงนิรภัยเพื่อใช้ในเหมืองแร่ เรือไอน้ําหรือเรือกลไฟ หัวรถจักร รถไฟ ฯลฯ

108. นักคิดคนใดที่มีแนวคิดแบบอนาธิปไตย
(1) ปิแอร์ พรูดอง
(2) คาร์ล มาร์กซ์
(3) อดัม สมิธ
(4) เจเรอมี เบนม
ตอบ 1 หน้า 505 – 506 อนาธิปไตย (Anarchism) เป็นลัทธิต่อต้านระบบนายทุนที่มีแนวความคิด รุนแรงกว่าสังคมนิยมมาก เพราะสังคมนิยมจะเน้นที่การรวมกลุ่ม แต่อนาธิปไตยจะทําลายอํานาจ ทุกชนิด ทั้งความคิดเรื่องการปกครองโดยรัฐ ระเบียบประเพณี และระบบชนชั้นเหล่านี้จะต้อง ไม่มีเหลืออีกในโลก เนื่องจากลัทธินี้เชื่อว่าทุกรัฐบาลล้วนกดขี่ โดยนักคิดคนสําคัญของลัทธินี้ได้แก่ วิลเลียม กอดวิน, ปิแอร์ พรูดอง และไมเคิล บูกานิน

109. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์
(1) แนวคิดของมาร์กซ์ได้รับอิทธิพลจากเฮเกล
(2) เป้าหมายทางการเมืองของมาร์กซ์คือสังคมไร้ชนชั้น
(3) มาร์กซ์ยอมรับว่าแนวคิดของตนเองเป็นแบบสังคมยูโทเปีย
(4) เขาเห็นด้วยกับระบบทุนนิยม
ตอบ 1 หน้า 504 สังคมนิยมปฏิวัติ (The Revolutionary Socialism) ของคาร์ล มาร์กซ์ ได้รับอิทธิพล จากวิภาษวิธี (Dialectic) ของเฮเกล โดยมาร์กซ์ได้ชื่อว่าเป็น “ศาสดาพยากรณ์ของชนชั้นกรรมาชีพ” แต่ผลงานของเขาทําให้สาวกต่อมานิยมเรียกลัทธิของตนว่า “ลัทธิคอมมิวนิสต์” มากกว่าที่จะเรียก ว่า “ลัทธิสังคมนิยม” ทั้งนี้เพื่อต้องการกําหนดลักษณะลัทธิของตนให้แตกต่างไปจากพวกยูโทเปีย และสังคมนิยมคาทอลิกนั่นเอง

110. สาเหตุสําคัญที่ทําให้จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 สามารถทํารัฐประหารได้สําเร็จในปี 1851
(1) พระองค์ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนฝรั่งเศสทุกชนชั้น
(2) ชนชั้นกลางต้องการให้พวกโซเชียลิสต์มีอํานาจทางการเมือง
(3) พระองค์เป็นพระราชโอรสของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1
(4) พระองค์ได้รับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรให้ทํารัฐประหาร
ตอบ 1 หน้า 510, (คําบรรยาย) จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 สามารถทํารัฐประหารได้สําเร็จในปี ค.ศ. 1851 เพราะพระองค์ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนฝรั่งเศสทุกชนชั้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่พระองค์ เอาใจประชาชนด้วยการส่งกองทัพไปช่วยพระสันตะปาปาที่โรมใน ค.ศ. 1849 ทรงดําเนินการ ปราบปรามฝ่ายนิยมสาธารณรัฐของมาสสินี และช่วยให้พระสันตะปาปาไพอัสที่ 9 ดํารงตําแหน่งอยู่ได้ นอกจากนี้ยังเอาใจกรรมกรด้วยการร่างพระราชบัญญัติควบคุมการทํางานของกรรมกร วันละ 12 ชั่วโมงอีกด้วย

111. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองของบิสมาร์ก
(1) สนับสนุนแนวคิดเสรีนิยม
(2) เป็นผู้นําประชาธิปไตย
(3) เป็นนักคิดอนุรักษนิยม
(4) สนับสนุนแนวคิดของมาร์กซ์
ตอบ 3 หน้า 517 – 518, 128 – 129 (H), (คําบรรยาย) บิสมาร์ก (Bismarck) เป็นนักคิดอนุรักษนิยม หรือพวกหัวเก่า ซึ่งต่อต้านฝ่ายเสรีนิยมอย่างรุนแรง โดยเขาประกาศใช้นโยบาย “เลือดและเหล็ก” (Blood and Iron) ในการบริหารประเทศ และดําเนินนโยบายรวมเยอรมนีโดยใช้วิธีการทําสงคราม ถึง 3 ครั้ง จนกระทั่งสามารถจัดตั้งจักรวรรดิเยอรมันได้สําเร็จในปี ค.ศ. 1871 ที่ห้องกระจกใน พระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส

112. แนวคิดใดที่ส่งเสริมความชอบธรรมของลัทธิจักรวรรดินิยม
(1) แนวคิดดาร์วิน
(2) แนวคิดเลนิน
(3) แนวคิดมาร์กซิส
(4) แนวคิดจิตวิเคราะห์
ตอบ 2 หน้า 524, (คําบรรยาย) แนวคิดของเลนิน (Lenin) ในเรื่อง “Imperialism The Highest Stage of Capitalism” (1916) นั้นเป็นแนวคิดที่ส่งเสริมความชอบธรรมของลัทธิจักรวรรดินิยม โดยเห็นว่า จักรวรรดินิยมนั้นจะปรากฏในฐานะที่เป็นพัฒนาการและการดํารงอยู่ของลักษณะพื้นฐานของ ระบบทุนนิยมโดยทั่วไป นั่นคือ ระบบทุนนิยมโดยทั่วไปนั้น เมื่อมีการพัฒนาตนเองและดํารงอยู่มา จนถึงระดับหนึ่ง ก็จะกลายเป็นจักรวรรดินิยมขึ้นมา แต่ทุนนิยมจะกลายเป็นจักรวรรดินิยมทุนนิยม (Capitalist Imperialism) ก็ต่อเมื่อมันพัฒนาไปถึงขั้นสูงสุด

113. อาณานิคมใดไม่ถูกฝรั่งเศสปกครอง
(1) ตูนีเซีย
(2) เวียดนาม
(3) ลาว
(4) พม่า
ตอบ 4 หน้า 525, 132 (H) อาณานิคมที่เคยถูกฝรั่งเศสปกครอง ได้แก่ แอลจีเรีย ตูนีเซีย เวียดนาม ลาว เขมร (กัมพูชา) ฯลฯ

114. ประเทศใดไม่ได้อยู่ในกลุ่มไตรพันธไมตรี (Triple Alliance) ค.ศ. 1882
(1) รัสเซีย
(2) ออสเตรีย-ฮังการี
(3) เยอรมนี
(4) อิตาลี
ตอบ 1 หน้า 529 – 531, 133 (H) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มหาอํานาจในยุโรปแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
1. กลุ่มไตรพันธไมตรี (Triple Alliance) ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี
2. กลุ่มไตรพันธมิตร (Triple Entente) ประกอบด้วย ฝรั่งเศส รัสเซีย และอังกฤษ

115. ประเทศใดอยู่ในกลุ่มไตรพันธมิตร (Triple Entente)
(1) สวีเดน
(2) ฝรั่งเศส
(3) เยอรมนี
(4) อิตาลี
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 114. ประกอบ

