การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา HIS1001 อารยธรรมตะวันตก
คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)
1. ศิลปะของอารยธรรมใดในยุคโบราณถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสนองการพระศาสนา
1. อียิปต์
2. เมโสโปเตเมีย
3. โรมัน
4. กรีก
ตอบ 1 หน้า 61, 63, 21 (H) ศิลปะของอารยธรรมอียิปต์โบราณมักถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสนองการพระศาสนา ทำให้งานศิลปะต่าง ๆ ล้วนแสดงออกซึ้งสัญลักษณ์ทางศาสนาทั้งสิ้น นอกจากนี้ศิลปะของอียิปต์โบราณนั้นก็ไม่ใช่ศิลปะเพื่อศิลปะ แต่เป็นศิลปะที่เปลี่ยนแปลงไปตามอุดมคติ วิถีทางการเมืองและสังคม เช่น ในสมัยอาณาจักรเก่าจะนิยมสร้างพีระมิดเพื่อหวังผลในโลกหน้า แต่ในสมัยจักรวรรดินิยมจะสร้างวิหารเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่และอานุภาพของฟาโรห์
2. ผลงานศิลปกรรมใดแสดงว่าชาวอียิปต์เชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ
1. พีระมิด
2. สฟิงซ์
3. ซิกกูแรต
4. โอเบลิส์
ตอบ 1 หน้า 64 – 65 ชาวอียิปต์มีความเชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอมตะและโลกหน้า ด้วยเหตุนี้ชาวอียิปต์ จึงมีวิธีเก็บรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทำเป็นมัมมี่ และสร้างพีระมิดไว้เก็บพระศพของฟาโรห์รวมทั้งยังเขียนเรื่องราวแสดงความบริสุทธิ์และความประพฤติที่ดีของตนเอาไว้เพื่อนำไปแสดงต่อเทพเจ้าโอสิริสเมื่อตนตายไปแล้ว ซึ่งถ้าเขียนเป็นหนังสือจะเรียกว่า “Book of the Dead” แต่ถ้าเขียนไว้ตามหีบศพจะเรียกว่า “Coffin Texts” และถ้าเขียนไว้บนกำแพงพีระมิดจะเรียกว่า“Pyramid Texts”
3. การก่อสร้างสุสาน วัด และวังของชาวอียิปต์ เป็นตัวอย่างของความเจริญทางด้านใด
1. วิทยาศาสตร์
2. อักษรศาสตร์
3. เทคโนโลยี
4. ถูกข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 หน้า 61 – 62 การสร้างสุสานหรือพีระมิด วัด วิหาร และวังของอียิปต์นั้น ได้แสดงถึงความเจริญทางด้านสถาปัตยกรรม วิทยาศาสตร์(โดยเฉพาะดาราศาสตร์) คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและลักษณะทางวิศวกรรมอย่างสูง นั่นคือ สถาปนิกชาวอียิปต์มีความสามารถประดิษฐ์เครื่องมือกลสำหรับเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่และสิ่งของหนักอื่น ๆ อีกทั้งยังรู้หลักการคำนวณหาปริมาตรของพีระมิดเพื่อรองรับกับแรงกดของหินขนาดใหญ่จำนวนมาก ๆ ได้อย่างสมดุลอีกด้วย
4. สังคมของอารยธรรมใดในยุคโบราณที่มีลักษณะเป็นสังคมเมืองตั้งแต่แรกเริ่มมาก่อน
1. อารยธรรมอียิปต์
2. โรมัน
3. อารยธรรมกรีก
4. เมโสโปเตเมีย
ตอบ 4 หน้า 67 – 69 อารยธรรมเมโสโปเตเมียเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 4,000 B.C. โดยชนชาติแรกที่เริ่มสร้างอารยธรรมไว้ในเมโสโปเตเมีย คือ พวกสุเมเรียน ซึ่งพัฒนาการทางวัฒนธรรมของสุเมเรียน แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ 1. ระยะวัฒนธรรมอูเบด (Ubaid) ประมาณ 4250 – 3750 B.C. เป็นสมัยเริ่มอารยธรรม คนเมือง หรือสมัยสังคมเมือง (Urban Civilization) 2. ระยะวัฒนธรรมอูรุค (Uruk) ประมาณ 3750-3000 B.C. เป็นสมัยของการสร้างความเจริญในด้านต่าง ๆ
5. ผู้ปกครองเมโสโปเตเมียพิทักษ์ความยุติธรรมด้วยวิธีใด
1. แสดงอำนาจบาตรใหญ่ 2. เชือดไก่ให้ลิงดู 3. ออกกฎหมาย 4. ตั้งศาลพิเศษ
ตอบ 3 หน้า 72 – 74, 24 (H) ผู้ปกครองเมโสโปเตเมียจะพิทักษ์ความยุติธรรมด้วยการออกกฎหมายโดยเฉพาะในสมัยของกษัตริย์ฮัมมูราบี ซึ่งเป็นผู้นำที่ปกครองพวกอะมอไรท์หรือพวก บาบิโลนเก่าได้มีการร่างประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (The code of Hammurabi) ขึ้นมาใช้ โดยได้รับอิทธิพลมาจากกฎหมายชองพวกสุเมเรียนที่อาศัยหลัก Lex Talionis (ลัทธิสนองตอบ) คือ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งประมวลกฎหมายฮัมมูราบีนี้ได้ใช้ต่อมาจนถึงสมัยของกฎหมายโรมัน
6. ระบบการปกครองใดของเมโสโปเตเมียที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของเทพ
1. ระบบคณาธิปไตย 2. ระบบราชาธิปไตย 3. ระบบประชาธิปไตย 4. ระบบทรราช
ตอบ 2 หน้า 70, 80, 25 (H) (คำบรรยาย) การปกครองของเมโสโปเตเมียมักจะเป็นการปกครองในระบอบเทวาธิปไตย หรือเทวราชาธิปไตย ซึ่งอาจเรียกได้ว่าการปกครองแบบกษัตริย์เอกาธิปไตยหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นั้นคือ กษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพซึ่งเป็นตัวแทนของเทพเจ้าที่ถูกส่งลงมาปกครองพวกมนุษย์ ดังนั้นจึงทรงมีฐานะเป็นเทวกษัตริย์และถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของเทพหรือของกษัตริย์นั้นเอง เช่น การปกครองของ สุเมเรียนและอัสสิเรีย ฯลฯ
7. การมีระบบชั่งตวงวัด เป็นเครื่องแสดงความก้าวหน้าของชาวเมโสโปเตเมียในด้านใด
1. การปกครอง 2. การคลัง 3. การค้า 4. การขนส่ง
ตอบ 3 หน้า 69 – 70, 23 – 24 (H), (H1 102 เลขพิมพ์ 42115 หน้า 85) ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของชาวสุเมเรียนในเมโสโปเตเมีย ซึ่งยังเป็นที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือการนับหน่วย 60, 10 และ 6 เช่น 1 ชั่วโมงมี 60 นาที(10 x 6 = 60)วงกลมมี 360 องศา(60 x 6 = 360) ฯลฯ นอกจากนี้ ชาวสุเมเรียนยังนำเอาหลักการนับหน่วย 60 ไปใช้กำหนดมาตราชั่งตวงวัด ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าด้านการค้าแบบเมโสโปเตเมีย เช่น 60 Shekels = 1 Mina, 6O Minas = 1 Talent เป็นต้น
8. ในยุคโบราณชาวอียิปต์และชาวสุเมเรียนใช้เทคโนโลยีอะไรเพื่อพัฒนาการเกษตร
1. การเคมี 2. การขนส่งทางทะเล 3. การชลประทาน 4. ระบบนาสาม
ตอบ 3 หน้า 59, 63, 71 ในยุคโบราณนั้นทั้งชาวอียิปต์และชาวสุเมเรียนต่างก็ใช้เทคโนโลยีด้านการ ชลประทานเพื่อพัฒนาการเกษตรให้ก้าวหน้ามากขึ้น กล่าวคือ ชาวอียิปต์ได้ขุดคูส่งน้ำเพื่อการเกษตรกรรมทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเหลือกินเหลือใช้จนส่งเป็นสินค้าออกไปขายได้ในขณะที่ชาวสุเมเรียนก็สร้างเขื่อนและขุดคลองคูทดน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภครวมทั้งเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำและอุทกภัย
9. การจัดตั้งทหารม้าของเมโสโปเตเมีย เป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติอะไร
1. ยุทธศาสตร์ 2. จรยุทธ์ 3. กลยุทธ์ 4. ยุทธการ
ตอบ 3 หน้า 76, 24 (H), (คำบรรยาย) กลยุทธ์ด้านการทหารของเมโสโปเตเมียจะเริ่มต้นด้วยการใช้ทหารราบในการรบ แต่เมื่ออนารยชนแคสไซท์เข้ายึดกรุงบาบิโลนโดยนำม้าและรถศึกขนาดเบาเข้ามาใช้ในบาบิโลเนียเมื่อปี 1750 B.C. ก็ทำให้อาณาจักรต่าง ๆ ในเมโสโปเตเมียหันมาใช้ม้าเทียมเข้ากับรถศึกขนาดเบาในการรบ และต่อมาจึงได้มีการจัดตั้งทหารม้าขึ้นโดยมีการยุทธ์ที่สำคัญ คือ การทหารแบบรวมเหล่า (ทหารราบ ทหารม้า รถศึก) ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติกลยุทธ์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์
10. การเขียนตัวอักษรของอียิปต์บนกระดาษแสดงนวัตกรรมที่พัฒนาก้าวหน้ากว่าวิธีการเขียนตัวอักษรของอารยธรรมใดในยุคโบราณ
1. ของ Crete 2. ของฟินิเชียน 3. ของโรมัน 4. ของเมโสโปเตเมีย
ตอบ 4 หน้า 47 – 48, 69, 22 – 23 (H) เมื่อประมาณ 3,000 B.C. ชาวอียิปต์ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรเฮียโรกลิฟิกขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีการบันทึกตัวอักษรลงบนกระดาษปาไปรัส (Papyrus) ซึ่งนวัตกรรมเช่นนี้ถือว่าพัฒนาก้าวหน้ากว่าวิธีเขียนตัวอักษรคูนิฟอร์มหรือตัวอักษรรูปลิ่มของชาวสุเมเรียนในเมโสโปเตเมียเป็นอย่างมาก เพราะชาวสุเมเรียนไม่มีกระดาษปาไปรัสเหมือนชาวอียิปต์จึงต้องใช้เหล็กแหลมกดลงบนแผ่นดินเหนียว แล้วนำไปผึ่งแดดหรือเผาไฟให้แห้งแข็งแทน
11. นครรัฐกรีกใดที่พลเมืองทหารชั้นสูงมีอำนาจแท้จริงในการปกครอง
1. เอเธนส์
2. สปาร์ตา
3. โครินท์
4. ธีบส์
ตอบ 1 หน้า 126 – 130, 43 (H), (คำบรรยาย) ระบอบประชาธิปไตยของกรีกเอเธนส์มีลักษณะเด่น คือเป็นรูปแบบการปกครองที่พลเมืองชายชั้นสูงมีสิทธิทางการเมือง โดยจะมีอำนาจในการพิจารณา กฎหมายหรือนโยบายต่าง ๆ ที่ผ่านสภาห้าร้อยแล้ว มีสิทธิเลือกผู้แทนไปปกครองและคัดเลือกอาร์คอนเป็นประมุข นอกจากนี้อำนาจแท้จริงในการปกครองยังตกอยู่ที่ทหารชั้นสูง คือ คณะ 10 นายพล ส่วนประชาชนที่เป็นผู้หญิง ทาส และชนต่างด้าวต่างนครจะไม่มีสิทธิทางการเมืองทุกคน ดังนั้นประชาธิปไตยในเอเธนส์จึงสมบูรณ์
12. เหตุการณ์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะเป็นเหตุการณ์อะไร
1. เหตุการณ์ธรรมชาติ
2. เหตุการณ์ของมนุษย์
3. เหตุการณ์เทพบันดาล
4. เหตุการณ์ซ้ำของธรรมชาติ
ตอบ 2 หน้า 41 (คำบรรยาย) ประวัติศาสตร์นั้นเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ของมนุษย์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะทำนายล่วงหน้ามิได้ และไม่อาจนำมาทดลองซ้ำในห้องทดลองส่วนเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินั้นสามารถศึกษาได้จากประสบการณ์เละประสาทสัมผัส ซึ่งเกิดและดับซ้ำเป็น วัฏจักรหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จึงทำให้สามารถทำนายล่วงหน้าได้อย่างเที่ยงตรงโดยใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงถือเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นวิทยาศาสตร์แท้ๆ ได้
13. หลักฐานต่อไปนี้หลักฐานใดคือซากวัสดุ
1. บันทึกความทรงจำ 2. โบราณสถาน 3. ความทรงจำ 4. บทเพลง
ตอบ 2 หน้า 20, 12 (H), (คำบรรยาย)ซากวัสดุ (Material Remains)ได้แก่ ซากวัสดุโบราณที่เหลือตกค้างมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งใช้เป็นหลักฐานในการศึกษามนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1.ซากสิ่งมีชีวิต (Fossil) คือ ซากสิ่งมีชีวิตในอดีตที่เหลือตกค้างอยู่ตามชั้นหิน 2. เครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธและสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นศิลปะ เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดของวิธีการศึกษาเรื่องราวต่างๆ สมัยก่อนประวัติศาสตร์
14. เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันจึงเกิดอะไรขึ้น
1. ประชากรเพิ่ม 2. ทำสงครามกัน 3. อารยธรรม 4. ความขัดแย้ง
ตอบ 3 หน้า 25, 13(H) อารยธรรม (Civilization)หมายถึง วัฒนธรรมที่พัฒนาขึ้นพร้อมกับความสามารถในการประดิษฐ์ตัวอักษรและการเก็บรวบด้วยการบันทึก มีการแบ่งงานกันทำและมีความสำนึกในความเป็นตัวตนของตน ดังนั้นเมื่อใดที่มนุษย์เริ่มแสดงออกถึงความต้องการที่จะบันทึกเรื่องราวของตน มีความหวัง ความเชื่อ และความต้องการที่จะอยู่ร่วมกันมากกว่าอยู่ตามลำพังเราจะถือว่าเป็นการเริ่มต้นสมัยแห่งอารยธรรมของมนุษย์
15. การถ่ายทอดคือลักษณะเด่นของอะไร
1. วัฒนธรรม 2. การพัฒนา 3. ความก้าวหน้า 4. อารยธรรม
ตอบ 4 หน้า 31 (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ) อารยธรรมมีลักษณะเด่น คือมีการถ่ายทอด และเผยแพร่ออกไปโดยจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขอยู่เสมอ ไม่อยู่คงที่และเป็นความเจริญซึ่งเกิดขึ้นตามนครไม่ได้เกิดขึ้นตามชนบท
16. การเมืองการปกครองของอารยธรรมใดที่ริเริ่มให้มีการเลือกตั้งและมีองค์กรผู้แทนชนชั้น
1. ไบแซนไทน์ 2. กรีก 3. โรมัน 4. เมโสโปเตเมีย
ตอบ 2 หน้า 107 – 108, 117, 122 – 127, 42 – 43 (H) ปรัชญาการเมืองของกรีกถือเป็นต้นแบบของการเมืองในสมัยต่อมา และเป็นต้นกำเนิดหรือแม่แบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งเริ่มขึ้นที่นครรัฐเอเธนส์เป็นแห่งแรก ต่อมาสามัญชนได้เรียกร้องให้สร้างประมวลกฎหมายเพื่อสิทธิอันเท่าเทียมกัน ตลอดจนริเริ่มให้มีการเลือกตั้งและมีองค์กรผู้แทนชนชั้น เพื่อให้เป็นตัวแทนในการปกครองตนเอง (Self-government) อันเป็นการปกครองในอุดมคติของชนชาติกรีกในยุคโบราณ
17. เอกภาพของศิลปะเป็นลักษณะของศิลปะชนชาติใดในยุคโบราณ
1. กรีกไมซีเน 2. กรีก 3. โรมัน 4. เมโสโปเตเมีย
ตอบ 2 หน้า 131, 133 (คำบรรยาย) ศิลปะของชนชาติกรีกในยุคโบราณจะเน้นเรื่องสุนทรียภาพหรือความงาม โดยให้ความสำคัญกับดุลยภาพ คือ การเน้นเรื่องน้ำหนักเท่ากันของสี เส้นแสง และเงา ตลอดจนเน้นความมีเอกภาพของศิลปะหรือการประสานกลมกลืนของทุกสิ่งตามอุดมคติของชาวกรีกที่ว่า “Nothing in excess and everything in proportion” (ไม่มีสิ่งที่เกินไป และทุกสิ่งจะต้องเป็นสัดส่วน)
18. ชนกลุ่มใดสร้างอารยธรรมจากการค้าเป็นสำคัญในยุคโบราณ
1. เมโสโปเตเมีย 2. กรีก 3. อียิปต์ 4. ฟินิเชียน
ตอบ 4 หน้า 84, 27 (H) ชาวฟินิเชียนเป็นชนเผ่าเซมิติกที่เข้ามาอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนด้านซีเรีย (ปัจจุบันคือประเทศเลบานอน) โดยมีอาชีพสำคัญคือ ท่าการค้าหรือการพาณิชยกรรม ทำให้ชาวฟินิเชียนได้รับการยกย่องว่าเป็น “พ่อค้าทางทะเลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” โดยเป็นทั้งนักต่อเรือนักเดินเรือ และนักล่าอาณานิคม ซึ่งอาณานิคมที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญคือ เมืองคาดิซในสเปนและเมืองคาร์เถจบนฝั่งแอฟริกาเหนือ (ปัจจุบันคือประเทศตูนิเซีย)
19. การปกครองตนเองคือการปกครองในอุดมคติของชนชาติใดก่อนในยุคโบราณ
1. ชาวโรมัน 2. ชาวกรีก 3. ชาวไบแซนไทน์ 4. ชาวบาบิโลเนีย
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ
20. การใช้สัญลักษณ์มนุษย์ในการสร้างสรรค์ศิลปกรรม เป็นเอกลักษณ์ของศิลปะชนชาติใด
1. อียิปต์ 2. โรมัน 3. เมโสโปเตเมีย 4. กรีก
ตอบ 4 หน้า 131, (คำบรรยาย) ชาวกรีกเป็นนักวัตถุนิยมที่มองโลกในแง่กายภาพ ทำให้งานศิลปะของกรีก ส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายทางโลกเป็นสำคัญ โดยมีเอกลักษณ์เด่น คือ เป็นงานที่แสดงถึงสัญลักษณ์ของมนุษย์ ตามคตินิยมที่ว่ามนุษย์คือสัตย์โลกที่สำคัญที่สุดในจักรภพ ดังนั้นประติมากรรมบางชิ้นแม้จะเป็นรูปบนของเทพเจ้า แต่ก็ไม่ได้ทิ้งลักษณะความเป็นมนุษย์ไปเลยทีเดียว
21. ในระบอบทรราชกรีก ผู้นำมีอำนาจโดยวิธีใด
1. เลือกตั้ง
2. คัดเลือก
3. ยึดอำนาจ
4. สืบต่อในวงศ์สกุล
ตอบ 3 หน้า 116 – 117, 40 (H) ระบอบทรราช (Tyranny) เป็นระบอบการปกครองในยุคหนึ่งของกรีกซึ่งผู้นำจะยึดอำนาจแล้วปกครองตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน เรียกว่า สัญญาประชาคม หรือเป็นการก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยการใช้กำลัง ไม่ใช่จากการสืบสายโลหิต ดังนั้นความหมายของคำว่า “ทรราช” (Tyrants) จึงมีความหมายถึงคนไม่ดีหรือผู้ปกครองที่ปกครองแบบกดขี่เพราะเมื่อพวกทรราชปกครองไปได้ระยะหนึ่ง ก็มักจะหลงอำนาจและกลายเป็นเผด็จการไป
22. ระบอบนครรัฐเป็นระบอบการปกครองของชนชาติใดมาก่อนในยุคโบราณ
1. สุเมเรียน 2. กรีก 3. โรมัน 4. อิตาลี
ตอบ 1 หน้า 68 – 70 (คำบรรยาย) สุเมเรียน เป็นชนชาติแรกที่เริ่มสร้างและวางรากฐานทางอารยธรรมในเมโสโปเตเมีย ทั้งนี้สันนิษฐานว่าชนกลุ่มนี้อพยพมาจากที่ราบสูงทางตอนกลางของทวีปเอเชียแล้วเข้ามาตั้งบ้านเรือนในเขตบาบิโลเนียบริเวณซูเมอร์เมื่อ 4,000 B.C. โดยเริ่มจากการเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ต่อมาได้รวมกันเป็นนครรัฐ แต่ละนครรัฐจะปกครองตนเองและมีอิสระไม่ขึ้นต่อกัน เช่น เมือง Ur, Eridu, Kish เป็นต้น
23. การนับหลัก 60, 10 และ 6 เป็นการคิดค้นทางด้านใดของชนใดในยุคโบราณ
1. ทางเทคโนโลยีของกรีก
2. ทางวิทยาศาสตร์ของชาวสุเมเรียน
3. ทางเคมีวิทยา
4. ทางแคลคูลัสของชาวโรมัน
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ
24. จักรวรรดิใดเป็นจักรวรรดิแรกที่ปกครองตามหลักกฎหมาย และจักรวรรดิใดสืบต่อและพัฒนาหลัก
ปฏิบัตินี้จนเป็นระบบนิติศาสตร์
1. บาบิโลเนียใหม่, ต่อมาจักรวรรดิเปอร์เซีย
2. สุเมเรียน, ต่อมาบาบิโลเนียใหม่
3. บาบิโลเนียเก่า, ต่อมาจักรวรรดิโรมัน
4. แคลเดีย, ต่อมาจักรวรรดิไบแซนไทน์
ตอบ 3 หน้า 73 – 74, 173, 253, 255 (คำบรรยาย) จักรวรรดิแรกที่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการปกครอง คือ พวกอะมอไรท์หรือบาบิโลเนียเก่า ส่วนจักรวรรดิโรมันก็ได้ยืดกฎหมายเป็นหลักในการปกครองเช่นเดียวกัน โดยกฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโรมันคือกฎหมาย 12 โต๊ะ ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นพื้นฐานแห่งระบบนิติศาสตร์ของโลกตะวันตกในปัจจุบันและก่อให้เกิดกฎหมายสำคัญขึ้น คือ ประมวลกฎหมายจัสติเนียน (ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ)
25. การดำเนินชีวิตโดยมีกิจกรรมร่วมกันในสาธารณะเสมอ เป็นลีลาการดำเนินชีวิตของชนชาติใดในยุค
โบราณ 1. อียิปต์ 2. เมโสโปเตเมีย 3. กรีก 4. สุเมเรียน
ตอบ 3 หน้า 110, 130, (คำบรรยาย) เอกลักษณ์ทางสังคมของชาวกรีก คือ วิถีชีวิตในตัวเมืองหรือนครรัฐซึ่งในนครรัฐนี้จะมีสถานที่นัดพบปะประชุมกัน รวมทั้งเป็นตลาดด้วย ทำให้ชีวิตประจำวันของพลเมืองกรีกโดยเฉพาะที่นครรัฐเอเธนส์นั้นจะแสดงถึงความผูกพันกับกิจกรรมสาธารณะและการพักผ่อนหย่อนใจ เช่น การประกอบพิธีกรรม กิจกรรมทางการเมืองการปกครองการกีฬา การละครและความบันเทิง เป็นต้น
26. ในยุคกลาง ขุนนางมีอำนาจแท้จริงในระบอบการปกครองแบบใด
1. คณาธิปไตย 2. ศักดินาสวามิภักดิ์ 3. สมบูรณาญาสิทธิราชย์ 4. ทรราช
ตอบ 2 หน้า 223 – 224, 65 (H), (คำบรรยาย) ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์หรือระบอบฟิวดัล
(Feudalism/Feudal) มีหัวใจสำคัญ คือ เป็นระบบความสัมพันธ์โดยมีเงื่อนไขระหว่างเจ้าเหนือหัว (Lord) หรือผู้มีที่ดินจำนวนมาก กับบริวารหรือข้า (Vassal) หรือผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยมีที่ดิน (Fiefs/Feuda) เป็นพันธกิจแห่งความผูกพันและภาระหน้าที่ที่มีต่อกัน นอกจากนี้ยังเป็นระบบการเมืองการปกครองในยุคกลางที่ขุนนางท้องถิ่นมีอำนาจอย่างแท้จริงเพราะพวกเสรีชนได้มอบที่ดินให้แก่ขุนนางเพื่อขอความคุ้มครองในยามที่บ้านเมืองเกิดจลาจลแทนการขอความคุ้มครองจากกษัตริย์ซึ่งอ่อนแอและมีฐานะเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น
27. การที่ชาวโรมันร่วมกิจกรรมความบันเทิงอย่างเสมอกัน ทำให้ชาวโรมันรู้สึกอะไร
1. เจ้าข้าฟ้าเดียวกัน 2. มีความแตกต่างทางชนชั้นน้อย
3. สถานภาพพลเมืองไม่มีความหมาย 4. ความแตกต่างทางชนชั้นเป็นเรื่องปกติ
ตอบ 2 หน้า 177-178, (คำบรรยาย) จากการที่ชาวโรมันเป็นชนชาติที่นิยมมีกิจกรรมร่วมกันในที่สาธารณะมากที่สุด โดยเฉพาะการร่วมกิจกรรมด้านความบันเทิงและการกีฬาอย่างเสมอภาคกัน เช่นการอาบน้ำสาธารณะ การแข่งรถศึกที่ Circus Maximus การต่อสู้แบบกลาดิ เอเตอร์ (Gladiator)และการละครประเภทต่างๆ ได้ส่งผลทำให้ชาวโรมันมีความรู้สึกแตกต่างหรือเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางชนชั้นน้อยมาก
28. ระบบเศรษฐกิจโรมันเป็นระบบเศรษฐกิจสากลเพราะมีลักษณะใด
1. รัฐควบคุมผูกขาดเศรษฐกิจ 2. การมีระบบจัดเก็บภาษีระบบเดียวทั้งจักรวรรดิ
3. พลเมืองทุกหนแห่งควบคุมวิถีเศรษฐกิจเอง 4. รัฐไม่แทรกแซงหรือควบคุมวิถีเศรษฐกิจ
ตอบ 2 หน้า 177, (คำบรรยาย) ในช่วงที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกมีความเจริญสูงสุดนั้น เป็นสมัยที่เรียกว่า “สากลรัฐโรมัน” ซึ่งถือว่าเป็นจักรวรรดิในอุดมคติของชาวยุคกลางและเป็นแบบ อย่างของลักษณะจักรวรรดิสากลที่มีเอกภาพและสันติสุขนั่นคือ มีการปกครองตนเองในระดับมณฑลที่ใช้ภาษาละติน กฎหมาย ระบบเศรษฐกิจด้านการจัดเก็บภาษีและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตลอดจนระบบ การศาลที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้เป็นดินแดนที่คนต่างเชื้อชาติต่างภาษาต่างวัฒนธรรมสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยสันติและราบรื่น
29. ชาวกรีกเอเธนส์มีลัทธินิยมใดในการกำจัดบุคคลไม่พึงปรารถนา
