แนวข้อสอบชุพิเศษ 2 ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554 

ข้อสอบกระบวนวิชา ENG2002 การอ่านตีความ

Advertisement

Part I : Seen Passages

ส่วนที่ 1 : เนื้อเรื่องในตำรา

A :  Directions : Read the following statements. Then blacken 1 for a true statement, and blacken 2 for a false statement. (1 = True / 2 = False)

คำสั่ง  จงอ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วใช้ดินสอดำระบาย 1 หากเป็นข้อความที่ถูกต้องและระบาย 2 หากเป็นข้อความที่ผิด (1 = ถูก / 2 = ผิด)

1 .   In skimming, it is not  necessary that you skip over unimportant information.

ถาม        ในการอ่านแบบสกิมมิ่ง คุณไม่จำเป็นต้องอ่านข้ามข้อมูลที่ไม่สำคัญ

ตอบ  2   (ผิด)   การอ่านแบบสกิมมิ่ง (skimming) เป็นการอ่านอย่างรวดเร็วเพื่อหาใจความสำคัญโดยทั่วไปหรือรายละเอียดสำคัญบางอย่างของเนื้อเรื่อง โดยจะอ่านเฉพาะคำหรือวลีที่สำคัญ ๆ อย่างรวดเร็ว แล้วอ่านข้ามส่วนที่คิดว่าไม่สำคัญในประโยคนั้น เช่น การสกิมมิ่งหนังสือว่าเนื้อหาในหนังสือนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

2 .   You can skim to get an overview of textbook.

ถาม        คุณสามารถสกิมเนื้อหาคร่าว ๆ ของหนังสือเรียน

ตอบ  1   (ถูก)   ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3 .   You can scan to locate a piece of information.

ถาม        คุณสามารถสแกนเพื่อหาข้อมูลบางอย่าง

ตอบ  1   (ถูก)   การอ่านแบบสแกนนิ่ง (Scanning) เป็นเทคนิคการอ่านเร็วเมื่อต้องการหาข้อมูลบางอย่างที่ต้องการรู้เท่านั้น โดยไม่สนใจใจความอื่น ๆ เลย

 4 .   The word “which” generally refers to a person.

ถาม        คำว่า “which” ปกติแล้วใช้ในการอ้างอิงถึงบุคคล

ตอบ  2  (ผิด)   Relative Pronouns เป็นตัวอ้างอิงชนิดหนึ่งที่ใช้แทนหรือขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้าเพื่อเชื่อมประโยคหลักกับประโยครองในประโยคความซ้อนเข้าด้วยกัน โดยจะวางไว้ข้างหลังติดกับคำนามที่มันขยาย เช่น Which (ใช้อ้างอิงถึงคำนามที่เป็นสัตว์และสิ่งของ), Who (ใช้อ้างอิงถึงคำนามที่เป็นคน), That (ใช้อ้างอิงได้ทั้งคำนามที่เป็นคน สัตว์และสิ่งของ)

5 .   The word “that” can refer to a thing or a person.

ถาม        คำว่า “that” สามารถใช้อ้างอิงได้ทั้งสิ่งของหรือบุคคล

ตอบ  1  (ถูก)   ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6 .   A paragraph contains three essential components : topic, main idea, details.

ถาม        ในหนึ่งย่อหน้าจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ หัวเรื่อง ใจความสำคัญ แลรายละเอียด

ตอบ  1  (ถูก)   อนุเฉท /ย่อหน้า (paragraph) คือ กลุ่มประโยคที่กล่าวถึงหัวเรื่องใดหัวเรื่องหนึ่งซึ่งจะอธิบาย นิยามหรือขยายความคิดหัวข้อเรื่องเดียวกัน โดยในแต่ละย่อหน้าจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ  1. หัวเรื่อง (topic)             2. ใจความสำคัญ (main idea)                3. รายละเอียดที่อธิบายหรือเพิ่มเติมเสริมความของใจความสำคัญ (Supporting Details)

7 .   In one paragraph, there can be two main ideas.

ถาม        ในหนึ่งย่อหน้า สามารถมีใจความสำคัญได้สองใจความ

ตอบ  2  (ผิด)   ใจความสำคัญ (main idea) คือ เนื้อหาหรือสิ่งที่ผู้เขียนต้องการบอกผู้อ่านเกี่ยวกับเรื่องที่เขียน โดยมีประโยคอื่น ๆ ซึ่งเป็นรายละเอียดมาสนับสนุนหรืออธิบายใจความสำคัญให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยในแต่ละย่อหน้าจะต้องมีเพียงหนึ่งหัวข้อเรื่องและมีใจความสำคัญ

8 .   The main idea support details of a paragraph.

ถาม        ปกติแล้วใจความสำคัญที่ผู้เขียนระบุไว้ชัดเจนจะแสดงไว้ในประโยคที่สมบูรณ์เพียงประโยคเดียว

ตอบ  1  (ถูก)   โดยทั่วไปแล้วใจความสำคัญที่ระบุในย่อหน้า (Stated Main Idea) มักจะปรากฏในประโยคแรกของย่อหน้าเพียงประโยคเดียว

9 .   The main idea supports details of a paragraph.

ถาม        ใจความสำคัญจะสนับสนุนราละเอียดของย่อหน้านั้น

ตอบ  2  (ผิด)   ดูคำอธิบายข้อ 6. และ 7. ประกอบ

10 .   When reading for main idea that is not directly stated, you have to be aware of details of a paragraph.

ถาม        ในการอ่านเพื่อหาใจความสำคัญที่ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน คุณต้องเข้าใจเนื้อหาต่าง ๆ ของย่อหน้าอย่างละเอียด

ตอบ  1  (ถูก)   ในบางย่อหน้าไม่มีใจความสำคัญระบุไว้ แต่รายละเอียดแสดงนัย ๆ ไว้ ผู้อ่านต้องอ่านย่อหน้านั้นอย่างละเอียด แล้วสรุปใจความสำคัญของเรื่องด้วยตนเอง

B : Directions :  Read the following passage and choose the best answer for each question.

คำสั่ง     จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดสำหรับคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

                Children display an amazing ability to become fluent speakers of any language consistently spoken around them. Every normal human child who is not brought up in virtual isolation from language use soon comes to speak one or more languages natively.

                เด็ก ๆ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งในการเป็นผู้พูดภาษาใดก็ได้ ที่พูดกันอยู่เป็นประจำรอบตัวพวกเขาได้อย่างคล่องแคล่ว เด็กปกติทุกคนที่ไม่ได้เลี้ยงดูให้ถูกปิดกั้นจาการใช้ภาษาอย่างสิ้นเชิง ไม่นานพวกเขาก็จะสามารถพูดได้ 1 ภาษาหรือมากกว่านี้เป็นภาษาแม่

11 .   The paragraph is about _______.

1.       A language spoken around children

2.       Children’s ability to speaker a language

3.       Normal children who are brought up in a talkative environment

4.       The influence of language use on children’s ability to speaker a language

ถาม        ย่อหน้านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ______

1.       ภาษาที่พูดกันอยู่รอบตัวเด็ก ๆ

2.       ความสามารถของเด็ก ๆ ในการพูดภาษาใดภาษาหนึ่ง

3.       เด็กปกติที่ถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่มีการพูด

4.       อิทธิพลของการใช้ภาษาที่มีผลต่อความสามารถของเด็ก ๆ ในการพูดภาษาใดภาษาหนึ่ง

ตอบ  2  :  การถามแบบนี้คือ ถามหัวเรื่อง ซึ่งต้องเป็นตัวเลือกครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด และต้องไม่กว้างหรือแคบจนเกินไป ย่อหน้านี้ผู้เขียนต้องการพูดถึงความสามารถของเด็กในการพูดภาษา

12 .   The word that suggests the writer’s attitude towards what he is talking about is “______”.

1.       Amazing

2.       Fluent

3.       Normal

4.       Consistently

ถาม        คำที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้เขียนที่มีต่อสิ่งที่เขากล่าวถึง คือ “_______”

1.       น่าทึ่ง

2.       คล่องแคล่ว

3.       ปกติ

4.       เป็นประจำไม่เปลี่ยนแปลง

ตอบ  1  :  “ Children display an amazing ability…” ผู้เขียนแสดงความคิดเห็นว่าความสามารถในการพูดภาษาของเด็กนั้นเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง ส่วนข้ออื่นเป็นข้อเท็จจริง

13 .   According to the paragraph, it is possible that _______.

1.       Some abnormal children cannot speak a language natively

2.       Some normal children can speak  more than one language natively

3.       A normal child who is isolated from language speak a language

4.       All are correct.

ถาม        จากย่อหน้านี้ เป็นไปได้ว่า ______

1. เด็กผิดปกติบางคนไม่สามารถพูดภาษาได้

2. เด็กปกติบางคนสามารถพูดภาษาได้มากกว่า 1 ภาษาเป็นภาษาแม่

3. เด็กปกติที่ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้ภาษาไม่สามารถพูดภาษาได้

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 2

14 .   The word “who” in the paragraph refers to _______.