116. ผู้นําคนใดคือผู้ถูกสังหารจนนําไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1
(1) ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2
(2) ฮิตเลอร์
(3) อาร์ชบุ๊ก ฟรานซิส เฟอร์ดินานด์
(4) มุสโสลินี
ตอบ 3 หน้า 534 – 535, 562, 133 (H) ชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 คือเหตุการณ์การลอบปลง พระชนม์ อาร์ชบุ๊ก ฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ (Archduke Francis Ferdinand) มงกุฎราชกุมาร ออสเตรีย ที่ซาราเจโว เมืองหลวงของแคว้นบอสเนีย ประเทศเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 โดยนักศึกษาชาวเซิร์บชื่อ กาวริโล ปรินซิป (Gavrilo Princip) ทําให้ออสเตรียตัดสินใจ ยื่นคําขาดต่อเซอร์เบียให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของตนภายใน 24 ชั่วโมง แต่เซอร์เบียไม่อาจรับได้ ดังนั้นฝ่ายสนับสนุนทั้งสองข้างจึงถูกผลักดันให้ใช้กําลังเข้าประหัตประหารกัน จนลุกลามกลายเป็น สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเวลาต่อมา

117. พรรคใดคือผู้นําในการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917
(1) พรรคบอลเชวิค
(2) พรรคเมนเซวิค
(3) พรรคนาซี
(4) พรรคฟาสซิสแห่งชาติ
ตอบ 1 หน้า 537, 134 – 136 (H) การปฏิวัติรัสเซียปี ค.ศ. 1917 ภายใต้การนําของพรรคบอลเชวิค โดยมีเลนินเป็นผู้นํา ได้ส่งผลให้รัสเซียจําเป็นต้องถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และทําให้ รัสเซียเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ และก่อตั้งเป็นสหภาพโซเวียต จนกระทั่ง ในปี ค.ศ. 1918 เลนินก็ได้ทําสนธิสัญญาสงบศึกเบรสท์-ลิตอฟ (Brest-Litovsk) กับฝ่ายเยอรมนี

118. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สอง
(1) ความไร้ประสิทธิภาพขององค์การสันนิบาตชาติ
(2) เศรษฐกิจของประเทศที่มีอาณานิคมมั่นคง ในขณะที่ประเทศที่ไร้อาณานิคมกลับตกต่ำ
(3) เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
(4) กองทัพเยอรมันบุกโปแลนด์ ค.ศ. 1939
ตอบ 2 หน้า 546 – 547, 550), 138 (H) สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945) คือ
1. ความอ่อนแอหรือความไร้ประสิทธิภาพขององค์การสันนิบาตชาติ
2. ความต้องการขยายดินแดนของประเทศมหาอํานาจซึ่งไม่มีอาณานิคมเหมือนชาติมหาอํานาจชาติอื่น ๆ
3. สภาวะเศรษฐกิจตกต่ําทั่วโลก (The Great Depression) ในปี ค.ศ. 1929
4. กองทัพเยอรมันบุกโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939
5. ความไม่เป็นธรรมในการทําสนธิสัญญาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้น

119. ประเทศใดต่อไปนี้คือฝ่ายอักษะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
(1) ญี่ปุ่น-จีน
(2) อังกฤษ อิตาลี
(3) เยอรมนี-ญี่ปุ่น
(4) อิตาลี-โซเวียต
ตอบ 3 หน้า 138 (H) สงครามโลกครั้งที่ 2 แบ่งพันธมิตรทางทหารออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
1. ฝ่ายอักษะ ประกอบด้วย เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี ฯลฯ
2. ฝ่ายสัมพันธมิตร ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต จีน ฯลฯ

120. ประเทศใดต่อไปนี้ไม่ใช่สมาชิกถาวรแห่งองค์การสหประชาชาติ
(1) เยอรมนี
(2) ฝรั่งเศส
(3) จีน
(4) สหภาพโซเวียต
ตอบ 1 หน้า 559, (คําบรรยาย) คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) แห่งองค์การสหประชาชาติ ประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ
1. สมาชิกถาวรมี 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน
2. สมาชิกไม่ถาวรหรือสมาชิกสมทบมี 10 ประเทศ ซึ่งเป็นสมาชิกที่สมัชชาใหญ่เป็นผู้เลือกด้วย การลงคะแนนเสียง 2 ใน 3 โดยอยู่ในตําแหน่งคราวละ 2 ปี

Advertisement