1. กักบริเวณ 2. ขับเนรเทศ 3. บัพพาชนียกรรม 4. จองจำชั่วชีวิต
ตอบ 2 หน้า 126 – 127, 43 (H), (คำบรรยาย) ระบบออสตราซิสม์ (Ostracism) คือ การขับเนรเทศบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาออกนอกประเทศ โดยให้ประชาชนเขียนชื่อผู้เป็นภัยต่อรัฐลงบนเปลือกหอยออสตราคอน (Ostrakon) ถ้าผู้ใดได้คะแนนเสียงเกิน 6,000 เสียง และสภาประชาชนส่วนใหญ่ลงมติเห็นด้วยบุคคลนั้นต้องถูกเนรเทศออกจากนครรัฐเอเธนส์เป็นเวลา 10 ปี
30. ในยุคกลาง จักรวรรดิใดมีนโยบายรัฐควบคุมเศรษฐกิจ
1. โรมันอันศักดิ์สิทธิ์ 2. ไบแซนไทน์ 3. ชาร์เลอมาญ 4. เปอร์เซีย
ตอบ 2 หน้า 289 – 291, 341 (H 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 221) การค้าระบบกิลด์ในยุคกลาง โดยเฉพาะในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออกนั้นบรรดาพ่อค้า และช่างฝีมือไม่อาจทำการค้าได้เองโดยลำพัง เพราะรัฐบาลมีนโยบายควบคุมและผูกขาดเศรษฐกิจโดยผ่านสมาคมเฉพาะอาชีพ (Guild System) ดังนั้นพ่อค้าและช่างฝีมือจึงต้องรวมตัวกันเป็นสมาชิกของสมาคมเฉพาะอาชีพ คือ สมาคมพ่อค้าและสมาคมช่างฝีมือเพื่อให้สามารถทำการค้าและปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนได้
31. ความนิยมรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นรูปโค้งและวงกลม เป็นความนิยมมากของอารยธรรมชนชาติใดในยุคโบราณ
1. เมโสโปเตเมีย
2. ชาร์เลอมาญ
3. โรมัน
4. มาซิโดเนีย
ตอบ 3 หน้า 176, 179 ผลงานทางสถาปัตยกรรมรองโรมันนับเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะการจัดตั้งสถานที่ทำการของรัฐ ศาลสถิตยุติธรรม โรงมหรสพแอมพิเธียเตอร์รูปครึ่งวงกลมและประตูชัยรูปโค้ง ซึ่งการก่อสร้างของโรมันนั้นจะได้รับแบบอย่างมาจากกรีก เพียงแต่เพิ่มการใช้ประตูโค้งและรูปโดมหรือวงกลมซึ่งกรีกไม่มี นอกจากนี้จะมุ่งการก่อสร้างขนาดใหญ่มากกว่าการคำนึงถึงอัตราส่วน
32. อะไรคือลักษณะเด่นชองวิธีคิดของนักปรัชญากรีก
1. การคิดเชื่อถือเทพลิขิต
2. การศรัทธาวิทยาศาสตร์
3. การคิดตามหลักเหตุผล
4. การคิดตามหลักเทวนิยม
ตอบ 3 หน้า 137 – 139, (คำบรรยาย) ปรัชญากรีกในระยะแรกจะคิดลึกซึ้งในเรื่องมนุษย์และธรรม ชาติซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดของชาวกรีกว่า เป็นการค้นหาความจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล โดยใช้หลักวิภาษวิธี คือ การเปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์แนว คิดต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางไม่จำกัดอยู่เฉพาะข้อสรุปใดข้อสรุปหนึ่ง นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากุญแจที่จะไขไปสู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ก็คือ พลังแห่งเหตุผลของคน (Logos) หรือการคิดตามหลักเหตุผลนั่นเอง
33. ในยุคโบราณ อารยธรรมใดพัฒนาจากการผสมผสานอารยธรรมกรีกกับอารยธรรมโลกตะวันออก
1. โรมัน 2. เฮลเลนิก 3. เฮลเลนิสติก 4. กรีกเฮลเลนิก
ตอบ 3 หน้า 144 – 146, 47 (H) อารยธรรมเฮลเลนิสติก (Hellenistic Civilization) เป็นอารยธรรมที่เกิดขึ้นหลังสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งเป็นจักรพรรดิเปอร์เซียที่ทรงพยายามรวมลักษณะที่ดีของชีวิตแบบโลกตะวันตก (อารยธรรมกรีกเฮลเลนิก) เข้ากับลักษณะที่ดีแบบโลกตะวันออก (อารยธรรมเปอร์เซีย) ทำให้ปัจจุบันเราเรียกอารยธรรมนี้ว่า “เฮลเลนิสดิก” (Hellenistic) เพื่อให้แตกต่างจากอารยธรรมกรีกบริสุทธิ์ทีเรียกว่า “เฮลเลนิก” (Hellenic)
34. การจัดขบวนรบแบบ Phalanx ใช้หน่วยรบหลักอะไร
1. ทหารม้า 2. รถศึก 3. ทหารราบ 4. ทหารราบหุ้มเกราะ
ตอบ 4 หน้า 144 (คำบรรยาย) ฟาแลนซ์ (Phalanx) คือ การจัดขบวนรบของกองทัพกรีกแบบเรียงแถวหน้ากระดาน ซึ่งเดิมจะมีแค่ 2 แถว จากนั้นก็พัฒนามาเป็น 4 แถว และ 8 แถวตามลำดับ โดยให้แถวที่ 1 ถืออาวุธสั้น และแถวต่อมาถืออาวุธยาวตามลำดับ ซึ่งสาเหตุที่กรีกต้องจัดขบวนรบแบบนี้ก็เพราะทหารราบหุ้มเกราะ (Hoplite) ที่เป็นหน่วยรบหลักต้องถืออาวุธและโล่ที่มีน้ำหนักมาก ทำให้เคลื่อนไหวได้ช้าจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการจัดขบวนรบแบบฟาแลนซ์เพื่อให้กองทัพเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามลำดับ
35. นักปรัชญากรีกคิดลึกซึ้งเรื่องใดก่อนในระยะแรก
1. ธรรมชาติ 2. เทววิทยา 3. ความลี้ลับ 4. สังคม
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ
36. ประชาธิปไตยเอเธนส์มีลักษณะใด
1. ประชาชนทุกชนชั้นมีสิทธิทางการเมือง 2. พลเมืองหญิงชายมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง
3. ประชาชนมีสิทธิ์ยับยั้งกฎหมาย 4. พลเมืองชายชั้นสูงมีสิทธิทางการเมือง
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ
37. ข้อใดคือลักษณะของจักรวรรดิสากลของจักรวรรดิโรมัน
1. การให้สถานภาพพลเมืองแก่ชนทุกเชื้อชาติ
2. การใช้ภาษา กฎหมาย และการศาลแบบเดียวกัน
3. การให้สิทธิทางการเมืองแก่พลเมือง
4. การให้ทุกหนแห่งปกครองตนเอง
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ
38. จักรวรรดิใดของยุคโบราณเป็นจักรวรรดิในอุดมคติของชาวยุคกลาง
1. จักรวรรดิไบแซนไทน์ 2. จักรวรรดิโรมันตะวันตก
3. จักรวรรดิมาชิโดเนีย 4. จักรวรรดิชาร์เลอมาญ
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ
39. ในสมัยเรืองอำนาจ สังคมโรมันเป็นสังคมสากลเพราะมีลักษณะใด
1. มีธรรมเนียมประเพณีแบบเดียวกัน 2. ประชากรเชื้อชาติเดียวมัน
3. ประชาชนเป็นพลเมืองหมด 4. มีประชากรหลายเชื้อชาติหลายวัฒนธรรม
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ
40. เหตุใดวิถีเศรษฐกิจโรมันจึงมีการใช้แรงงานทาสเป็นหลัก
1. เพราะมีการค้าทาส 2. เพราะมีการเกษตรเพื่อการค้า
3. เพราะมีการค้าระหว่างประเทศ 4. เพราะมีศึกสงครามบ่อย
ตอบ 2 หน้า 176, (คำบรรยาย) ในสมัยโรมันเรืองอำนาจสุดขีดหรือสมัยสันติสุขโรมัน (Pax Romana) ประชาชนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมและใช้แรงงานจากพวกทาสเป็นหลักโดยเฉพาะในช่วงที่การเกษตรขยายตัวเป็นการเกษตรเพื่อการค้า แต่ในช่วงปลายของสมัยนี้ได้มีเกษตรกรกลุ่มใหม่เกิดขึ้นคือ พวก Colonus ที่เข้ามาทำงานในไร่แทนพวกทาส ซึ่งพวกนี้จะไม่ใช่ทั้งทางและเสรีชน แต่จะถูกผูกติดอยู่กับที่ดิน
41. เหตุใดจักรพรรดิโรมันจึงมิได้ทรงรับผิดชอบต่อประชาชนในการปกครองจักรวรรดิ
1. เพราะทรงสืบราชสันตติวงศ์
2. เพราะทรงเป็นเทวราช
3. เพราะทรงมาจากการเลือกตั้ง
4. เพราะทรงเป็นผู้แทนประชาชน
ตอบ 2 หน้า 169 – 170, (คำบรรยาย) ในสมัยของออกุสตุสที่ 1 ซึ่งเป็นสมัยที่เริ่มต้นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือจักรพรรดิราชย์ของจักรวรรดิโรมันนั้น ถือเป็นยุคที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Roman’s Golden Age” (ยุคทองของโรมัน) และตั้งเป็นยุคที่จักรพรรดิโรมันมีอำนาจปกครองอย่างแท้จริงในฐานะของเทพเจ้า คือ จักรพรรดิทรงเป็นเทวราชซึ่งปกครองจักรวรรดิโดยรับผิดชอบต่อทวยเทพ แต่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนนอกจากนี้จักรพรรดิยังมีสิทธิเลือกรัชทายาทด้วยพระองค์เองอีกด้วย
42. ในยุคกลาง ชนกลุ่มใดในสังคมมีอำนาจเป็นอิสระและมีอภิสิทธิ์
1. พ่อค้าและช่างฝีมือ
2. พระและขุนนาง
3. คอมมูนของชนชั้นกลาง
4. ชนชั้นกลาง
ตอบ 2 หน้า 304 – 305, (คำบรรยาย) การแบ่งชนชั้นในยุคกลางนั้นจะเป็นการแบ่งตามบทบาทหน้าที่ในสังคม ซึ่งมีอยู่ 3 ชนชั้น คือ
1. พระหรือนักบวชเป็นชนชั้นสูงในสังคม มีหน้าที่สำคัญในการสวดมนต์และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแก่ประชาชน ทำให้พระกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่ประชาชนต้องเสียภาษีให้และต้องปฏิบัติตามคำสั่ง
2. ขุนนาง เป็นอภิสิทธิ์ชน มีหน้าที่ร่างกฎหมายและระเบียบคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอกว่า
3. สามัญชน เป็นพวกไร้อภิสิทธิ์ มีหน้าที่ใช้แรงงานทั่วไป ซึ่งได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ และช่างฝีมือ
43. ในยุคกลาง พ่อค้ารวมตัวกันในแต่ละนครจัดตั้งเป็นองค์กรประเภทอะไร
1. พรรคการเมือง 2. สหภาพการค้า 3. สมาคมเฉพาะอาชีพ 4. องค์กรผู้แทน
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 30. ประกอบ
44. ในยุคกลาง การอภิเษกร่วมราชวงศ์ก่อให้เกิดปัญหาอะไร
1. การสืบราชย์ 2. การปกครองท้องถิ่น
3. เกิดระบบศักดินาสวามิภักดิ์ 4. การรวมเป็นจักรวรรดิยาก
ตอบ 1 หน้า 296, 79 (H), (คำบรรยาย) ในยุคกลางนั้นมักมีการทำสงครามระหว่างกันเกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยมีสาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ ปัญหาการสืบราชบัลลังก์หรือสืบราชสันตติวงศ์อันเนื่องมาจากการอภิเษกสมรสร่วมราชวงศ์ เช่น กรณีที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ของอังกฤษทรงเรียกร้องสิทธิในการขึ้นครองราชบัลลังก์ของฝรั่งเศส ในฐานะที่ทรงเป็นทายาทของฟิลิปที่ 4 กษัตริย์ต้นราชวงศ์คาเปเตียนของฝรั่งเศส แต่ขุนนางฝรั่งเศสไม่ยินยอม จึงก่อให้เกิดสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 100 ปี
45. สงครามใดในยุคกลางที่ถือว่าเป็นมหายุทธ์
1. สงครามสามสิบปี 2. สงคราม 100 ปี 3. สงครามครูเสด 4. สงคราม 7 ปี
ตอบ 3 หน้า 279 – 285, 76 – 77 (H) สงครามครูเสดในยุคกลางถือเป็นสงครามมหายุทธ์ที่มีรัฐและฝ่ายต่าง ๆ เข้าร่วมสงครามมากมาย ซึ่งกินระยะเวลาร่วม 200 ปี (รวมทั้งหมด 8 ครั้ง)โดยเป็นสงครามศาสนาระหว่างพวกคริสเตียนกับพวกมุสลิมเพื่อแย่งกันครอบครองกรุงเยรูซาเล็มและเมื่อสิ้นสุดสงครามพวกคริสเตียนก็ไม่สามารถยึดกรุงเยรูซาเล็มคืนจากพวกมอสเล็มได้จึงถือว่าเป็น “ความล้มเหลวที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์” เพราะชาวยุโรปได้รับบทเรียนต่าง ๆ จากพวกอาหรับและอิสลามอื่น ๆ เป็นอันมาก ซึ่งผลของสงครามนี้ได้ทำให้อำนาจของฝ่ายศาสนจักรเพิ่มขึ้น