1.       Children

2.       Fluent speakers

3.       Every normal human child

4.       Both 1 and 2

ถาม        คำว่า “who” ในย่อหน้านี้อ้างอิงถึง ______

1.       เด็ก ๆ

2.       คนที่พูดอย่างคล่องแคล่ว

3.       เด็กปกติทุกคน

4.       ถูกทั้งข้อ 1. และ 2.

ตอบ  3  :  “who” เป็น Relative Pronoun ซึ่งจะใช้อ้างอิงถึง n. ที่อยู่ข้างหน้าติดกับมัน

15 .   The word “display” in the paragraph is closest in meaning to ______.

1. Have            

2. Show               

3. Learn               

4. Maintain

ถาม        คำว่า “display” ในย่อหน้านี้มีความหมายใกล้เคียงที่สุดกับคำว่า _______

1.  มี                   

2. แสดงให้เห็นถึง            

3. เรียนรู้              

4. รักษาไว้

ตอบ  2  : display = shoe (v.) = แสดงให้เห็นถึง

Passage 2

                The major communications satellite systems include those operated by INTELSAT, whose satellites are used for global point – to – point communications, INMARSAT, which serves a similar role for ships at sea; and finally the various regional and domestic satellite systems being operated in a number of regions or by individual countries.

                ระบบดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญ ๆ นั้น ได้แก่ ระบบที่ดำเนินการโดย อินเทลแชท ซึ่งดาวเทียมของระบบนี้จะใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารระหว่างจุดหนึ่งกับจุดหนึ่งทั่วโลก ระบบที่ดำเนินการโดย อินมาร์แชทซึ่งให้บริการในบทบาทเดียวกันสำหรับการเดินเรือในท้องทะเล และสุดท้ายคือระบบดาวเทียมภายในประเทศและในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งดำเนินการอยู่ในหลายภูมิภาคหรือโดยประเทศหนึ่ง

16 .   The paragraph is about _______.

1.       The major communications satellite systems

2.       INTELSAT

3.       INMARSAT

4.       Regional and domestic satellite systems

ถาม        ย่อหน้านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ______

1.       ระบบดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญ ๆ

2.       ระบบ อินเทลแชท

3.       ระบบ อินมาร์แชท

4.       ระบบดาวเทียมภายในประเทศและในภูมิภาค

ตอบ  1  :  ย่อหน้านี้กล่าวถึง ระบบดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญ ๆ ” ว่ามีระบบใดบ้างกี่ระบบ

17 .   How many major communications satellite systems are mentioned in the paragraph ?

1. 2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 5

ถาม        ระบบดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญ ๆ ที่กล่าวไว้ในย่อหน้านี้มีกี่ระบบ

1. 2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 5

ตอบ  2  :  มี 3 ระบบ คือ อินเทลแชทอินมาร์แชทและ ระบบดาวเทียมภายในประเทศและภูมิภาค

18 .   The satellite system used among countries in a region is _______.

1.       INTELSAT

2.       INMARSAT

3.       The regional satellite system

4.       Not mentioned in the paragraph

ถาม        ระบบดาวเทียมที่ประเทศต่าง ๆ ใช้สื่อสารภายในภูมิภาคของตนคือ ______

1.       ระบบ อินเทลแชท

2.       ระบบ อินมาร์แชท

3.       ระบบดาวเทียมภายในภูมิภาค

4.       ไม่ได้กล่าวถึงไว้ในย่อหน้านี้

ตอบ  3  :  ส่วนระบบ อินเทลแชทและอินมาร์แชท จะใช้สำหรับการรติดต่อสื่อสารทั่วโลก

19 .  The word “which” in line 2 refers to _______.

1.       INTELSAT

2.       INMARSAT

3.       regional satellite system

4.       The regional who operate the satellite system

ถาม        คำว่า “which” ในบรรทัดที่ 2 อ้างอิงถึง ______

1.       ระบบ อินเทลแชท

2.       ระบบ อินมาร์แชท

3.       ระบบดาวเทียมภายในภูมิภาค

4.       ภูมิภาคที่ใช้ระบบดาวเทียม

ตอบ  2  :  “which” เป็น Relative Pronoun เช่นเดียวกัน โดยทำหน้าที่ขยาย n. ที่อยู่ข้างหน้าติดกับมัน

Passage 3

                Much of the violence in these programmes is what’s called ‘clean’. But it can be argued that ‘clean’ violence has more effect, in that it accustoms children – and adults – to the spectacle of violence, without showing either the suffering, in terms of immediate pain, or the consequences, in terms of bereaved families, or lifelong mutilation, or the spirals of revenge and protracted counter – violence that can follow in reality. Violence may be presented merely as a form of exciting action, engaged in by heroes and villains alike, and frequently – within the programme rewarded. This last point is perhaps particularly serious, since a large number of experiments suggest that it is rewarded or ligitimised violence – often the violence shown on the part of the hero – which is most likely to be taken into a viewer’s repertoire, or most likely in itself to stimulate him to aggression.

                มีความรุนแรงมากมายที่อยู่ในรายการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า คลีน’ แต่ก็สามารถโต้แย้งได้ว่าความรุนแรงแบบ คลีน’ มีผลกระทบมากกว่า เพราะมันจะทำให้เด็ก ๆ รวมทั้งผู้ใหญ่เคยชินกับภาพของความรุนแรง โดยไม่ต้องแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานในแง่ของความเจ็บปวดเฉียบพลัน หรือผลที่เกิดขึ้นตามมาในแง่ของครอบครัวที่สูญเสียไปคนรักไป หรือการทำให้พิกลพิการตลอดชีวิต หรือวังวนแห่งการแก้แค้นและการโต้ตอบกันด้วยความรุนแรงที่ยืดเยื้อ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นตามมาได้ในชีวิตจริง ความรุนแรงอาจจะแค่นำเสนอในรูปของฉากที่ตื่นเต้น ซึ่งมีพระเอกหรือกระทั่งผู้ร้ายร่วมอยู่ด้วย และในเรื่องบ่อยครั้งที่ความรุนแรงนั้นได้รับรางวัลตอบแทน ประเด็นสุดท้ายนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะจากทดลองจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า มันเป็นความรุแรงที่ได้รับรางวัลตอบแทนหรือถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งมักจะเป็นความรุนแรงที่แสดงออกมาในบทบาทของพระเอก ซึ่งเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะถูกนำเข้ามาอยู่ในคลังประสบการณ์ของผู้ชมหรือเป็นไปได้มากที่สุดในตัวของมันเองว่ามันจะกระตุ้นผู้ชมให้มีความก้าวร้าว

21 .   The paragraph discusses _______.

1.       Violence as a form of exciting action

2.       Violence on TV programmes

3.       ‘clean’ Violence as ligitimised violence

4.       The affect of ‘clean’ violence

ถาม        ย่อหน้านี้พูดถึงเรื่อง ________

1.       ความรุนแรงในรูปแบบหนึ่งของฉากที่ตื่นเต้น

2.       ความรุนแรงที่มีอยู่ในรายการทีวี

3.      ความรุนแรงที่เรียกว่า คลีน’ ในฐานะความรุนแรงที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งถูกต้อง

4.       ผลของความรุนแรงที่เรียกว่า คลีน

ตอบ  4  :  ย่อหน้านี้กล่าวเฉพาะความรุนแรงที่เรียกว่า คลีน’ เท่านั้น โดยมุ่งที่ผลกระทบของมัน

22 .   According to the writer, ‘clean’ violence _______.

1.       Showa immediate pain

2.       Is an unnecessary form of violence

3.       Is a solution to the bereaved families

4.       Does not present its real outcome

ถาม        ตามความคิดเห็นของผู้เขียน ความรุนแรงที่เรียกว่า คลีน

1.       แสดงถึงความเจ็บปวดแบบเฉียบพลัน

2.       เป็นรูปแบบของความรุนแรงที่ไม่จำเป็น

3.       เป็นทางออกของปัญหาสำหรับครอบครัวที่สูญเสียคนรักไป

4.       ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงผลที่ตามมาที่แท้จริงของมัน

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 1 และ 2 “without showing…”

23 .   The fact that ______is particularly serious in the writer’s opinion.

1.       The hero’s violent act is rewarded

2.       Violent on TV has more effect on children

3.       Violent in TV programmes is called ‘clean’

4.       Violent may be presented as a form of exciting action

ถาม        ข้อเท็จจริงที่ว่า ______ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งในความคิดเห็นของผู้เขียน

1.       บทบาทที่แสดงออกถึงความรุนแรงของพระเอกกลับได้รับรางวัลตอบแทน

2.       ความรุนแรงที่มีอยู่ในทีวีมีผลกระทบต่อเด็ก ๆ มากกว่า

3.       ความรุนแรงที่มีอยู่ในรายการทีวีนี้เรียกว่า คลีน

4.       ความรุนแรงอาจจะเสนอในรูปของฉากที่ตื่นเต้น

ตอบ  1  :  จากประโยคที่ 3 และ 4 “This last point…’ ในประโยคที่ 4 คือ ข้อความในประโยคที่ 3

24 .  The pronoun “him” in line 11 reefers to _______.