46. เหตุใดสังคมยุคกลางจึงยกย่องพระเป็นชนชั้นสูงสุดในสังคม
1. เพราะพระมีอำนาจปกครองอาณาจักร 2. เพราะศาสนจักรคือผู้แทนพระผู้เป็นเจ้า
3. เพราะพระมีหน้าที่สวดมนต์และตั้งพิธี 4. เพราะพระลงโทษญาติโยมถึงตายได้
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 42. ประกอบ
47. เมื่อสิ้นยุคกลาง ชนชั้นใดตกต่ำเสื่อมถอยอำนาจอิทธิพล
1. กษัตริย์ 2. พ่อค้า 3. ชนชั้นกลาง 4. พระ
ตอบ 4 หน้า 303-304, 318, 333, 97 (H) ในช่วงปลายยุคกลางจนถึงต้นยุคใหม่ การปฏิรูปศาสนาโดยเฉพาะนิกายโปรเตสแตนต์ ทำให้ความเป็นกลุ่มก้อนของสถาบันคริสต์ศาสนาแตกกระจัดกระจายส่งผลให้อำนาจของศาสนจักรและสันตะปาปาเสื่อมอิทธิพลลง ในขณะที่กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้นเนื่องจากประชาชนในชาติไม่อยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของศาสนจักรอีกต่อไปแต่ได้หันมาชื่นชมชาติภูมิของตน โดยสนับสนุนให้กษัตริย์เป็นผู้ดูแลวัดและจัดการกิจกรรมภายในประเทศอย่างเต็มที่
48. เมื่อสิ้นจักรวรรดิโรมันใน ค.ศ. 476 สังคมเป็นจลาจล เศรษฐกิจได้หวนคืนสู่ระบบอะไร
1. ระบบนาเปิด 2. ระบบแมเนอร์ 3. ระบบนาสาม 4. ระบบล้อมรั้ว
ตอบ 2 หน้า 237, 66 (H), (คำบรรยาย) เมื่อสิ้นจักรวรรดิโรมันตะวันตกใน ค.ศ. 476 การเมืองการปกครองของยุโรปได้เข้าสู่ยุคกลาง ซึ่งมีการพัฒนา 2 แบบขนานควบคู่กันไป คือ
1. ในยุคสมัยที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะกลียุค เกิดการจลาจล ก็จะมีการเมืองการปกครองแบบกระจายอำนาจจากกษัตริย์ไปยังขุนนาง หรือที่เรียกว่าระบอบศักดินาสวามิภักดิ์หรือระบอบฟิวดัล รวมทั้งมีการนำระบบเศรษฐกิจแบบแมเนอร์มาใช้
2. ในยุคสมัยที่รวมกันเป็นอาณาจักร ก็จะมีการเมืองการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางทำให้กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้น หรือที่เรียกว่าระบอบราชาธิปไตยหรือจักรพรรดิราชย์
49. ลักษณะใดแสดงว่าศิลปะโรมาเนสก์แตกต่างจากศิลปะโกธิค
1. รูปแบบสถาปัตยกรรมนิยมรูปทรงเพรียวเบา 2. ศิลปะโรมาเนสก์นิยมหลังคาโค้งแหลม
3. รูปทรงอาคารหนาหนักนิยมรูปโค้งและวงกลม 4. นิยมใช้กระจกสีและหินอ่อน
ตอบ 3 หน้า 313-315 สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างศิลปะโรมาเนสก์กับศิลปะโกธิค คือ ศิลปะโรมาเนสก์ จะนิยมรูปทรงอาคารหนาทึบ ไม่ค่อยมีแสงสว่าง รวมทั้งมีสิ่งก่อสร้างโค้งกลม เสาและกำแพงหนาในขณะที่ศิลปะโกธิคจะนิยมสร้างโบสถ์ที่มีหลังคาโค้งแหลม เซาะเป็นร่อง ซึ่งมีผลให้อาคารดูมีน้ำหนัก เพรียวเบา นอกจากนี้หน้าต่างก็มักประดับด้วยกระจกสีเพื่อให้มีแสงสว่างมากขึ้น
50. การเกษตรของยุคกลางเพิ่มผลผลิตโดยวิธีการใด
1. ใช้วิทยาศาสตร์ 2. ระบบนาสาม 3. ใช้เครื่องจักร 4. ใช้กำลังและพลังงาน
ตอบ 2 หน้า 236, 66 (H), (คำบรรยาย) การเกษตรในระบอบฟิวดัลของยุคกลาง จะใช้ระบบนาสาม(Three Fields System) คือ การแบ่งที่ดินเป็น 3 แปลง แต่มีการหมุนเวียนเพาะปลูกคราวละ 2 แปลงส่วนอีกแปลงหนึ่งพักว่างให้ที่ดินฟื้นตัว ครั้นฤดูกาลต่อมาจึงใช้ที่ดินว่างผืนนั้นแล้วปล่อยแปลงอื่นให้ว่างแทน ทำสลับกันเช่นนี้ทุกปีเพื่ออนุรักษ์ดินและเพิ่มผลผลิต
51. รูปแบบสถาปัตยกรรมใดมีลักษณะแตกต่างจากพีระมิดในยุคโบราณ
1. Portico
2. Step Pyramid
3. Mastaba
4. Ziggurat
ตอบ 1 หน้า 49, 63, 69, (คำบรรยาย) Portico คือ มุขหน้าหรือมุขห้องโถง ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมโรมันที่เป็นตัวอาคารส่วนหน้าที่ยื่นออกมาจากอาคารหลังทรงเหลี่ยม โดยจะมีลักษณะเป็นระเบียงทางเข้าที่มีหลังคาและเสากลมแบบกรีก (ส่วน Step Pyramid คือ พีระมิดแบบขั้นบันได Mastaba คือ สุสานหินของอียิปต์ช่วงต้นราชวงศ์ จะมีรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายฐานพีระมิด Ziggurat คือ สถาปัตยกรรมของชาวสุเมเรียนที่มีลักษณะคล้ายกับพีระมิด)
52. อะไรคือลักษณะที่เป็นนวัตกรรมการปกครองแบบโรมัน
1. การมีผู้ปกครองร่วมกันเป็นหมู่คณะ 2. การเลือกตั้งซ้อน 2 ครั้ง
3. การมีผู้นำสูงสุด 2 คนเป็นกงสุล 4. การมีผู้นำสูงสุดคนพียง 1 คน
ตอบ 3 หน้า 161 (คำบรรยาย) ในสมัยสาธารณรัฐโรมัน ชาวโรมันได้ริเริ่มรูปแบบการปกครองระบอบกงสุล (Consulate System) ซึ่งเป็นนวัตกรรมการปกครองแบบโรมันเอง นั่นคือระบอบการปกครองที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือกงสุล (Consuls) 2 คน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “Magistrates” หรือผู้นำสูงสุด ทำหน้าที่เป็นประมุขของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารโดยจะคัดเลือกมาจากขุนนางสามัญชนอิสระ แต่ส่วนใหญ่จะมาจากพวกแพทริเชียน หรือกลุ่มชนชั้นสูงของสังคม
53. ในยุคกลาง ระบอบราชาธิปไตยและระบอบศักดินาสวามิภักดิ์มีความแตกต่างกันเป็นตรงกันข้ามในด้านใดเป็นหลัก
1. การนับถือศาสนา 2. วิธีการใช้อำนาจ 3. ลัทธิประเพณีการเมือง 4. คติวีรชน
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ
54. ในปลายยุคกลาง ขุนนางตกยากและตกต่ำด้วยเหตุใด
1. เศรษฐกิจตกต่ำ 2. สงคราม 3. กษัตริย์มีอำนาจ 4. ภัยธรรมชาติ
ตอบ 2 หน้า 296-299, 79-80 (H) สาเหตุที่ทำให้ขุนนางตกยากและตกต่ำในปลายยุคกลางนั้นเนื่องมาจากปัญหาทางด้านสงคราม ซึ่งทำให้ขุนนางเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และยังถือว่าเป็นการสิ้นสุดของระบอบฟิวดัลอีกด้วย ไค้แก่
1. สงครามร้อยปี (ค.ศ. 1337-1453) เป็นสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากปัญหาสิทธิในการสืบราชบัลลังก์
2. สงครามดอกกุหลาบ (ค.ศ.1455-1485) เป็นสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในอังกฤษระหว่างขุนนาง 2 ตระกูล คือ ตระกูลแลงคาสนตอร์และตระกูลยอร์ค
55. เมื่อใดที่บ้านเมืองเป็นจลาจลในยุคกลางผู้คนจะพึ่งพาใครเป็นหลัก
1. กษัตริย์ 2. ขุนนาง 3. พ่อค้า 4. พึ่งตนเอง
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 26. และ 48. ประกอบ
56. ในยุคกลาง การกระจายอำนาจเป็นวิธีการใช้อำนาจของระบอบการปกครองใด
1. ราชาธิปไตย 2. จักรพรรดิราชย์ 3. ศักดินาสวามิภักดิ์ 4. คณาธิปไตย
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ
57. ข้อใดแสดงว่าอาณาจักรมีอำนาจเหนือศาสนจักรในปลายยุคกลาง
1. เกรเกอรี่ที่ 7 ทรงอภัยโทษแก่แฮนรี่ที่ 4 2. พระสันตะปาปาประทับที่เมืองอาวิญยอง
3. เฮนรี่ที่ 4 เสด็จไปเมืองคนอสซา 4. การลอบสังหารสังฆราชเบคเคท
ตอบ 2 หน้า 300 – 303, 80 (H) สมัยการคุมขังแห่งบาบิโลเนียในตอนปลายยุคกลาง (Babylonian Captivity ค.ศ. 1305 – 1377) เป็นสมัยที่มีการเปรียบเทียบสันตะปาปาว่าเป็นเหมือนกับพวกยิวที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่กรุงบาบิโลเนียในยุคโบราณ เนื่องจากสันตะปาปาได้ย้ายที่ประทับจากกรุงโรมในอิตาลีมาอยู่เมืองอาวิญยองในฝรั่งเศส ทำให้สันตะปาปาชาวฝรั่งเศสองค์ต่อ ๆ มาก็พำนักอยู่ในฝรั่งเศสเป็นเวลานานถึง 70 ปี ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรสามารถบังคับบัญชาศาสนจักรได้ ทำให้สันตะปาปาตกอยู่ภาย ใต้อำนาจขอกษัตริย์ฝรั่งเศสที่มีสิทธิแต่งตั้งและถอดถอนสันตะปาปา จนทำให้สันตะปาปามิได้มีฐานะเป็นประมุขสากลอีกต่อไป
58. เหตุใดการปฏิรูปศาสนาจึงทำให้ศาสนจักรตกต่ำในปลายยุคกลาง
1. ญาติโยมเป็นอิสระจากศาสนจักร 2. ผู้คนไม่อยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของศาสนจักร
3. ศาสนจักรตกยาก 4. มีคนเข้ารีตลดฮวบ
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ
59. มหาอำนาจชาติใดในปลายยุคกลางเคยมีอำนาจเหนือศาสนจักรที่กรุงโรมและแสดงอำนาจโดยวิธีใด
1. อังกฤษ โดยการแต่งตั้งพระคาร์ดินาล 2. โรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยแต่งตั้งพระสันตะปาปา
3. ฝรั่งเศส แต่งตั้งพระสันตะปาปา 4. เยอรมนี ถอดถอนพระคาร์ดินาล
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ
60. ในปลายยุคกลางศาสนจักรที่กรุงโรมแตกแยกครั้งใหญ่ด้วยเหตุใด
1. ยุโรปครอบงำกรุงโรม 2. ชิงตำแหน่งพระสันตะปาปา
3. อาณาจักรยุให้ศาสนจักรแตกแยก 4. ความขัดแย้งด้วยเรื่องหลักธรรม
ตอบ 2 หน้า 303, 80 – 81 (H) ในปลายยุคกลาง ศาสนจักรที่กรุงโรมตกต่ำลงเนื่องจากเกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ (The Great Schism) ซึ่งเป็นการแตกแยกกันเองภายในวงการศาสนจักรที่ดำเนินมาถึง 40 ปีโดยมีสาเหตุมาจาการแย่งชิงตำแหน่งพระสันตะปาปาระหว่างชาวอิตาลีกับชาวฝรั่งเศส จนส่งผลให้เกิดสันตะปาปาขึ้นพร้อมกัน 2 องค์ทั้งที่กรุงโรมในอิตาลีและที่เมืองอาวิญยองในฝรั่งเศส แต่เหตุการณ์นี้ก็สิ้นสุดลงหลังการประชุมที่คองสตังซ์ในระหว่างปี ค.ศ. 1414 – 1418 ซึ่งได้กำหนดให้มีสันตะปาปาเพียงองค์เดียวประทับที่กรุงโรม
61. นักวิทยาศาสตร์มองโลกเป็นอะไร
1. โลกทิพย์
2. โลกแห่งจินตนาการ
3. เครื่องจักร
4. ละครโรงใหม่
ตอบ 3 (คำบรรยาย) นักวิทยาศาสตร์ในช่วงต้นยุคใหม่มองระบบจักรวาลว่า “โลกคือเครื่องจักร” เพราะมีการทำงานเป็นระบบระเบียบ เป็นไปตามจุดประสงค์ของมันในขณะที่ยุคกลางซึ่งเป็นยุคที่มีความศรัทธาต่อศาสนามากกลับมองว่าระบบจักรวาลเป็นระบบที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างขึ้นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติล้วนเกิดจากแผนการของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น
62. ผลงานด้านใดที่แสดงให้เห็นว่าเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
1. ประชากรเพิ่ม เกิดง่าย ตายช้า 2. การคิดลึกซึ้งเรื่องโลก
3. การกีฬาเพื่อพระเจ้า 4. การละครเพื่อพระเจ้า
ตอบ 1 (คำบรรยาย) (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 502 – 503, 509) จากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้านการแพทย์ของหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ที่ได้ค้นพบจุลินทรีย์ทำให้ชาวตะวันตกระวังในเรื่องสุขอนามัย ความสะอาด และรู้วิธีควบคุมโรคระบาดด้วยวัคซีน ซึ่งส่งผลให้อัตราการตายน้อยลงและทำให้จำนวนประชากรในยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพิ่มสูงกว่าที่อื่น ๆ ในโลก
63. ในศตวรรษที่ 18 ระบบการผลิตสินค้าและบริการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อมีการใช้อะไรเป็นปัจจัยในการผลิต
1. ระบบทำงานหมุนเวียน 2. การธนาคาร 3. เครื่องจักร 4. หัวสมองรู้คิด
ตอบ 3 หน้า 340 – 344, 88 – 89 (H) เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 18 การปฏิวัติทางการค้าทำให้เกิดเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ คือ ระบอบทุนนิยม (Commercial Capitalism) ซึ่งเป็นระบอบที่ก่อให้เกิดการใช้เงินเหรียญและมีความต้องการสะสมทองแท่งตามระบบมาตรฐานทองคำมากขึ้น นอกจากนี้การปฏิวัติทางการค้ายังส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยใช้เครื่องจักรในการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อผลิตให้ได้ปริมาณมากและรวดเร็วยิ่งขึ้น
64. เทวนิยมไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไปในสมัยใดของยุคใหม่
1. สมัยฟื้นฟูวิทยาการ 2. สมัยประเทืองปัญญา
3. สมัยปฏิวัติวิทยาศาสตร์ 4. การปฏิรูปศาสนา
ตอบ 2 หน้า 443, 110 (H) สมัยประเทืองปัญญา (The Enlightenment) หมายถึง การที่วิทยาศาสตร์เริ่มมีความสำคัญโดยเข้ามาแทนที่วิชาเทววิทยา (เทวนิยม) ในการอธิบายเรื่องของจักรภพโดยเป็นยุคที่เน้นความสำคัญของเหตุผลของมนุษย์ในฐานะที่เป็นพื้นฐานแห่งความเจริญก้าวหน้ามีการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ เชื่อถือในสิ่งที่พิสูจน์ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือเป็นยุคที่มีการเทิดทูนสภาวะของปัจเจกชนอย่างเต็มกำลัง
65. การปฏิวัติอุตสาหกรรมหมายถึงกระบวนการอะไร
1. เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต 2. เปลี่ยนแปลงทางการเมือง
3. เปลี่ยนแปลงวิธีคิด 4. เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
ตอบ 4 หน้า 494, 561 การปฏิวัติอุตสาหกรรม หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจจากสังคมเกษตรกรรมและการค้าแบบเก่ามาเป็นสังคมอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานคนและสัตว์ โดยมีการพัฒนารูปแบบของกำลังใหม่ ๆ คือ น้ำ ไอน้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและพลังงานปรมาณู นอกจากนี้ยังมีการผลิตสินค้าหลายประเภทเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการอพยพจากชนบทเข้าเมืองด้วย
66. การใช้เครื่องจักรในการผลิตเป็นการใช้ทดแทนอะไร
1. พลังงานไฟฟ้า 2. พลังงานถ่านหิน 3. แรงงานมนุษย์ 4. แรงงานไอน้ำ
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ
67. การผลิตเป็นอุตสาหกรรมมีลักษณะอะไร
1. ผลิตตามฤดูกาล 2. ผลิตตามคำสั่งของลูกค้า
3. ผลิตปริมาณมากสารพัดประเภท 4. ผลิตสินค้าพิเศษเฉพาะตามสั่ง
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ
68. ลัทธิใดส่งเสริมให้มีการสะสมทองแท่งตามระบบมาตรฐานทองคำ
1. ลัทธิทุนนิยม 2. ลัทธิพาณิชย์นิยม 3. ลัทธิสังคมนิยม 4. ลัทธิกีดกันสินค้า
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ
69. กระบวนการใดส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม
1. การค้นพบดินแดน
2. การปฏิรูปศาสนา
3. การปฏิวัติการเกษตร
4. การปฏิวัติการค้า
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ
70. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการมีความหมายในทางโลกโดยเน้นอะไรเป็นสำคัญ
1. ศาสนา 2. งานศิลป์ 3. การปกครอง 4. กฎหมาย
ตอบ 2 หน้า 356 – 358, 92 (H) การฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือเรอเนสซองส์ (Renaissance) คือการเกิดใหม่ของอารยธรรมคลาสสิกหรือเป็นการศึกษาศิลปวิทยาการกรีก-โรมันขึ้นมาใหม่ซึ่งในทางโลกจะเน้นที่งานศิลป์ แต่ในส่วนของมนุษย์นิยมจะเน้นที่งานวรรณกรรม ทั้งนี้การฟื้นฟูศิลปวิทยาการได้ก่อให้เกิดผลงานทั้งทางด้านศิลปะ การประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ และการกำเนิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
71. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการโดยเน้นวรรณกรรม เป็นความหมายของการฟื้นฟูในทางด้านใด
1. มนุษยธรรม
2. ศิลปกรรม
3. อักษรศาสตร์
4. มนุษยนิยม
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ
72. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการเป็นการฟื้นฟูความรู้ทางใด
1. ความลี้ลับ
2. จริยศาสตร์
3. ทางธรรม
4. ทางโลก
ตอบ 4 หน้า 356 – 357 (ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ) กระบวนการฟื้นฟูศิลปวิทยาในยุคใหม่จะเน้นความสำคัญของมนุษย์ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางแห่งจักรภพและมุ่งไปสูการดำรงชีวิตทางโลกเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะอุดมคติของสากลมนุษย์ (Universal Man) ที่เป็นคนรอบรู้ภาษาใต้คำขวัญที่ว่า “มนุษย์ทำได้ทุกอย่างที่อยากจะทำ” ดังนั้นสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการจึงถือว่าเป็นกระบวนการฟื้นฟูความสำคัญในการแสดงออกของปัจเจกบุคคลและประสบการณ์ทางโลก ซึ่งนับว่ามีความแตกต่างจากยุคกลางซึ่งถูกครอบงำจากคริสต์ศาสนาโดยสิ้นเชิง
73. ความคิดว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักรภพนั้น เป็นความคิดหลักของความเคลื่อนไหวอะไรในยุคใหม่
1. การปฏิรูปศาสนา 2. การปฏิวัติวิทยาศาสตร์
3. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ 4. การปฏิวัติอุตสาหกรรม
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ
74. ข้อใดคือสาเหตุทางการเมืองของการปฏิรูปศาสนา
1. ศาสนจักรปกครองตนเอง 2. การเรียกค่าบำรุงศาสนา
3. การประพฤติผิดศีลธรรม 4. ศาสนจักรค้าขาย
ตอบ 1 หน้า 376 – 377, 97 (H) สาเหตุทางการเมืองของการปฏิรูปศาสนามีดังนี้
1. สันตะปาปาสนพระทัยแต่เรื่องการขยายดินแดนและเผยแพร่อิทธิพล เพื่อหวังผลให้ ศาสนจักรปกครองตนเองมากกว่าการเป็นผู้นำทางศาสนา
2. ความเสื่อมของศาสนจักรจากเหตุการณ์การคุมขังแห่งบาบิโลเนียและการแตกแยกครั้งใหญ่
3. กษัตริย์ต้องการขจัดอิทธิพลของสันตะปาปาออกจากดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองเพื่อเข้าครอบครองและหาผลประโยชน์จากที่ดินของวัด
75. เหตุใดอาณาจักรต้องการบังคับบัญชาศาสนจักร
1. เพราะต้องการแต่งตั้งพระ 2. เพราะศาสนจักรต้องการปกครองทั้งทวีป
3. เพราะต้องการเก็บภาษีวัด 4. ถูกข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 หน้า 243, 300 – 301, 68 – 69 (H) 80 (H) สาเหตุที่อาณาจักรต้องการปกครองศาสนจักรมีดังนี้
1. กษัตริย์ต้องการมีอำนาจแต่งตั้งหัวหน้าพระ เพราะกษัตริย์ทรงถือว่าสงฆ์ทำประโยชน์ในที่ดินของพระองค์ ดังนั้นจึงควรถวายความสวามิภักดิ์ตามระบอบฟิวดัล เช่น กรณีของจักรพรรดิเฮนรี่ที่ 4 กับสันตะปาปาเกรเกอรี่ที่ 7 แต่ในที่สุดสันตะปาปาก็เป็นฝ่ายชนะ
2. กษัตริย์ต้องการเก็บภาษีวัดเพื่อใช้ในการทำสงคราม เช่น กรณีพระเจ้าฟิลิปที่ 4 กับสันตะปาปาโบนิฟาซที่ 8 แต่ต่อมาสันตะปาปาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้และสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1303
76. เหตุใดการปฏิรูปศาสนาต้องปฏิรูปตัวบุคคลคือนักบวช
1. เพราะนักบวชเป็นคณะผู้บริหารศาสนจักร 2. เพราะนักบวชไม่รู้หนังสือและหลักธรรม
3. เพราะนักบวชไม่ประพฤติธรรม 4. ถูกข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 377, 97 – 98 (H), (คำบรรยาย) การปฏิรูปศาสนาที่ดำเนินมาตั้งแต่ปลายยุคกลางเป็นการปฏิรูปตัวนักบวชและศาสนจักรเป็นสำคัญ โดยสาเหตุทางสังคมที่ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนามี ดังนี้ 1. มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการฉ้อฉลและความประพฤติที่ผิดวินัยผิดศีลธรรมของพระหรือคณะนักบวชกับเจ้าหน้าที่ศาสนา ซึ่งนับว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่สุด เช่น การซื้อขายตำแหน่งและบรรดาศักดิ์ของพระที่เรียกว่า “Nepotism” 2. พระไม่รู้หนังสือและหลักธรรมพอที่จะทำการสอนศาสนา 3. การมุ่งพิธีกรรมมากเกินไป 4. ถูกโจมตีจากนักมนุษย์นิยมว่ามนุษย์ควรสนใจในโลกนี้มากกว่าโลกหน้า
77. ข้อใดคือผลของการปฏิรูปศาสนา
1. พระมีอำนาจครอบงำอาณาจักร 2. ขุนนางมีอำนาจมากขึ้น
3. กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้น 4. ศาสนจักรเป็นใหญ่ในยุโรป
ตอบ 3 หน้า 386, 101 (H), (คำบรรยาย) ผลของการปฏิรูปศาสนาเมื่อสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีดังนี้
1. เป็นการสิ้นสุดของสภาพศาสนาสากล คือ นิกายคาทอลิกไม่ใช่คริสต์ศาสนานิกายเดียวของยุโรปตะวันตกอีกต่อไป
2. เกิดนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ้งแยกตัวออกจากคริสตจักรที่กรุงโรมแล้วเผยแผ่ไปยังดินแดนต่าง ๆ มากมายหลายนิกาย เช่น ลูเธอรันนิสม์ คาลวินิสม์ โพรสไบทีเรียน นิกายอังกฤษ
3. เกิดลัทธิชาตินิยม
4. กษัตริย์และชนชั้นกลาง (พ่อค้า) มีอำนาจมากขึ้นและเกิดระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแทนที่ระบอบฟิวดัล
5. เกิดสงครามศาสนาและสงครามแย่งชิงดินแดนในโลกใหม่
78. วิทยาศาสตร์ต้นยุคใหม่ต้องอาศัยอะไรเป็นสำคัญในการศึกษา
1. การจินตนาการ 2. การทดลอง 3. การคิดคาดเดา 4. การเปรียบเทียบศึกษา
ตอบ 2 หน้า 373, 395, 97 (H), (คำบรรยาย) การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ของยุโรปเริ่มต้นยุคใหม่นั้นเป็นการปฏิวัติที่อาศัยการสังเกต ประสบการณ์ และการทดลองเป็นเครื่องมือหลักโดยวิทยาศาสตร์พัฒนาเริ่มต้นมาจากการตั้งข้อสมมุติฐานเป็นพื้นฐานก่อน แล้วจึงแสวงหาข้อมูลเพื่อที่จะทดลองและพิสูจน์ข้อสมมุติฐานนั้นเป็นจริงตามที่พิสูจน์ก็จะมีการตั้งขึ้นเป็นทฤษฎี และถ้าหากทฤษฎีเป็นที่ยอมรับมากขึ้นตามลำดับ ทฤษฎีนั้นก็จะกลายเป็นองค์ความรู้ที่ได้รับการยอมรับ