1.       An adult

2.       A child

3.       A viewer

4.       A hero on a TV programme

ถาม        คำสรรพนาม “him” ในบรรทัดที่ 11 อ้างอิงถึง ______

1.       ผู้ใหญ่

2.       เด็ก

3.       ผู้ชม

4.       พระเอกในรายการทีวี

ตอบ  3  :  “him” ใช้เป็น pron. แทน “viewer”

25 .   The writer seems to believe that ______.

1.       Violent on TV is influential

2.       Children have become more aggressive

3.       TV producers stimulate viewers to aggression

4.       There should be no violent programme on TV

ถาม        ดูเหมือนผู้เขียนจะเชื่อว่า ______

1.       ความรุนแรงที่ปรากฏอยู่ในทีวีนั้นอิทธิพล

2.       เด็ก ๆ จะมีความก้าวร้าวมากขึ้น

3.       ผู้ผลิตรายการทีวีกระตุ้นให้ผู้ชมเกิดความก้าวร้าว

4.       ไม่ควรจะมีรายการทีวีที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรง

ตอบ  1  :  จากประโยคที่ 1 และ 2 ส่วนประโยคอื่นก็เป็นการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบที่มาจากอิทธิพลของความรุนแรงที่ปรากฏทางทีวี

Passage 4

                1Chemical pollution is not only caused by chemicals which are deliberately sprayed on land for some specific purposes. 2It is also caused by chemical waste that is carelessly or illegally dumped. 3Certain other substances by chemical in the production of chemicals. 4These substances are often useless, and some of them are extremely dangerous. 5Dioxin, or TCDD, is such a by – product of the chemical industry. 6For some years, there were few laws that governed the dumping of dangerous chemical wastes. 7As a result, they now lie in dumps all over the industrial countries. 8Today the deadly chemicals are in the water and the soil of many communities; governments do not know exactly how many dangerous dump exist. 9In fact, according to environmentalists, people today are continuing to dump dangerous waste illegally in spite of strict new laws against dumping.

                1มลพิษจากสารเคมีไม่เพียงแต่จะมีสาเหตุมาจากสารเคมีที่เจตนาฉีดพ่นลงบนพื้นดินเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งบางประการเท่านั้น 2แต่มันยังมีสาเหตุจากขยะสารเคมีที่ถูกทิ้งอย่างไม่ระมัดระวังหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย 3มีสารเคมีบางชนิดที่เกดขึ้นในระหว่างการผลิตเคมีภัณฑ์ 4สารเหล่านั้นมักไม่มีประโยชน์ และบางชนิดก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง 5สารไดออกซินหรือสารทีซีดีดีคือผลพลอยได้ที่ว่านั้นจากอุตสาหกรรมเคมี 6เป็นเวลาหลายปีแล้วที่แทบจะไม่มีกฎหมายออกมาควบคุมการทิ้งขยะที่เป็นสารเคมีอันตราย7ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันสารไดออกซินจึงมีอยู่ในกองขยะทั่วประเทศอุตสาหกรรม 8ปัจจุบันสารเคมีมรณะเหล่านี้มีอยู่ในน้ำและผืนดินของชุมชนหลายแห่ง ซึ่งรัฐบาลเองก็ไม่รู้ว่ามีกองขยะที่เป็นอันตรายนี้อยู่น้อยแคไหน 9อันที่จริงแล้วตามความคิดของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเห็นว่า ทุกวันนี้ผู้คนทิ้งขยะที่เป็นสารเคมีอันตรายโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีกฎหมายใหม่ ๆ ที่เข้มงวดเกี่ยวกับการทิ้งขยะก็ตาม

26 .   “It” in sentence 2 refers to _______.

1.       Chemical pollution

2.       Chemical

3.       A specific purpose

4.       Chemical waste

ถาม        “It” ในประโยคที่ 2 อ้างอิงถึง ______

1.       มลพิษจากสารเคมี

2.       เกี่ยวกับสารเคมี

3.       วัตถุประสงค์เฉพาะ

4.       ขยะสารเคมี

ตอบ  1  :  คำเชื่อม “also” เชื่อมประโยคที่ 1 ปับ 2 ดังนั้นสิ่งที่กล่าวถึงในประโยคที่ 2 ต้องเป็นสิ่งเดียวกันกับที่กล่าวไว้ในประโยคแรก

27 .  Most sentence in the paragraph support sentence ________.

1. 1                 

2. 2                    

3. 8                    

4. 9

ถาม         ประโยคส่วนใหญ่ในย่อหน้านี้สนับสนุนประโยคที่ ______

1. 1                    

2. 2                       

3. 8                       

4. 9

ตอบ  2  :  ประโยคแรกเป็นเพียงการเกริ่นนำเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ผู้เขียนต้องการกล่าวถึงนั้นอยู่ในประโยคที่ 2 ส่วนประโยคอื่น ๆ เป็นการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนประโยคที่ 1

28 .   According to the of ‘by – product’ is in sentence ______.

1.       The chemical industry

2.       Useless and dangerous

3.       A chemical by – product

4.       2 and 3 are correct.

ถาม        จากย่อหน้านี้ สารทีซีดีดี _______

1.       เป็นอุตสาหกรรมเคมี

2.       ไม่มีประโยชน์และเป็นอันตราย

3.       เป็นผลพลอยได้ที่เกิดสารเคมี

4.       ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 3 – 5

29 .   The meaning of ‘by – product’ is in sentence _______.

1. 2                    

 2. 3

3. 4                      

4. 5

ถาม        ความหมายของคำว่า ‘by – product’ อยู่ในประโยคที่ _______

1. 2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 5

ตอบ  2  :  ประโยคที่ 3 กล่าวว่า ในการผลิตมีสารเคมีสารบางอย่างเกิดขึ้นมาด้วย” โดยผู้เขียนกล่าวถึงสารที่ว่านี้ในประโยคที่ 5 ว่าเป็นผลพลอยได้ (by – product) ที่เกิดจากอุตสาหกรรมเคมี

30 .   If you dump chemical waste carelessly, it may _______.

1.     Evaporate into the air

2.     Change people’s lifestyle

3.     Leak into water sources

4.     Disappear within a few years

ถาม        ถ้าคุณทิ้งขยะสารเคมีอย่างไม่ระมัดระวัง มันอาจจะ ______

1.ระเหยสู่อากาศ

2.เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน

3.ไหลซึมผ่านเข้าไปในแหล่งงน้ำ

4.หายไปในเพียงไม่กี่ปีนี้

ตอบ  3  :  ประโยคที่ 6

31 .   ______ there are strict new laws against dumping, people today still dump dangerous chemical waste illegally.

1.       Despite the fact that

2.       Because of

3.        Moreover

4.       As a result of

ถาม        ______ มีการออกกฎหมายใหม่ ๆ ที่เข้มงวดเกี่ยวกับการทิ้งขยะ แต่ทุกวันนี้ผู้คนก็ยังคงทิ้งขยะที่เป็นสารเคมีอันตรายโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

1.       ทั้ง ๆ ที่ความจริง

2.       เพราะ

3.       ยิ่งไปกว่านั้น

4.       ด้วยเหตุนี้

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 9 แต่คำถามข้อนี้สลับตำแหน่งของประโยค คำเชื่อมที่ใช้จึงต้องสอดคล้องกับข้อความใหม่ด้วย

32 .   The author puts the blame on _____ for the current problem of chemical pollution.

1.       Irresponsible people

2.       Inefficient government

3.       Inefficient law

4.       All are correct.

ถาม        ผู้เขียนกล่าวโทษ _____ เรื่อปัญหามลพิษจากสารเคมีที่เกิดขั้นในปัจจุบัน

1.     คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ

2.       รัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพ

3.       กฎหมายที่ใช้ไม่ได้ผล

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  4  :  ตั้งแต่ประโยคที่ 2 – 7 กล่าวถึง การที่คนทิ้งขยะที่เป็นสารเคมีอย่างไม่ระมัดระวังและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และรัฐบาลเองก็ไม่ได้ตระหนักถึงปัญหานี้มากนัก” และมีการกล่าวสรุปอีกครั้งในประโยคสุดท้ายว่า แม้มีกฎหมายที่เข้มงวดออกมา แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

 Passage 5

                1Today, American colleges and universities are under strong attack from many quarters. 2Teachers, it is charged, are not doing a good job of teaching and students are not doing a good job of learning. 3American businesses and industries suffer from unenterprising, uncreative educated not to think for themselves but to mouth outdated truisms the rest of the word has long discarded. 4College graduates lack both basic skills and general culture. 5Studies are conducted and reports are issued on the status of higher education. 6But any changes that result either are largely cosmetic or make a bad situation worse.

                1ทุกวันนี้ วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในอเมริกา กำลังถูกโจมตีอย่างหนักจาหลายฝ่าย 2มีการกล่าวหาว่าอาจารย์ปฏิบัติหน้าที่ในการสอนได้ไม่ดี และนักศึกษาก็ปฏิบัติหน้าที่ในการเรียนได้ไม่ดี 3ธุรกิจและอุตสาหกรรมของชาวอเมริกันประสบความเสียหายจากผู้บริหารที่ไม่กล้าได้กล้าเสียและขาดความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งไม่ได้ถูกสอนมาให้คิดด้วยตัวเอง แต่ให้ท่องหลักทฤษฎีล้าสมัยที่คนอื่นในโลกเขาโยนทิ้งกันไปนาน แล้ว 4ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยขาดทั้งทักษะพื้นฐานและการฝึกอบรมทั่วไป 5มีการทำการศึกษาวิจัยและมีรายงานตีพิมพ์ออกมากมายเกี่ยวกับสภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา 6แต่ความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่ใช่ผักชีโรยหน้าก็ทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้วยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีก

33 .   Which adjective cannot be applied to the American education ?

1.       Inadequate

2.       Challenging

3.       Outdated

4.      Unsatisfactory

ถาม        คำศัพท์คำใดที่ไม่สามารถใช้ได้กับระบบการศึกษาของอเมริกา ?

1.       ไม่พอเพียง

2.       ท้าทายความสามารถ

3.       ล้าสมัย

4.       ไม่เป็นที่น่าพอใจ

ตอบ  2  :  จากประโยคที่ 1 – 4 หลายฝ่ายไม่พอใจกับระบบการศึกษาของอเมริกา เพรานักศึกษาได้รับความรู้ไม่เพียงพอ เนื่องจากอาจารย์ไม่ตั้งใจสอนและนักศึกษาก็ไม่ตั้งใจเรียนขาดทักษะพื้นฐาน และไม่มีการฝึกอบรมใด ๆ ระบบการเรียนการสอนล้าสมัย และไม่สอนให้นักศึกษาคิดด้วยตัวเอง

34 .   This paragraph is probably in the field of _______.

1.       Education

2.       Business

3.       Cosmetic industry

4.       Business and industry

ถาม        ย่อหน้านี้น่าจะอยู่ในสาขาวิชา ______

1.       การศึกษา

2.       ธุรกิจ

3.       อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง

4.       ธุรกิจและอุตสาหกรรม

ตอบ  1  :  เป็นประเด็นที่ถกกันเรื่อง ระบบการศึกษาของอเมริกา

35 .   To be successful, American businesses and industries need ______.

1.       Creative leaders

2.       College students

3.       Studies and reports

4.       Good teachers

ถาม        เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของอเมริกาต้องการ ______

1.       ผู้นำที่มีความคิดสร้างสรรค์

2.       นักศึกษาในระดับวิทยาลัย

3.       การศึกษาวิจัยและรายงาน

4.       อาจารย์ที่ดี

ตอบ  3  : จากประโยคที่ 3

36 .   In the last sentence, the writer seems to suggest that ______.

1.       The bad situation is being improved

2.       The changes that result are too large

3.       The problem must be tackled seriously

4.      Cosmetic changes make a bad situation worse

ถาม        ในประโยคสุดท้าย ดูเหมือนผู้เขียนจะแนะนำว่า _______

1.       สถานการณ์เลวร้ายกำลังได้รับการแก้ไข

2.       การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นใหญ่หลวงนัก

3.       ต้องมีการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

4.       การเปลี่ยนแปลงแบบผักชีโรยหน้าทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก

ตอบ  3  :  ผู้เขียนกล่าวว่า แม้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา แต่ก็เป็นแบบขอไปที ซึ่งยิ่งทำให้ระบบที่แย่ลงไปอีก จึงควรจะมีการแก้ไขระบบกันอย่างจริงจังสักที

Passage 6

                Koella believes that at least some types of chronic insomnia may be caused by a drop in brain – serotonin levels. The Worcester physiologist is now working on chemical ways to raise the brain’s serotonin levels and produce, in his words, “a truly physiological sleeping pill.” Synthetic sleeping pills, such as barbiturates, bring sleep, but at a price: they depress the central nervous system, reduce heart action and respiration – and they can become habit – forming or even addictive.

                โคเอลลาเชื่อว่าอ่างน้อยที่สุดโรคนอนไม่หลับเรื้อรังบางชนิดอาจจะมีสาเหตุมาจากระดับของสารเซโรโทนินในสมองมีปริมาณลดลง นักสรีรวิทยาแห่งสถาบันวอร์เซลเตอร์ท่านี้ ปัจจุบันกำลังทำการทดลองด้วยวิธีการทางเคมีเพื่อเพิ่มระดับของสารเซโรโทนินในสมองและสร้างสิ่งเขาเรียกว่า ยานอนหลับตามระบบสรีรวิทยาขนานแท้” ส่วนยานอนหลับที่ได้จากการสังเคราะห์ เช่น ยาบาร์บิทูเรต มันทำให้นอนอหลับได้ แต่ก็มีผลข้างเคียง กล่าวคือ มันจะกดระบบประสาทส่วนกลาง ลดทอนการทำงานของหัวใจและระบบหายใจ และมันมันสามารถทำให้เกิดเป็นความชินหรือแม้กระทั่งเกิดการติดยาได้

37 .   According to Koella, a physiological pill is _______.

1.       Insomnia

2.       A barbiturate

3.       A synthetic sleeping pill

4.       serotonin

ถาม        ตามความคิดเห็นของโคเอลลา ยาตามระบบสรีรวิทยา คือ ______

1.       โรคนอนไม่หลับ

2.       ยาบาร์บิทูเรต

3.       ยานอนหลับที่ได้จากการสังเคราะห์

4.       สารเซโรโทนิน

ตอบ  4  :  ประโยคที่ 2

38 .   Serotonin ________.

1.       Is a synthetic sleeping pill

2.       Causes chronic insomnia

3.       Helps raise chemical in the brain

4.       Causes people to sleep

ถาม        สารเซโรโทนิน _______

1.       เป็นยานอนหลับที่ได้จาการสังเคราะห์

2.       เป็นสาเหตุของโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง

3.       ช่วยเพิ่มสารเคมีในสมอง

4.       ทำให้เรานอนหลับ

ตอบ  4  :  ประโยคที่ 1 และ 2

39 .   How many side effects of synthetic sleeping pills are mentioned ?

1.       1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 4

ถาม        ผลข้างเขียงจองยานอนหลับที่ได้จากการสังเคราะห์ที่กล่าวถึงในย่อหน้านี้มีกี่อย่าง ?

1. 1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 4

ตอบ  3  :  ประโยคที่ 3 คือ 1. มีฤทธิ์กดประสาท            2. ลดการทำงานของหัวใจและระบบการหายใจ        

3 . ทำให้ติดยา

40 .   Koella is trying to _______.

1.       Raise the serotonin level in the brain

2.       Drop the serotonin level in the brain

3.       Find a chemical for synthetic sleeping pills

4.       1 and 3 are correct.

ถาม        โคเอลลากำลังพยายามที่จะ _______

1.       เพิ่มระดับเซโรโทนินในสมอง

2.       ลดระดับสารเซโรโทนินในสมอง

3.       หารสารเคมีเพื่อใช้สร้างยานอนหลับแบบสังเคราะห์

4.       ข้อ 1 และ 3 ถูก

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 2 “The Worcester physiologist (นักสรีรวิทยาแห่งสถาบันวอร์เซลเตอร์) ก็คือ Koella ซึ่งกำลังมองหาสารเคมีเพื่อสร้างยานอนหลับตามระบบสรีรวิทยา (physiological sleeping pill) ที่ทำงานโดยการเพิ่มระดับสารเซโรโทนินในสมอง

Part II : Unseen Passages

ส่วนที่ 2 : เนื้อเรื่องนอกตำรา

A : Directions : Read this passage. Then blacken 1 for a true statement, and blacken 2 for a false statement. (1 = True / 2 = False)

คำสั่ง  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วใช้ดินสอดำระบาย 1 หากข้อความนั้นเป็นจริงหรือระบาย 2 หากข้อความนั้นผิด (1 = จริง / 2 = ผิด)

                1Listening is an art which very few of us are capable of. 2We never actually listen. 3The word has a sound and when we do not listen to the sound, we interpret it, try to translate it into our own particular language or tradition. 4We never listen acutely, without any distortion. 5So, the speaker suggests, respectfully, that you so listen and not interpret what he says. 6When you tell a rather exciting story to a little boy, he listens with a tremendous sense of curiosity and energy. 7He wants to know what is going to happen, and he waits excitedly to the very end. 8But we grown – up people lost all that curiosity, the energy to find out, that energy which is required to see very clearly things as are, without any distortion. 9We never listen to each other. 10You never listen to your wife, do you ? You know her much too well, or she you. 11There is no sense of deep appreciation, friendship, amity, which would make you listen to each other, whether you like it or not. 12But if you do listen so completely, that very act of listening is a great miracle.