79. อดัม สมิธ มีความคิดต่อต้านการค้าแบบใด
1. การค้าเสรี 2. การค้าผูกขาด 3. การค้าโดยรัฐ 4. การค้าโดยศาสนจักร
ตอบ 2 หน้า 430, 499 – 500, 502 (คำบรรยาย) อดัม สมิธ (Adam smith) บิดาของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ได้เสนอนโยบายการค้าเสรี (Laissez-faire) หรือนโยบายปล่อยเสรี คือ การที่รัฐบาลจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยการตั้งข้อจำกัดทางการค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งเขาได้ให้ทัศนะว่าบุคคลควรมีโอกาสแสวงหากำไรของตนทางเศรษฐกิจโดยไม่ถูกควบคุมและจำกัดด้วยลัทธิพาณิชย์นิยม (Mercantilism) ซึ่งมีลักษณะเป็นการค้าผูกขาดเฉพาะแห่ง
80. ผู้ปกครองแบบสมัยประเทืองปัญญา (Enlightened Despots) ใช้อำนาจอย่างไร
1. กระจายอำนาจ 2. กึ่งรวมกึ่งกระจายอำนาจ 3. แบ่งมอบอำนาจ 4. รวมอำนาจเด็ดขาด
ตอบ 4 หน้า 419, 431, 491 กษัตริย์หรือผู้ปกครองแบบสมัยประเทืองปัญญา (Enlightened Despots) จะใช้อำนาจในการปกครองตามระบอบราชาธิปไตยที่เป็นการรวมอำนาจเด็ดขาดทำให้กษัตริย์มักจะพยายามหาทางกำจัดพวกขุนนางและพระโดยอ้างว่าเป็นการกำจัดอำนาจของอภิสิทธิ์ชน ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้วทรงกำจัดอำนาจขุนนางและพระก็เพื่อเพิ่มพระราชอำนาจซึ่งตัวอย่างของกษัตริย์ที่มีลักษณะดังกล่าว เช่น พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชแห่งปรัสเซียและพระนางแคเทอรีนมหาราชินีแห่งรัสเซียเป็นต้น
81. มีกี่ชนชั้น และชนชั้นใดบ้างที่ต่อต้านระบอบเก่าในศตวรรษที่ 18
1. 2 ชนชั้น คือ พระและขุนนาง
2. 3 ชนชั้น คือ พระ ขุนนาง และสามัญชน
3. 2 ชนชั้น คือ ขุนนางและชนชั้นกลาง
4. 1 ชนชั้น คือ ชนชั้นกลาง
ตอบ 4 หน้า 455, 461 (คำบรรยาย) การปฏิวัติทางการเมืองในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 – 20 เป็นการต่อต้านเพื่อล้มระบอบเก่า คือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบอบการปกครองแบบรวมอำนาจที่กษัตริย์ทรงใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขต นอกจากนี้พวกอภิสิทธิ์ชน (ชนชั้นสูง)ยังเอารัดเอาเปรียบคนจน ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคทางการเมืองและสังคม จนเป็นเหตุให้ชนชั้นกลางออกมาต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิมนุษยชนและหน้าที่อันเท่าเทียมกันในสังคมและต้องการมีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้น ซึ่งต่อมาการปฏิวัติก็ได้ขยายไปยังมวลชนและประสบความสำเร็จในที่สุด โดยมีจุดมุ่งหมายคือ เพื่อเปลี่ยนการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด
82. การปฏิวัติทางการเมืองในศตวรรษที่ 17 – 20 เป็นการล้มล้างระบอบใด
1. ระบอบประชาธิปไตย 2. ระบอบสาธารณรัฐ
3. ระบอบเทวราช 4. ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ
83. การล้มล้างระบอบเก่ามุ่งหมายสร้างระบอบอะไรแทนที่
1. ระบอบจักรพรรดิราชย์ 2. ระบอบประชาธิปไตย
3. ระบอบสาธารณรัฐ 4. ระบอบเทวราช
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ
84. สงครามกลางเมืองอังกฤษระหว่าง ค.ศ. 1642 – 1649 จบลงโดยฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะ
1. สภาขุนนาง 2. รัฐสภา 3. กษัตริย์ 4. สภาสามัญชน
ตอบ 2 หน้า 411-413, 107 (H) ในระหว่างปี ค.ศ. 1642-1649 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในอังกฤษทั้งนี้มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าชาร์ลส์ที่1 กับรัฐสภาอังกฤษซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกเพียวริตัน (Puritans) ในกรณีที่พระองค์ต้องการเงินเพื่อไปปราบปรามการกบฏของพวกสก็อต โดยสงครามจบลงด้วยชัยชนะของรัฐสภา และพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ถูกตัดสินประหารชีวิตในปี ค.ศ. 1649 ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดสมัยการปกครองในระบอบเทวสิทธิ์ในอังกฤษและเปลี่ยนไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ (Republic)
85. ในปลายศตวรรษที่ 18 ประเทศใดปฏิวัติการเมืองตามอุดมคติของสมัยประเทืองปัญญาเป็นประเทศแรก
1. ฝรั่งเศส 2. อังกฤษ 3. ปรัสเซีย 4. สหรัฐอเมริกา
ตอบ 1 (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 486 – 487, 489) ในปลายศตวรรษที่ 18 อุดมคติของสมัยประเทืองปัญญาไม่มีผลต่อยุโรปจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1789 ทำให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่เป็นแหล่งที่มาทางความคิดแบบประเทืองปัญญา แต่ไม่มีกษัตริย์แบบประเทืองปัญญาปกครอง จนถึงสมัยของพระจักรพรรดินโปเลียนมหาราช ซึ่งทรงได้รับยกย่องว่าเป็นกษัตริย์แบบประเทืองปัญญา ทั้งนี้เพราะทรงใช้นโยบายปฏิรูปภายในประเทศตลอดจนทรงใช้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
86. การปฏิวัติฝรั่งเศสมีจุดมุงหมายล้มล้างอำนาจของใคร
1. ชนชั้นกลาง 2. ชนชั้นขุนนาง 3. กษัตริย์ 4. พระ
ตอบ 3 หน้า 461 – 462, 114 – 115 (H) การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 เป็นการปฏิวัติภายใต้การนำของชนชั้นกลางที่ต้องการล้มล้างอำนาจของกษัตริย์และต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเก่าหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการปฏิวัติทางการเมืองของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 17 – 20 (ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ)
87. การปฏิวัติทางการเมืองในระหว่างศตวรรษที่ 18 – 20 ส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในท้ายสุดเมื่อมีใครเข้าร่วม
1. พระ 2. ขุนนาง 3. พ่อค้า 4. มวลชน
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ
88. นโปเลียนทรงถือพระองค์เป็นกษัตริย์แบบใด
1. แบบประเทืองปัญญา 2. แบบสาธารณรัฐ 3. แบบกงสุล 4. แบบเสรีนิยม
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 85. ประกอบ
89. เหตุใดในศตวรรษที่ 19 ยุโรปจึงเป็นโรงงานโลก
1. เพราะยุโรปเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต 2. เพราะยุโรปผลิตสินค้าไปขายทั่วโลก
3. เพราะยุโรปตั้งตลาดร่วมยุโรป 4. เพราะยุโรปมีสหภาพศุลกากร
ตอบ 2 หน้า 495, 123 (H) การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เคยมีการนำระบบโรงงานที่มีการผลิตโดยการใช้เครื่องจักรเข้ามาแทนที่การผลิตในครัวเรือน ทั้งนี้เพราะเมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น ทำให้ระบบการผลิตแบบเก่าไม่สามารถผลิตได้ทันตามความต้องการโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมสิ่งทอ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปฏิวัติระบบการผลิตโดยนำระบบโรงงานและเครื่องจักรเข้ามาใช้ เพื่อช่วยให้ยุโรปผลิตสินค้าและบริการไปขายทั่วโลกจนได้ชื่อว่าเป็นโรงงานโลก (เมื่อก่อน ค.ศ. 1914)
90. ในกลางศตวรรษที่ 19 ผู้ประกอบการค้าและการอุตสาหกรรมเป็นชนชั้นใด
1. ชนชั้นกลาง 2. ชนชั้นสูง 3. ชนชั้นสามัญ 4. ชนชั้นเจ้า
ตอบ 1 หน้า 343, 494 – 495, 561 ในกลางศตวรรษที่ 19 ผู้ประกอบการค้า การอุตสาหกรรมและควบคุมระบบโรงงาน คือ ชนชั้นกลาง (หรือพวกพ่อค้า) ซึ่งเป็นที่มาของลัทธินายทุนดังนั้นชนชั้นกลางจึงกลายเป็นผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรมและมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจสูงมากจนเกือบจะเป็นอภิสิทธิ์ชน ใหม่ในสังคมที่มีอิทธิพลไม่น้อยไปกว่าขุนนางในสมัยฟิวดัล
91. ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในต้นยุคใหม่ กษัตริย์ทรงปกครองรัฐโดยทรงรับผิดชอบต่อใคร
1. ขุนนาง
2. พระ
3. พระผู้เป็นเจ้า
4. ประชาชน
ตอบ 3 หน้า 333 – 334, 86 (H) ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของยุโรปในต้นยุคใหม่นั้นกษัตริย์ทรงอ้างว่าเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าที่ถูกส่งลงมาปกครองมนุษย์และทรงได้รับอำนาจเทวสิทธิ์มาจากพระเจ้า ซึ่งต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ดังนั้นประชาชนจึง ไม่มีสิทธิ์ที่จะปลดกษัตริย์ออกจากตำแหน่ง เพราะถ้าหากคิดล้มล้างกษัตริย์จะถือว่าเป็นความผิดและเป็นบาปใหญ่หลวง
92. กษัตริย์รวมอำนาจได้สำเร็จแท้จริงเมื่อทรงมีอำนาจบังคับบัญชาสถาบันใดในต้นยุคใหม่
1. พระบรมวงศานุวงศ์ 2. ศาสนจักร 3. สหภาพการค้า 4. ชมรมสมาคมของสามัญชน
ตอบ 2 หน้า 332 – 338, 402, 105 (H) ยุโรปช่วงเริ่มต้นยุคใหม่จนก้าวเข้าสู่ยุคใหม่นั้นจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งอำนาจการปกครองจะถูกรวบรวมเข้าสู่ศูนย์กลางคือ อำนาจสูงสุดจะเป็นของกษัตริย์ โดยกษัตริย์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นกลางในการปราบปรามขุนนางและศาสนจักรให้เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจ จนส่งผลให้กษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจอย่างไม่จำกัดและสามารถรวมอำนาจได้สำเร็จอย่างแท้จริง
93. ลักษณะใดแสดงว่ากษัตริย์มีอำนาจล้นเหลือในต้นยุคใหม่
1. มีอำนาจลงโทษคนทำผิด 2. จับกุมคุมขังโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการศาลสถิตยุติธรรม
3. อำนาจแต่งตั้งแม่ทัพและผู้ว่าราชการ 4. อำนาจให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการ
ตอบ 2 ในยุโรปเริ่มต้นยุคใหม่ การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะส่งเสริมให้กษัตริย์มีอำนาจอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะในระบบราชการนั้นจะเน้นในด้านกฎหมายและการศาล กล่าวคือ กษัตริย์เป็นผู้ออกกฎหมายทุกฉบับ มีสิทธิประกาศสงคราม แต่งตั้งข้าราชการ จัดระบบภาษี และเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจอย่างล้นเหลือในการตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆรวมทั้งสามารถจับกุมคุมขังได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการศาลสถิตยุติธรรม
94. ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของต้นยุคใหม่ ระบบราชการเน้นอะไรเป็นหลัก
1. กฎหมาย 2. การศาล 3. การโฆษณาชวนเชื่อ 4. ถูกข้อ 1 และ 2
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ
95. ในสมัยประเทืองปัญญามีวิธีการคิดอย่างไร
1. คิดลึกซึ้งอย่างปรัชญา 2. คิดจินตนาการฝันเฟื่อง
3. รู้คิดอย่างมีเหตุผล 4. คิดทบทวนหน้าหลังอย่างผิวเผิน
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ
96. ปัญญาชนสมัยประเทืองปัญญามีความคิดต่อต้านอะไร
1. วิทยาศาสตร์ 2. เหตุผล 3. วิธีธรรมชาติ 4. สถาบันเดิมในสังคม
ตอบ 4 กลุ่มปัญญาชนหรือผู้นำของสมัยประเทืองปัญญาที่เรียกว่า Philosophes ได้พยายามยกเลิกรูปแบบและสถาบันเดิมในสังคมเพื่อให้มีการปรับปรุงสภาพสังคมใหม่ โดยพวกเขาเชื่อว่ามนุษย์สามารถสร้างสวรรค์ในสังคมของตนด้วยการรู้จักวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผล ซึ่งการปฏิรูปสังคมจะทำได้ด้วยการประยุกต์รูปแบบของกฎธรรมชาติ (Natural Law)ในโลกวิทยาศาสตร์ให้แก่ชีวิตมนุษย์และแสวงหากฎธรรมชาติที่จะทำให้ผู้ปกครองปกครองมนุษย์ภายใต้สังคมที่สมบูรณ์แบบให้ได้
97. ตามความคิดของจอห์น ลอค ใครมีหน้าที่พิทักษ์สิทธิมนุษยชน
1. ศาสนจักร 2. รัฐ 3. รัฐบาล 4. ประชาชน
ตอบ 3 จอห์น ลอค (John Locke) นักปรัชญาชาวอังกฤษได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับสิทธิธรรมชาติของมนุษย์กล่าวคือ โดยสภาพธรรมชาติมนุษย์มีสิทธิพื้นฐานในชีวิต ทรัพย์สิน และอิสรเสรี ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องสิทธิของมนุษย์นี้ซึ่งเป็นสิทธิตามธรรมชาติ ทั้งนี้รัฐบาลจะต้องไม่กดขี่สิทธิธรรมชาติของประชาชนและต้องมีสัญญาต่อกัน โดยประชาชนได้ยอมสละสิทธิบางประการให้แก่รัฐบาลเพื่อสะดวกต่อการปกครอง หากรัฐบาลกระทำการใดที่ประชาชนไม่พอใจ ประชาชนก็มีสิทธิล้มล้างรัฐบาลที่ไม่พิทักษ์สิทธินั้นได้
98. ศิลปะ Mannerism มีรูปลักษณ์และรูปแบบ “เกินพอดี” อย่างไร
1. ขาดดุลยภาพ 2. รูปทรงตามจริง 3. เน้นธรรมชาติ 4. ไม่เน้นอารมณ์ความรู้สึก
ตอบ 1 หน้า 392 จิตรกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จะแสดงออกเป็นแบบ “Mannerism” คือศิลปะการเขียนภาพเกี่ยวกับศาสนาที่แสดงรูปลักษณ์บิดเบี้ยวเกินพอดี เพราะขาดดุลยภาพอันเป็นศิลปะที่มีลักษณะขัดแย้งกับศิลปะคลาสสิกแบบกรีกอย่างสิ้นเชิง (Ant1-Renaissance) เช่น ภาพวาด “Saint Martin and the Beggar” และภาพวาด “View of Toledo” ซึ่งเป็นผลงานของเอล เกรโค จิตรกรชาวกรีกที่มีชื่อเสียง เป็นต้น
99. ในสมัยปฏิรูปศาสนา ศิลปะอะไรของโปรเตสแตนต์ที่มีรูปแบบใดแตกต่างจากศิลปะของคาทอลิกและเรียกว่าศิลปะอะไร
1. Baroque รูปแบบเกินจริง 2. Mannerism รูปแบบหรูหรา
3. Realism รูปแบบเหมือนจริง 4. Gothic รูปแบบจินตนาการ
ตอบ 3 หน้า 391-392, 52l ศิลปะแบบสัจนิยม (Realism) ซึ่งเป็นผลิตผลจากการปฏิรูปศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์นั้น จะมีรูปแบบเน้นความเหมือนจริงตามธรรมชาติโดยไม่ต้องตกแต่งอะไรเลยดังนั้นศิลปะแบบนี้จึงมีลักษณะแตกต่างและตรงกันข้ามกับศิลปะแบบบารอค (Baroque) ซึ่งเป็นผลิตผลจากการปฏิรูปศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและมีการตกแต่งประดับประดามากจนเกินจริง
100. ศิลปะ Romanticism เป็นศิลปะแบบใหม่ที่ต่อต้านศิลปะใดซึ่งเป็นแบบเดิมของต้นศตวรรษที่ 18
1. Gothic 2. Neo-Classicism 3. Mannerism 4. Baroque
ตอบ 2 หน้า 428, 473 – 474, 489, 119 (H) ในต้นศตวรรษที่ 19 ศิลปะโรแมนติก (Romanticism) กลับได้รับความนิยมแทนที่ศิลปะแบบบารอค ซึ่งศิลปะโรแมนติกนี้เป็นศิลปะแบบใหม่ที่เน้นการต่อต้านข้อจำกัดอย่างแข็งขันของศิลปะนีโอ-คลาสสิก (Neo-Classicism) หรือต่อ ต้านความสุดยอดของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทั้งหมด โดยจะเน้นที่อารมณ์และความคิดความ รู้สึกที่ลึกซึ้งมากกว่าเหตุผลเน้นชีวิตความเป็นอยู่ของปัจเจกชนมากกว่ารัฐ เน้นการนับถือธรรมชาติและการต่อต้านอำนาจเพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข
101. ในต้นศตวรรษที่ 19 ศิลปะใดที่แสดงความสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ และสื่อให้คิดและรู้สึกอย่างลึกซึ้ง
1. Baroque
2. Realism
3. Romanticism
4. Neo-Classicism
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 100. ประกอบ
102. ในต้นศตวรรษที่ 20 บรรดามหาอำนาจตะวันตกมีความสัมพันธ์เป็นปฏิปักษ์ต่อกันด้วยเหตุใด
1. ผลประโยชน์ขัดกัน
2. แข่งกันลดอาวุธ
3. อุดมการณ์ต่างกัน
4. การถือศาสนาต่างนิกาย
ตอบ 1 หน้า 531 – 532 ในต้นศตวรรษที่20 ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจตะวันตกในยุโรปขึ้น คือ เหตุการณ์การครอบครองคาบสมุทรบอลข่านในปี ค.ศ. 1914 ซึ่งวิกฤตการณ์นี้ได้กลายเป็นปัญหาที่ไม่อาจยุติได้ ทั้งนี้เพราะชาติยุโรปต่างมุ่งแสวงหาผลประโยชน์อย่างเต็มที่บวกกับแรง บันดาลใจของลัทธิชาตินิยม ทำให้แต่ละประเทศต่างไม่ยอมสูญเสียผลประโยชน์ของตน จนบานปลายกลายเป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในที่สุด
103. ปัจจัยใดทำให้บรรดามหาอำนาจมั่นใจกล้าที่จะตัดสินใจเปิดฉากสงความโลกครั้งที่ 1
1. ระบบพันธมิตร 2. ความมั่งคั่ง 3. ความมีอำนาจ 4. อุดมการณ์
ตอบ 1 หน้า 533, 564 การที่บรรดามหาอำนาจรวมตัวกันเป็นระบบพันธมิตรนั้น นับเป็นปัจจัยที่ทำให้บรรดามหาอำนาจกล้าที่จะตัดสินใจเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 เร็วขึ้น ทั้งนี้เพราะประเทศที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรต่างก็หวังพึ่งพาประเทศคู่สัมพันธ์ของตนในอนาคตจนไม่กล้าถอนตัวออกมาซึ่งความเกี่ยวพันกันเป็นระบบพันธมิตรนี้เองกลับกลายเป็นการดึงกันเข้าสู่สงครามใหญ่และมีผลให้การรักษาดุลอำนาจในยุโรปล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
104. ระบบการค้าเสรีใน ค.ศ. 1900 ถูกลัทธินิยมใดทำลายลง
1. Liberalism 2. Capitalism 3. Socialism 4. Protectionism
ตอบ 4 (คำบรรยาย) ระบบการค้าเสรีในปี ค.ศ. 1900 ไม่เป็นที่นิยมนัก เนื่องจากอิทธิพลของลัทธินิยมปกป้องเศรษฐกิจ (Protectionism) กล่าวคือ เมื่อเริ่มมีการค้าขายอย่างเสรีก็ทำให้ประเทศต่าง ๆ เริ่มที่จะปกป้องสินค้าและบริการของตน ไม่ให้สินค้าและบริการจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดได้ โดยใช้วิธีการจัดเก็บภาษีและตั้งกฎระเบียบที่เข้มงวด
105. ระบบพันธมิตรแบบบิสมาร์คมีจุดมุ่งหมายที่จะป้องกันความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจใดบ้าง
1. ฝรั่งเศสกับรัสเซีย
2. อังกฤษกับฝรั่งเศส
3. เยอรมนีกับออสเตรีย
4. ฝรั่งเศสกับเยอรมนี
ตอบ 4 หน้า 529 – 530, 562, (คำบรรยาย) บิสมาร์คจัดตั้งระบบพันธมิตรขึ้นในปี ค.ศ. 1882โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันความขัดแย้งระหว่างเยอรมนีกับฝรั่งเศสในเรื่องดินแดนอัลซัส-ลอเรนน์เป็นหลักทำให้บิสมาร์คต้องพยายามปิดล้อมฝรั่งเศสให้อยู่โดดเดี่ยว โดยการจัดตั้งระบบพันธมิตรที่แข็งแกร่งขึ้น เพี่อมิให้พันธมิตรฝ่ายฝรั่งเศสซึ่งอาจรวมตัวกันได้ในวันข้างหน้าสามารถทำการโจมตีได้ ทั้งนี้ระบบพันธมิตรแบบบิสมาร์คเป็นระบบพันธมิตรแบบตั้งรับในยามสงบ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เกิดการทูตแบบใหม่ขึ้น
106. การเจรจาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ยึดถือโครงการสันติภาพอะไร ของประเทศใด
1. Marshall Plan ของอังกฤษ 2. Atlantic Charter ของรัสเซีย
3. Peace Program ของฝรั่งเศส 4. Fourteen Points ของสหรัฐอเมริกา
ตอบ 4 หน้า 538 – 540, 544, 135 – 137 (H) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เสนอร่างสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งประกอบด้วยหลักการ 14 ข้อ (Fourteen Points) ต่อรัฐสภาอเมริกัน โดยมีจุดมุ่งหมายคือ ต้องการสถาปนาสันติภาพอันถาวรขึ้นด้วยการจัดตั้งสันนิบาตแห่งสหประชาชาติ เพื่อขจัดข้อขัดแย้งระหว่างประเทศโดยใช้วิธีเจรจาออมชอมหรือยุติด้วยกำลังและการศาล ซึ่งสนธิสัญญานี้ได้ส่งผลให้แผนที่ของยุโรปเปลี่ยนไป เพราะการล่มสลายของจักรวรรดิทั้ง 4 คือ รัสเซีย เยอรมนี ออสเตรีย และตุรกี
107. คำขวัญใดของการปฏิวัติฝรั่งเศสที่สะท้อนถึงสาเหตุของการปฏิวัติฝรั่งเศส
1. สิทธิมนุษยชนโดยธรรมชาติ 2. อิสรภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ
3. ระบอบเก่าจงเจริญ 4. อิสรเสรีเหนือสิ่งอื่นใด
ตอบ 2 หน้า 446 – 447 ฌอง ฌาค รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสเห็นว่ามนุษย์นั้นเกิดมาดีแต่ต้องมาเสียเพราะสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการศึกษาและกฎหมายในสังคมนั้น ประชาชนควรมีสิทธิเลือกรัฐบาลของตนเองและควบคุมได้ด้วย โดยแนวคิดนี้ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือเรื่องสัญญาประชาคม (The Social Contract) ซึ่งได้กลายเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสตามคำขวัญที่ว่า “อิสรภาพ (Liberty) เสมอภาค (Equality) และภราดรภาพ (Fraternity)”
108. การปฏิวัติทางการเมืองในศตวรรษที่ 19 อ้างลัทธิใดเพื่อความชอบธรรมของการปฏิวัติ
1. ลัทธิทุนนิยม 2. ลัทธิเสรีนิยม 3. ลัทธิสังคมนิยม 4. ลัทธิจักรวรรดินิยม
ตอบ 2 หน้า 478 – 479, 490, 124 1. (คำบรรยาย) ลัทธิที่ส่งเสริมให้เกิดความชอบธรรมของการปฏิวัติทางการเมืองในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 ได้แก่ 1. ลัทธิโรแมนติก จะเน้นความเป็นเอกภาพของปัจเจกชน 2. ลัทธิชาตินิยม จะเน้นการแสดงความจงรักภักดีสูงสุดต่อชาติพันธุ์ ท้องถิ่นและชาติของตนเนื่องจากมีการใช้ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมเป็นสื่อปลูกฝังให้เกิดความรักชาติและการรวมกันเป็นหนึ่งตลอดจนความรู้สึกสำนึกในเชื้อชาติเดียวกัน 3. ลัทธิเสรีนิยม จะเน้นความอิสรเสรีความเสมอภาคตามกฎหมาย และเรียกร้องการปกครองโดยมีผู้แทน