                1การฟังเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่พวกเราน้อยคนนักจะมีความสามารถในด้านนี้ 2ราไม่เคยฟังอย่างแท้จริง 3คำพูดล้วนมีเสียง และเมื่อเราไม่ได้ฟังเสียงนั้น เราก็จะตีความคำพูดนั้น แล้วพยายามที่จะแปลความหมายมันออกมาเป็นความหมายหรือความเข้าใจเฉพาะของเราเอง 4เราไม่เคยฟังให้ชัดเจนโดยไม่ผิดเพี้ยนใด ๆ เลย 5ดังนั้นผู้ที่เป็นนักพูดจึงแนะนำอย่างสุภาพว่า ให้คุณตั้งใจฟังให้ดีและอย่าไปตีความสิ่งที่เขาพูด 6เมื่อคุณเล่าเรื่องที่ค่อนข้างตื่นเต้นให้เด็กชายคนหนึ่งฟัง เขาฟังด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้และด้วยพลัง 7เขาต้องการรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และเขาก็เฝ้ารอให้ถึงตอนจบของเรื่องอย่างตื่นเต้น 8แต่สำหรับพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่นั้น ความกระหายใคร่รู้แบบนี้ไม่มีอีแล้ว โดยไม่มีบิดเบือนใด ๆ 9เราไม่เคยฟังกันและกันเลย 10คุณไม่เคยฟังภรรยาของคุณเลยไม่ใช่หรือ ก็คุณรู้จักเธอดีเกินไป หรือไม่เธอก็รู้จักคุณดีเกินไป 11ไม่มีความรู้สึกของการนับถือกันอย่างซึ้งใจ ไม่มีความรู้สึกของมิตรภาพ หรือสัมพันธไมตรี ที่จะทำให้คุณสนใจฟังกันและกันมากขึ้น ไม่ว่าคุณชอบมันหรือไม่ก็ตาม 12แต่ถ้าคุณฟังสิ่งต่าง ๆ อย่างครบถ้วนแล้ว นั่นแหละถึงจะทำให้การฟังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่

41 .   According to the author, distortion is inevitable.

ถาม        ตามความคิดเห็นของผู้เขียน การบิดความหมายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ตอบ  2   (ผิด)  :  ผู้เขียนคิดว่า ผู้ใหญ่มักจะฟังกันไม่ค่อยเป็นเพราะชอบบิดเบือนความหมายซึ่งเกิดจากการชอบตีความเข้าข้างตัวเอง โดยการบิดเบือนจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเราตั้งใจฟังอย่างแท้จริงเหมือนการฟังของเด็ก

42 .   Interpreting what you listen to is a kind of distortion in the author’s opinion.

ถาม        กี่ตีความหมายในสิ่งที่คุณฟังเป็นการบิดเบือนความหมายอย่างหนึ่งในความคิดเห็นของผู้เขียน

ตอบ  1  (ถูก)  :  ดูคำอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43 .   The author encourages us to interpret every time we listen.

ถาม        ผู้เขียนแนะนำให้เราตีความหมายทุกครั้งที่เราฟัง

ตอบ  2  (ผิด)  :  ตามเนื้อเรื่อง ผู้เขียนแนะนำให้เราตั้งใจฟังในสิ่งที่คู่สนทนาพูด แต่อย่าไปตีความในสิ่งที่เขาพูด

44 .   The older you become, the more curious you are.

ถาม        จากเนื้อเรื่องนี้ เด็กจะทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีกว่าผู้ใหญ่

ตอบ  1  (ถูก)  :  ผู้เขียนกล่าวว่า เด็กจะตั้งใจฟัง เพราะเด็กมีความกระหายใคร่รู้ แต่ผู้ใหญ่ไมมีความรู้สึกเช่นนี้อีกแล้ว และมักจะคิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว จึงไม่ตั้งใจฟังคู่สนทนา

45 .   The older you become, the more curious you are.

ถาม        ยิ่งคุณมีอายุมากขึ้นเท่าไร คุณก็จะมีความกระหายใคร่รู้มากขึ้นเท่านั้น

ตอบ  2  (ผิด)  :  ตามเนื้อเรื่อง เด็กจะมีความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องต่าง ๆ มากกว่าผู้ใหญ่

46 .   Because we think we know each other well, do not listen attentively.

ถาม        เพราะเราคิดว่าเรารู้จักกันและกันเป็นอย่างดี เราจึงไม่ได้ตั้งใจฟังอีกฝ่ายหนึ่ง

ตอบ  1  (ถูก)  :  ประโยคที่ 10

47 .   In this paragraph, “it” refers to the capacity to listen attentively.

ถาม        ในย่อหน้านี้ “it” อ้างอิงถึงความสามารถในการฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

ตอบ  2  (ผิด)  :  “it” ในประโยคที่ 3 นี้ อ้างอิงถึง “the word”

48 .   The last sentence of the paragraph is a conclusion.

ถาม        ประโยคสุดท้ายของย่อหน้านี้เป็นการกล่าวสรุป

ตอบ  1  (ถูก)  :   เป็นการกล่าวสรุปว่าการฟังที่ดีนั้นเราต้องการฟังอย่างตั้งใจและให้ครบถ้วนถูกต้องชัดเจน

49 .   It is most likely that the author of the paragraph is an artist.

ถาม        น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดว่าผู้เขียนย่อหน้านี้เป็นศิลปิน

ตอบ  2  (ผิด)  :  ผู้เขียนย่อหน้านี้น่าจะเป็นนักสื่อสาร

50 .   The tone of the writing is rather aggressive.

ถาม        น้ำเสียงของงานเขียนชิ้นนี้ค่อนข้างจะรุนแรง

ตอบ  1  (ถูก)  :  ผู้เขียนวิจารณ์พฤติกรรมการฟังของผู้ใหญ่ ซึ่งใช้คำที่แสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรง

B : Directions : Read the following passages and choose the best answer for each question.

คำสั่ง  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

1 .   If western construction companies tried to use bamboo scaffolding instead of steel, their workers would probably go on strike. Climbing to the top of a high – rise building on weds of bamboo tied together by hand seems a dangerous thing to attempt.

2 .   Yet, as anyone who lives in Hong Kong knows, bamboo scaffolding works very well, as it has for the last seven thousand years. Buildings may change and get taller, but old methods – say the Chinese – remain the best. To illustrate this, they tell the table of the typhoon which struck Hong Kong in 1964. There were two buildings side by side, one surrounded by steel scaffolding, the other by bamboo. During the height of the typhoon, the steel scaffolding was ripped off while the bamboo remained. The ability to bend with the wind is as useful for scaffolding as for a Chinese politician.

3 .   The bamboo used locally for scaffolding comes from the plants of the bambusa, a type of giant grass, which grows to a towering one hundred and twenty feet. The support columns for the scaffolding are usually forty feet long, with a base diameter of eight inches.

4 .   Constructing bamboo scaffolding requires a high degree of skill and the experts are very well paid for what they do. Women, having the lightness of touch necessary, are usually regarded as more skilled than men at this kind of work.

1 .   หากบริษัทรับเหมาก่อสร้างในประเทศแถบตะวันตกพยายามที่จะใช้นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่แทนนั่งร้านที่ทำจากเหล็ก คนงานของพวกเขาอาจจะทำการประท้วงได้ เพราะการปีนป่ายขึ้นไปยังยอดตึกสูงบนโครงไม้ไผ่ที่ผูกติดกันด้วยมือนั้น ดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตราย

2 .   แต่กระทำนั้นก็ตาม อย่างที่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในฮ่องกงรู้กัน การที่ใช้นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่นั้นใช้งานได้ดีมากเพราะใช้กันมานานถึง 7,000 ปีแล้ว แม้ว่าตัวอาคารอาจจะเปลี่ยนแปลงไปหรือมีความสูงมากขึ้น แต่วิธีการแบบเก่า ๆ ของชาวจีนก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อทีจะอธิบายให้เห็นภาพของคำกล่าวนี้ พวกเขาเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ครั้งเมื่อพายุไต้ฝุ่นสร้างความเสียหายในฮ่องกงเมื่อปี ค.ศ. 1964 ว่ามีตึก 2หลังอยู่ติดกัน ตึกหลังหนึ่งล้อมรอบไปด้วยนั่งร้านที่ทำจากเหล็ก แต่อีกหลังหนึ่งเป็นนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ ในช่วงที่พายุไต้ฝุ่นพัดกระหน่ำนั้นนั่งร้านที่ทำจากเหล็กพังลงมายับเยิน ในขณะที่นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่คงสภาพเดิมอยู่ ความสามารถในการลู่ไปตามแรงลมถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของนั่งร้านพอ ๆ กับนักการเมืองจีน

3 .   ไม้ไผ่ที่นำมาใช้ทำนั่งร้านใช้กันภายในประเทศนั้นมาจากพืชตระกูล Bambusa ซึ่งเป็นต้นหญ้ายักษ์ชนิดหนึ่งที่มีความสูงของลำต้นถึง120 ฟุต ส่วนลำไม้ไผ่ที่ใช้เป็นโครงของนั่งร้านนั้นปกติแล้วจะมีความยาว 40 ฟุตซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ฐานขนาด 8 นิ้ว

4 .   งานประกอบนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่นี้ต้องอาศัยทักษะความชำนาญอย่างมาก และผู้ที่มีความชำนาญในงานนี้ก็จะได้รับค่าตอบแทนอย่างาม และสำหรับผู้หญิงซึ่งมีความนุ่มนวลในการใช้มือประกอบนั่งร้านนั้นเป็นสิ่งจำเป็น มักจะถือว่ามีทักษะความชำนาญในการทำงานด้านนี้มากกว่าผู้ชาย

51 .   The topic of this passage is ________.

1.     Western construction companies

2.     Steel scaffolding

3.     Bamboo scaffolding

4.     High – rise building

ถาม        หัวเรื่องของย่อหน้านี้คือ ________

1.       บริษัทรับเหมาก่อสร้างในประเทศแถบตะวันตก

2.       นั่งร้านที่ทำจากเหล็ก

3.       นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

4.       อาคารสูง

ตอบ  3   :  ในทุกย่อหน้าล้วนแต่พูดถึงนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

 52 .   Western workers _______ steel scaffolding to bamboo scaffolding.

1.       Climb on

2.       Prefer

3.       Go on strike

4.       Try to use

ถาม        คนงานในประเทศตะวันตก ______ นั่งร้านที่ทำจากเหล็กมากว่านั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

1.       ปีนป่ายขึ้นไป

2.       ชอบ

3.       ประท้วง

4.       พยายามที่จะใช้

ตอบ  2  :  คนงานเหล่านี้ชอบนั่งร้านที่ทำจาเหล็กมากกว่า เพราคิดว่าปลอดภัยกว่านั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

53 .    How is bamboo scaffolding tied together ?

1.       By hand                       

2. By steel           

3. By bamboo    

4. By climbing

ถาม        การผูกนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่นั้นทำได้อย่างไร ?

1.       ด้วยมือ                         

2. ด้วยเหล็ก        

3. ด้วยไม้ไผ่        

4. ด้วยการปีนป่ายขึ้นไป

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 2 ย่อหน้าที่ 1

54 .   In paragraph 2, bamboo scaffolding is better than steel scaffolding in a place like Hong Kong because _______.

1.       It has been used here for a long time

2.       It is favoured by Chinese politicians

3.       It is better for tall buildings

4.       It is more fixable

ถาม        ในย่อหน้าที่ 2 ในบางแห่ง เช่น ฮ่องกง นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ดีกว่านั่งร้านที่ทำจากนักการเมืองจีนเพราะ _______

1.       ฮ่องกงใช้นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่กันมานานแล้ว

2.       ได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองจีน

3.       มันใช้กับตึกสูง ๆ ได้ดีกว่า

4.       มันมีความยืดหยุ่นมากกว่า

ตอบ  4  :  ย่อหน้าที่ 2 กล่าวว่า คุณสมบัติที่พิเศษของนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่คือความสามารถในการลู่ไปตามแรงลม ทำให้ไม้พังลงมาง่าย ๆ โดยการเปรียบเทียบกับนักการเมืองของจีนว่ามีความยืดหยุ่น

55 .   The tale of the typhoon in 1964 is mentioned to prove that bamboo scaffolding can ____ attack off by

1.       Be ripped off by

2.       Work with

3.       Withstand

4.       Protect

ถาม        มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งเกิดพายุไต้ฝุ่น เมื่อปี ค.ศ. 1964 เพื่อต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่านั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ สามารถ _____ การทำลายจากธรรมชาติได้

1.       ถูกทำลายถูกทำลายให้เสียหาย

2.       ทำงานกับ

3.       ต้านทาน

4.       ป้องกัน

ตอบ  3  :  “withstand” มีความหมายว่า ทนทานต่อการล้มหรือถล่มลงมา” ส่วน “protect” มีความหมายว่า ป้องกันให้พ้นจากอันตราย

56 .   What do Chinese politicians and bamboo scaffolding have in common ?

1.       Usefulness

2.       High – headedness

3.       Tolerance

4.       Flexibility

ถาม        นักการเมืองกับนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่มีอะไรที่เหมือนกัน ?

1.       การไม่มีประโยชน์

2.       ความหัวสูง

3.       ความอดทน

4.       ความยืดหยุ่น

ตอบ  4   :  ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

57 .   The main purpose of paragraph 3 is to _______.

1.       Define bambuse and its suitability

2.       Describe a local plant

3.       Explain the of bamboo

4.       state that bamboo is a type of big grass

ถาม        วัตถุประสงค์ของย่อหน้าที่ 3 คือ เพื่อจะ ________

1.       ให้คำจำกัดความของไม้ไผ่ป่าและความเหมาะสมในการใช้งานของมัน

2.       อธิบายเกี่ยงกับต้นไม้พื้นบ้าน

3.       อธิบายถึงประโยชน์ของไม้ไผ่

4.       ชี้ให้เห็นว่าไม้ไผ่เป็นต้นหญ้ายักษ์ชนิดหนึ่ง

ตอบ  1  :  ย่อหน้านี้กล่าวถึงไม้ไผ่ที่นำมาใช้ในการทำนั่งร้านว่าใช้ไม้ไผ่แบบไหนและไม่ไผ่อย่างๆรที่เหมาะสมสำหรับการนำมาทำนั่งร้าน

58 .   Constructing bamboo scaffolding ________.

1.       Is highly paid work

2.       Is highly skilled work

3.       Requires a light touch

4.       Can be done by skilled men and women

ถาม        การประกอบนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ _______

1.       เป็นงานที่ได้เงินดี

2.       เป็นงานที่มีทักษะความชำนาญอย่างมาก

3.       จำเป็นต้องมีการสัมผัสที่เบามือ

4.       ทั้งชายและหญิงที่มีทักษะความชำนาญต่างก็สามารถทำงานนี้ได้

ตอบ  4  :  ย่อหน้าสุดท้าย

59 .   In constructing bamboo scaffolding, what is one advantage of women over men ?

1.       Their flexibility

2.       Their manual skill

3.       Their building expertise

4.       Their weight

ถาม        ในงานประกอบนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ อะไรคือข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของผู้หญิงที่ดีกว่าผู้ชาย

1.       ความยืดหยุ่นของพวกเธอ

2.       ทักษะความชำนาญในการใช้มือของพวกเธอ

3.       ความรู้ความชำนาญในงานกล่องสร้างของพวกเธอ

4.       น้ำหนักตัวของพวกเธอ

ตอบ  2  :  ประโยคสุดท้ายของย่อหน้าสุดท้าย เพราะผู้หญิงจับสิ่งของเบามือกว่าผู้ชาย

60 .   It can be concluded that the writer wants to ________.

1.       Describe bamboo scaffolding

2.       Explain the uses of steel and bamboo scaffolding

3.       Argue that bamboo scaffolding has some advantages over steel

4.       Argue that steel scaffolding has some advantages over bamboo

ถาม        สามารถสรุปได้ว่าผู้เขียนต้องการที่จะ _______

1.       อธิบายเกี่ยวกับนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

2.       อธิบายถึงประโยชน์ของนั่งร้านที่ทำจากเหล็กและที่ทำจากไม้ไผ่

3.       อ้างเหตุผลว่านั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่มีข้อดีบางอย่างมากกว่านั่งร้านที่ทำจากเหล็ก

4.       อ้างเหตุผลว่านั่งร้านที่ทำจากเหล็กมีข้อดีบางอย่างมากกว่านั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

ตอบ  3  :  ผู้เขียนต้องการชี้แจงข้อดีของนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ โดยการเปรียบเทียบกับร้านที่ทำจากเหล็ก

Passage 2

1 .   1Medical science is making remarkable discoveries about the relationship between your state of mind and your mental and physical health. 2Researchers have found that one function of the brain is to produce substances that can improve your health. 3Your brain can create endorphins, which natural painkillers; gamma globulin for fortifying your immune system; and interferon for combating infections, viruses, and even cancer. 4Yourbrain can combine these and other substances into a vest number of tailor – made  prescriptions for whatever ails you.

2 .   1The substances that your brain produces depend in part on your thoughts, feelings, and expectations. 2If your attitude about an illness (or life in general) is negative and you don’t have expectations  that your condition will get better. Your brain may not produce enough of the substances your body needs to heal. 3On the other hand, if your attitude and expectations are more positive, your body’s healing power.

3 .   1Your physical health also has an impact on your brain’s ability to produce substances that affect your mental well – being. 2An illness or injury that causes long – term physical stress can lead to chemical imbalances in the brain. 3These imbalances may lead to depression and other mental health problems.