109. อะไรคือสื่อทำให้เกิดความรักชาติและรวมกันเป็นหนึ่งในศตวรรษที่ 19
1. สถาบันกษัตริย์ 2. สื่อมวลชน 3. วัฒนธรรม 4. สภาบันการศึกษา
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 108. ประกอบ
110. ในศตวรรษที่ 19 กรีกและเบลเยียมต่อสู้จนได้รับเอกราชโดยความช่วยเหลือจากใคร
1. รัสเซีย, ออสเตรีย 2. ปรัสเซีย, รัสเซีย 3. ฝรั่งเศส, รัสเซีย 4. อังกฤษ, ฝรั่งเศส
ตอบ 4 หน้า 118 (H) ยุคเมตเตอร์นิก (ค.ศ. 1815 – 1848) คือ ยุคแห่งการต่อต้านระบอบเสรีนิยมในยุโรป โดยมีเจ้าชายเมตเตอร์นิกแห่งอาณาจักรออสเตรียเป็นผู้นำการต่อต้าน แต่ก็ยังมีขบวนการเสรีนิยม 2 แห่งที่สามารถทำการปฏิวัติได้สำเร็จในช่วงศตวรรษที่ 19 คือ 1. การปฏิวัติของพวกกรีกซึ่งแยกตัวออกจากการปกครองของตุรกีในปี ค.ศ. 1821 – 1829 โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซีย อังกฤษและฝรั่งเศส 2. การปฏิวัติของเบลเยียมซึ่งแยกตัวออกจากฮอลแลนด์ในปี ค.ศ. 1830 โดยได้รับความช่วยเหลือจากอังกฤษ
111. เมื่อ ค.ศ. 1871 แผนที่ยุโรปเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุใด
1. ฝรั่งเศสสร้างจักรวรรดิ
2. เยอรมนีพ่ายแพ้แก่ฝรั่งเศส
3. รัสเซียครองโปแลนด์
4. เยอรมนีและอิตาลีรวมประเทศ
ตอบ 4 หน้า 512 – 519, 119 (H), 124 – 129 (H) (คำบรรยาย) จากการที่ประเทศอิตาลีและเยอรมนีสามารถรวมประเทศได้เป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1870 และ ค.ศ. 1871 ตามลำดับ ได้แสดงให้เห็นถึงชัยชนะของลัทธิชาตินิยมและเสรีนิยมว่ามีบทบาทส่งเสริมทำให้เกิดการรวมประเทศเยอรมันและอิตาลีขึ้นซึ่งนับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้แผนที่ยุโรปเปลี่ยนแปลงไปและส่งผลให้ดุลยภาพแห่งอำนาจ (Balance of Power) ได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เนื่องจากเกิดประเทศมหาอำนาจขึ้น คือ ประเทศเยอรมนีและอิตาลี
112. ในยุคใหม่ก่อนสงครามโลก บรรดามหาอำนาจรักษาสันติภาพและความมั่นคงปลอดภัยร่วมกันโดยวิธีการใด
1. สร้างระบบพันธมิตร 2. ตั้งองค์กรกลาง 3. สร้างสันนิบาต 4. รักษาดุลยภาพแห่งอำนาจ
ตอบ 4 (คำบรรยาย) หลักความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศในยุโรปตั้งแต่ยุคใหม่เป็นต้นมานั้นได้กำหนดว่าทุกประเทศต้องเคารพในหลักการถ่วงดุลอำนาจ ไม่ให้ประเทศใดมีอำนาจมากจน เกินไปโดยเชื่อว่าสันติภาพและความมั่นคงจะคงอยู่ได้นั้นขึ้นอยู่กับการรักษาสมดุลหรือดุลยภาพแห่งอำนาจ ถ้ามหาอำนาจใดล่วงละเมิดหลักการถ่วงดุลอำนาจโดยการขยายอาณาเขตออกไปเพื่อตั้งตนเป็นใหญ่ บรรดามหาอำนาจที่เหลือกจะรวมตัวกันจัดตั้งเป็นพันธมิตรเพื่อเข้าไปล้อมปราบ หรือเรียกร้องค่าเสียหายชดเชย หรือใช้กำลังยับยั้งโดยการรวมกลุ่มรบเพื่อสั่งสอน แต่จะไม่เข้าไปทำลายรัฐ
113. ระหว่างศตวรรษที่ 16 ถึง 18 ปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์ในแต่ละรัฐมหาอำนาจ มักสืบเนื่องมาจาก
ปัจจัยใดเป็นจุดเริ่มต้น
1. การอภิเษกสมรสร่วมราชวงศ์ 2. ศาสนาต่างนิกาย
3. การแข่งขันการค้า 4. การล่าอาณานิคม
ตอบ 2 หน้า 416 – 418, 108 (H) ในระหว่างศตวรรษที่ 16 – 18 ปัญญาการสืบราชสันตติวงศ์ในแต่ละรัฐมหาอำนาจของยุโรปยุคใหม่ มักมีจุดเริ่มต้นมาจากปัจจัยด้านศาสนาเป็นหลักซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนในประเทศอังกฤษ เมื่อพระเจ้าเจมส์ที่ 2 เกิดความขัดแย้งกับรัฐสภาในเรื่องที่จะให้อังกฤษกลับไปนับถือนิกายคาทอลิกตามอย่างพระโอรสของพระองค์ ทำให้รัฐสภาอังกฤษไปเชิญเจ้าหญิงแมรี่พระราชธิดาของพระองค์ ซึ่งทรงนับถือนิกายโปรเตสแตนต์ให้มาปกครองอังกฤษแทน และต่อมาในปี ค.ศ. 1701 ก็มีการออกพระราชบัญญัติ Act of settlement ห้ามผู้นับถือคาทอลิกขึ้นเป็นกษัตริย์อังกฤษอีก
114. ในยุคใหม่จนถึงปัจจุบัน มีมหาอำนาจใดบ้างที่เคยถูกล้อมปราบเพราะพยายามตั้งตนเป็นใหญ่ในยุโรป
1. สเปน ฝรั่งเศส และเยอรมนี 2. รัสเซีย ปรัสเซีย และออสเตรีย
3. ฝรั่งเศส อังกฤษ และสเปน 4. อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี
ตอบ 1 หน้า 464, 466? 468 – 469 (คำบรรยาย) ในยุคใหม่จนถึงปัจจุบันนั้น ประเทศมหาอำนาจที่พยายามตั้งตนเป็นใหญ่เพราะต้องการสร้างจักรวรรดิในยุโรป จนถูกชาติมหาอำนาจอื่น ๆ รวมตัวเป็นพันธมิตรเพื่อล้อมปราบอยู่หลายครั้ง ได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะในยุคนโปเลียนที่ยุโรปเกือบทั้งหมดยกเว้นอังกฤษต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส ทำให้มหาอำนาจในยุโรปต้องรวมตัวกันเป็นพันธมิตรถึง 3 ครั้ง เพื่อล้อมปราบฝรั่งเศส นอกจาก นี้ก็ยังมีประเทศสเปนในสมัยสงคราม 30 ปี และประเทศเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้ง ที่ 1 และ 2
115. หลังสงครามปราบนโปเลียน บรรดามหาอำนาจประชุมสันติภาพกันที่ใด
1. Westpha1ia 2. Vienna 3. Versailles 4. Geneva
ตอบ 2 หน้า 470 – 472, 117 (H) ภายหลังสงครามปราบนโปเลียนในปี ค.ศ. 1815 บรรดาผู้นำประเทศมหาอำนาจยุโรปใหม่ ได้แก่ อังกฤษ ปรัสเซีย รัสเซีย และออสเตรีย ได้มาประชุมสันติภาพร่วมกันที่กรุงเวียนนา (Vienna) โดยมีนายกรัฐมนตรีของออสเตรีย คือเจ้าชายคลีเมน ฟอน เมตเตอร์นิก เป็นผู้กำหนดพื้นฐานการประชุมในลักษณะขอความเห็นชอบเพื่อจัดระเบียบยุโรปใหม่ นั่นคือ การกลับไปปกครองดินแดนเท่าที่เคยมีอยู่ก่อนสมัยของนโปเลียน และที่สำคัญคือ การธำรงไว้ซึ่งหลักการถ่วงดุลอำนาจในยุโรปนั่นเอง
116. หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศใดในยุโรปเป็นต้นตำรับของระบอบฟาสชิสต์
1. เยอรมนี 2. รัสเซีย 3. ออสเตรีย 4. อิตาลี
ตอบ 4 หน้า 541 – 543, 137 – 138 (H) (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดขบวนการชาตินิยม ที่เรียกว่าระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จขึ้น ซึ่งเป็นการปกครองที่ผู้นำเดี่ยวมีอิทธิพลครอบงำ หรืออาจอยู่ในรูปองค์กรผู้นำพรรคการเมือง 1 พรรค ใช้อำนาจเด็ดขาดแต่พรรคเดียว แบ่งออกเป็น 2 แบบ ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกัน ได้แก่
1. ระบอบคอมมิวนิสต์ (เผด็จการซ้าย) เป็นขบวนการต่อต้านลัทธิทุนนิยมประชาธิปไตย
2. ระบอบฟาสซิสต์ (เผด็จการขวา) เกิดขึ้นในอิตาลีและขยายต่อมายังเยอรมนี เรียกว่าลัทธินาซี เป็นขบวนการชาตินิยมที่ต่อต้านการขยายตัวของระบอบคอมมิวนิสต์และโลกเสรีประชาธิปไตย
1 17. นอกจากสงครามโลก 2 ครั้งแล้ว ในศตวรรษที่ 20 มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นที่ถือว่าสำคัญมากและทรงอิทธิพลต่อยุโรป
1. การปฏิวัติฝรั่งเศส 2. การปฏิวัติรัสเซีย
3. ระเบิดนิวเคลียร์ 4. การประชุมสันติภาพที่แวร์ซายส์
ตอบ 2 หน้า 136 (H), (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 530 – 531) ในศตวรรษที่ 20 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ทรงอิทธิพลต่อยุโรป คือ การปฏิวัติรัสเซียในปี ค.ศ. 1917 ภายใต้การนำของพรรคบอลเชวิค โดยมีเลนินเป็นผู้นำ ซึ่งได้ส่งผลให้รัสเซียจำเป็นต้องถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และบอลเซวิค ได้ดำเนินการตามหลักสังคมนิยม โดยเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ และก่อตั้งสหภาพสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียจนส่งผลให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ขยายไปทั่วยุโรปและทุกส่วนต่าง ๆ ของโลก
118. หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีกี่จักรวรรดิล่มสลาย ได้แก่จักรวรรดิใดบ้าง
1. 4 จักรวรรดิคือ รัสเซีย ฝรั่งเศส ตุรกี และฮังการี
2. 2 จักรวรรดิคือ รัสเซีย และเยอรมนี
3. 3 จักรวรรดิคือ ฝรั่งเศส อังกฤษ และรัสเซีย
4. 4 จักรวรรดิคือ รัสเซีย เยอรมนี ออสเตรีย และตุรกี
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 106. ประกอบ
119. หลักการสำคัญขององค์การสหประชาชาติปรากฏในเอกสารชื่ออะไร
1. Atlantic Charter 2. Fourteen Points
3. Bill of Rights 4. Declaration of Human Rights
ตอบ 4 (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 543), (คำบรรยาย) องค์การสหประชาชาติเป็นผลมาจากความร่วมมือของประเทศภาคีมหามิตรภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีหลักการสำคัญประการหนึ่งที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ และต่อมาหลักการนี้ได้ปรากฏอยู่ใน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Declaration of Human Righzcts) เมื่อวันที่10 ธันวาคม ค.ศ. 1948 คือ มาตรา 1 ข้อ 3 เพื่อแก้ปัญหาระหว่างประเทศในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม มนุษยธรรมและสนับสนุนการเคารพสิทธิมนุษยชน
120. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเมืองระหว่างประเทศมีการแบ่งเป็นกี่ฝ่าย ได้แก่ฝ่ายใดบ้าง
1. 3 ฝ่าย โลกเสรี โลกคอมมิวนิสต์ โลกกลาง
2. 2 ฝ่าย โลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์
3. 2 ฝ่าย โลกเสรีสังคมนิยมกับโลกเสรี
4. 2 ฝ่าย โลกคอมมิวนิสต์กับโลกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ตอบ 2 หน้า 556, 139 (H) ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 มีดังนี้
1. เกิดการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของโลก โดยมหาอำนาจยุโรปตะวันตกได้ลดความสำคัญลง และเกิดประเทศมหาอำนาจใหม่ทำให้การเมืองระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตยซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ และฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ซึ่งมีโซเวียตรัสเซียเป็นผู้นำ
2. มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้น
3. ประเทศที่ตราเป็นอาณานิคมมีการเรียกร้องขอเอกราช