1 .   1วิทยาศาสตร์การแพทย์ทำให้เกิดการค้นพบออย่างน่าอัศจรรย์เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างภาวะความรู้สึกนึกคิดกับสุขภาพจิตและสุขภาพกายของคุณ 2นักวิจัยค้นพบว่าหน้าที่อย่างหนึ่งของสมองคือ ทำการผลิตสารที่สามารถช่วยให้คุณสุขภาพดีขึ้น 3สมองของคุณสามารถผลิตสารเอ็นโดฟินซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ช่วยลดอาการเจ็บปวดต่าง ๆ สารแกมมาโกลบิวลินซึ่งช่วยในการสร้างเกราะป้องกันให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันของคุณ และสารอินเตอร์เฟียรอนซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อโรค เชื้อไวรัส และแม้แต่โรคมะเร็ง 4สมองของคุณสามารถผสมสารเหล่านี้และสารอื่น ๆ รวมกันเป็นเหมือนยาที่สั่งปรุงโดยเฉพาะจำนวนมากเพื่อรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยใด ๆ ก็ตามที่ทำร้ายคุณ

2 .   1สารที่สมองคุณผลิตมานั้นบางส่วนขึ้นอยู่กับความคิด ความรู้สึก และความคาดหวังของคุณ 2หากทัศนคติของคุณเกี่ยวกับความเจ็บไข้ได้ป่วย (หรือเกี่ยวกับการใช้ชีวิตโดยทั่ว ๆ ไป) เป็นในแง่ลบ และคุณไม่มีความคาดหวังว่าอาการของคุณจะดีขึ้น สมองของคุณก็อาจจะผลิตสารที่ร่างกายของคุณต้องการใช้ในการรักษาเยียวยาอาการของคุณได้ไม่เพียงพอ 3และในทางตรงกันข้าม ถ้าทัศนคติและความคาดหวังของคุณไปในแง่บวก มีแนวโน้มว่าสมองของคุณจะผลิตสารเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ร่างกายของคุณเกิดพลังในการรักษาเยียวยาขึ้นมา

3 .   1นอกจากนี้สุขภาพร่างกายของคุณก็ยังส่งผลต่อความสามารถของสมองในการผลิตสารที่จะมีผลต่อการมีสุขภาพจิตที่ดีของคุณอีกด้วย 2ความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือบาดเจ็บที่สาเหตุให้เกิดความเครียดทางกายในระยะยาวสามารถก่อให้เกิดความไม่สมดุลทางเคมีในสมองได้3และความไม่สมดุลเหล่านี้ก็อาจจะนำไปสู่การเกิดความหดหู่และปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ตามมา

61 .   What is the passage about ?

1.     The relationship between positive attitudes and health

2.     The relationship between a healthy body and healthy mind

3.     The relationship between body healthy and the brain’s capacity

4.     The connection between the substances the brain produces and health

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ?

1.       ความรู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างทันคติในแง่บวกและสุขภาพ

2.       ความเกี่ยวข้องกันระหว่างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและการมีสุขภาพจิตที่ดี

3.       ความเกี่ยวข้องกันระหว่างสุขภาพกับความสามารถของสมอง

4.       ความเกี่ยวข้องกันระหว่างสารที่สมองผลิตกับสุขภาพ

ตอบ  4  :  ผู้เขียนกล่าวถึงความสัมพันธ์กันระหว่างสารในสมองกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตในแง่ที่ว่าสารในสมองมีความสำคัญต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตอย่างไร นั่นคือ สุขภาพจิตใจดี (เกิดสารในสมอง)        ทำให้สุขภาพกายดี (เกิดสารในสมอง)      ทำให้สุขภาพจิตดี

62 .   The brain does not produce _______.

1.       Immune cells

2.       Gamma globulin

3.       Endorphins

4.       Interferon

ถาม        สมองไม่ได้ผลิต ________

1.       เซลล์ที่เป็นภูมิคุ้มกันโรค

2.       สาแกมมาโกลบิวลิน

3.       สารเอ็นโดฟิน

4.       สารอินเตอร์เฟียรอน

ตอบ  4  :  จากปรระโยคที่ 3 สมองผลิตสารเอ็นโดฟิน แมมาโกลบิวลิน และอินเตอร์เฟียรอน

63 .   The number of useful substances the brain produces varies according to your _______.

1.       Physical health

2.       Mental health

3.       Immune system

4.       both 1 and 2

ถาม        จำนวนของสารที่เป็นประโยชน์สมองผลิตขึ้นมานั้นจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ______ ของคุณ

1.       สุขภาพกาย

2.       สุขภาพจิต

3.       ระบบภูมิคุ้มกันโรค

4.       ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ  4  :  สารที่สมองผลิตขึ้นเพื่อช่วยให้เรามรสุขภาพที่ดีขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสุขภาพจิตของเรา (ดังกล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 2) และสุขภาพกายของเรา (ดังกล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 3)

64 .   The main idea of paragraph 2 is in sentence(s) _______.

1. 1                 

2. 2                    

3. 3                     

4. 2 and 3

ถาม        ใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 2 อยู่ในประโยคที่ _______

1. 1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 2 and 3

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 2 และ 3 เป็นรายละเอียดสนับสนุน

65 .   The word “ails” in the first paragraph is similar in meaning to ______.

1.  Boosts          

2. Steals               

3. Affects                            

4. Expects

ถาม        คำว่า “ails” ในย่อหน้าแรกมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า _______

1. กระตุ้น        

2. ซ่อนขโมย                     

3. เป็นผลร้ายทำร้าย        

4. คาดหวัง

ตอบ  3  :  “ails” ในที่นี้เป็นสกรรมกิริยา (vt.) แปลว่า ทำให้เจ็บไข้ไม่สบาย มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “affects”

66 .   The word which links paragraph 3 with paragraph 2 is ______.

1. Your          

2. Also                              

3. Produce                       

4. None

ถาม        คำเชื่อมระหว่างย่อหน้าที่ 3 กับย่อหน้าที่ 2 คือ ______

1. ของคุณ                        

2. นอกจากนี้                       

3. ผลิต                  

4. ไม่มี

ตอบ  2  :  “also” เป็นคำเชื่อมที่ใช้ในการเพิ่มเติมเสริมความของข้อความข้างต้น

67 .   The main idea of paragraph 3 is in sentence(s) _______.

1. 1                    

2. 2                       

3. 3                        

4. 2 และ 3

ถาม        ใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 3 อยู่ในประโยคที่ _______

1.  1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 2 และ 3

ตอบ  1  :  ประโยคอื่น ๆ เป็นการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนข้อความในประโยคแรก

68 .   According to the first paragraph, interferon _______.

1.       Is a netural substance

2.       Functions as an antibody

3.       Is one of the substances that improve health

4.       All are correct.

ถาม        จากย่อหน้าแรก สารอินเตอร์เฟียรอน ________

1.       เป็นสารธรรมชาติที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา

2.       ทำหน้าที่เหมือนแอนตี้บอดี้

3.       เป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่วยทำให้สุขภาพคุณดีขึ้น

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  4  :  ประโยคที่ 2 และ 3 ย่อหน้าที่ 1 “อินเตอร์เฟียรอน” เป็นสารที่สมองผลิตขึ้นมาเพื่อต้านทานเชื้อโรคในร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่เหมือนสารแอนตี้บอดี้ และทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีขึ้น

69 .   Which is correct according to paragraph 3 ?

1.       Poor body health        poor mental health       insufficient substances

2.       Insufficient substances        poor body health       poor mental health

3.       Poor body health        insufficient substances       poor mental health

4.       Poor emotional health      poor body health        insufficient substances

ถาม        ข้อใดถูกต้องตามย่อหน้าที่ 3 ?

1.       สุขภาพกายไม่        สุขภาพจิตแย่        สารไม่เพียงพอ

2.       สารไม่เพียงพอ       สุขภาพกายไม่ดี       สุขภาพจิตแย่

3.       สุขภาพกายไม่ดี       สารไม่พอเพียง      สุขภาพจิตแย่

4.       สุขภาพทางอารมณ์ความรู้สึกแย่      สุขภาพกายไม่ดี      สารไม่เพียงพอ

ตอบ  3  :  ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

 70 .   What is the main idea of the passage ?

1.       The brain produces different kinds of substances.

2.       Scientists have discovered substances that can heal your feelings.

3.       The substances the brain produces are important for your body and mental health.

4.       You should have positive thinking so that you will have good emotional health.

ถาม        ใจความสำคัญของเนื้อเรื่องนี้คืออะไร ?

1.       สมองผลิตสารออกมาต่างชนิดกัน

2.       นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสารที่สามารถช่วยเยียวยารักษาความรู้สึกของคุณได้

3.       สารที่สมองผลิตความสำคัญต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณ

4.       คุณควรจะคิดบวกเพื่อว่าคุณจะได้มีสุขภาพด้านอารมณ์ที่ดี

ตอบ  3   :  ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

Passage 3

1 .   Euclid Lewis dead. On June 17, the 55 – year – old Milwaukee civic activist was killed by two of the 17 bullets first from a semi – automatic handgun. But that’s not why he died.

2 .  Lewis was an innocent bystander. In street slang, he was a “mushroom,” someone who “popped up” in the line of fire. Standing with friends in front of their home when a gun still outside when two slugs hit his chest.

3 .   Milwaukee Police Lt. William Vogl called Lewis’ death from stray bullets “an all – too – familiar stray,” which it has indeed become. So far this year, three of the 58 murder victims in Milwaukee have been innocent bystanders. Three – year – old Christopher Gray Jr. almost became the fourth fatality in May while playing under the watchful eyes of his grandmother, who was sitting on her front porch. Two men suddenly started shooting at each other, and hit Christopher three times in the crossfire.

1 .   ยูคลิด เลวิส เสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน นักต่อสู้เพื่ออิทธิพลเมืองชาวมิลวอกี วัย 55 ปี ถูกฆ่าด้วยลูกกระสุน 2 ใน 17 นัด ที่ยิงจากปืนพกแบบกึ่งอัตโนมัติ ปืนกระบอกนั้นได้ยุติบทบาทการต่อสู้อันยาวนานของเขาในการที่จะขจัด แหล่งมั่วสุมค้ายา” ให้หมดไปจากชุมชนของเขา

2 .   เลวิส เป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ในภาษาสแลง เขาเป็น ดอกเห็ด” คือ ใครคนหนึ่งที่ ผุดขึ้นมา” บนเส้นทางของไฟ ในขณะที่ยืนอยู่หน้าบ้านกับเพื่อน ๆ ของเขา เมื่อเกิดการยิงต่อสู้กับบนถนน เลวิสผลักทุกคนเขาไปในบ้าน แต่เขากลับเป็นคนสุดท้ายที่ยังคงยืนอยู่นอกบ้าน เมื่อลูกกระสุน 2 นัดยิงเข้ามาที่หน้าอกของเขา

3 .   ร้อยตำรวจโทวิลเลียม โวกล์ นายตำรวจเมืองมิลวอกี เรียกการตายของเลวิสจากกระสุนที่พลาดไปยิงเขาว่า เหตการณ์ที่เกิดขึ้นจนชิ้น” ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพียงแค่ปีนี้เท่านั้น เหยื่อที่ถูกฆาตกรรมในเมืองมิลวอกีจำนวน 58 คน มี 3 คนที่เป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เมื่อเดือนพฤษภาคม คริสโตเฟอร์ เกร จูเนียร์ วัย 3 ขวบ ก็เกือบจะเสียชีวิตเป็นรายที่ 4 ในขณะที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ภายใต้การดูแลของคุณยายที่นั่งอยู่ที่ระเบียบหน้าบ้านของท่าน ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่ม 2 คน กระหน่ำยิงต่อสู้กัน และต่างฝ่ายยิงถูกคริสโตเฟอร์ถึง 3 นัด

71 .   What is the passage about ?

1.     Euclid Lewis

2.     Bystander shootings

3.     A social problem

4.     Milwaukee

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ?

1.       ยูคคลิด เลวิส

2.       การยิงถูกชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่

3.       ปัญหาสังคม

4.       มิลวอกี

ตอบ  2  :  เนื้อเรื่องนี้ต้องการพูดถึงเหตุการณ์การยิงโดนชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในเมืองมิลวอกี ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา โดยยกตัวอย่างรายของยูคลิด เลวิส เป็นสำคัญ

72 .   Who was Lewis ?

1.       A civic activist

2.       A policeman

3.       An author

4.       Not mentioned in the passage

ถาม        เลวิสคือใคร ?

1.       นักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง

2.       ตำรวจ

3.       นักเขียน

4.       ไม่ได้กล่าวไว้ในเนื้อเรื่องนี้

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 2 ของย่อหน้าที่ 1 ผู้เขียนให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลวิส

73 .   The word “that” in paragraph 1 refers to _______.

1.       The 55 – year –old Milwaukee civic activist

2.       The fact that the gun put end to his long battle

3.       Two of the 17 bullets fired from a semi – automatic battle

4.       His long battle to get “drug houses” out of his neighborhood

ถาม        คำว่า “that” ในย่อหน้าที่ 1 อ้างอิงถึง ______

1.       นักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองชาวมิลวอกี วัย 55 ปี

2.       ความจริงที่ว่าปืนกระบอกนั้นทำให้การต่อสู้ของเขาต้องสิ้นสุดลง

3.       กระสุน 2 นัดจากทั้งหมด 17 ชนิด ที่ยิงมาจากปืนพกแบบกึ่งอัตโนมัติ

4.       การต่อสู้อันยาวนานของเขาในการที่จะขจัด แหล่งมั่วสุมค้าขาย” ให้หมดไปจากชุมชนของเขา

ตอบ  4  :  การต่อสู้เรียกร้องของเลวิสไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาตาย แต่เขาตายเพราะกระสุนของคนอื่รที่พลาดไปโดนเขาเข้า

 74 .   According to paragraph 1, ________.

1.       Lewis was famous in Milwaukee

2.       Lewis was a very serious man

3.       People were against Lewis

4.       Lewis was addicted to drugs

ถาม        จากย่อหน้าที่ 1 _______

1.       เลวิส เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองมิลวอกี

2.       เลวิส เป็นคนที่จริงจังมาก

3.       ประชาชนพากันต่อต้านเลวิส

4.       เลวิสติดยาเสพติด

ตอบ  1  :  สาเหตุที่ผู้เขียนยกตัวอย่างรายของยูคลิด เพราะเขาเป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองมิลวอกีในฐานะนักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองนั่นเอง

 75 .   Paragraph 2 is about why Lewis _______.

1.       Stayed where he did

2.       Worked his job

3.       Died

4.        was outstanding

ถาม        ย่อหน้าที่ 2 กล่าวถึงสาเหตุที่เลวิส _______

1.       อยู่ในที่ที่เขาอยู่

2.       ทำงานของเขา

3.       ตาย

4.       มีความโดเด่น

ตอบ  3  :  ย่อหน้านี้อธิบายเพิ่มเติมจากย่อหน้าแรกว่า เลวิสตายอย่างไร

76 .   According to paragraph2, the word “mushroom” is ________.

1.       A king of plant

2.       street slang

3.       a group of people

4.       a bullet

ถาม        จากย่อหน้าที่ 2 คำว่า “mushroom” เป็น ______

1.       พืชชนิดหนึ่ง

2.       ภาษาสแลง

3.       คนกลุ่มหนึ่ง

4.       กระสุนปืน

ตอบ  2  :  คำว่า “mushroom” เป็นภาษาสแลง หมายถึง ผู้บริสุทธิ์ที่โดนยิงโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่

77 .   The word “slugs” in paragraph 2 means ________.

1.       Men              

2. Cars                 

3. Policemen                       

4. Bullets

ถาม        คำว่า “slugs” ในย่อหน้าที่ 2 หมายถึง _______

1.  ผู้ชาย            

2. รถยนต์            

3. ตำรวจ                              

4. กระสุนปืน

ตอบ  4  :  ซึ่งสามรารถได้จากวลี “two of the 17 bullets” ในประโยคที่ 2 ย่อหน้าที่ 1

78 .   According to paragraph 3, _______.

1.       Bystander shootings are very familiar in Milwaukee

2.       A three – year –old boy died from bystander shootings

3.       The laws against bystander shootings are very tough

4.       Not to be killed by stray bullets, people avoid staying in the crowd

ถาม        จากย่อหน้าที่ 3 _______

1.       การยิงถูกชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยมากในเมืองมิลวอกี

2.       เด็กชายวัย 3 ขวบคนหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากเป็นการนิงพลาดไปโดนชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่

3.       กฎหมายที่ออกมาควบคุมการยิงพลาดไปโดนชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่นั้นเข้มงวดมาก

4.       เพื่อที่จะไม่ต้องตายเพราะกระสุนลูกหลง ผู้คนจึงหลีกเลี่ยงการอยู่ในฝูงชน

ตอบ  1  :  โดยนอกจากรายของ ยูคลิด เลวิส แล้ว ผู้เขียนยังยกตัวอย่างรายอื่น ๆ อีก

 79 .   The word “fatality” in paragraph 2 is similar in meaning to ______.

1.       Murder                        

2. Injury                              

3. Death                               

4. Accident

ถาม        คำว่า “fatality” ในย่อหน้าที่ 3 มีความหมายเหมือนกับคำว่า _______

1.       การฆาตกรรม               2. การบาดเจ็บ                      3. การตาย                              4. อุบัติเหตุ

ตอบ  3  :  คำว่า   “fatality” เป็นการตายที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติทั่วไป ส่วน “murder” คือ การทำให้ตายโดยมุ่งร้ายและตั้งใจ

80 .   According to the passage, ______.

1.       It is usual for people to possess guns illegally

2.       In front of the houses is the most dangerous place to stay

3.       The person who killed Lewis was associated with the neighborhood’s drug houses

4.       The residents of Milwaukee are at the risk of being murdered from bystander shootings

ถาม        จากเนื้อเรื่องนี้ _______

1.       เป็นเรื่องปกติที่ประชาชนมีปืนไว้ในครอบครองอย่างผิดกฎหมาย

2.       หน้าบ้านเป็นที่ที่อยู่แล้วอันตรายมาที่สุด

3.       คนที่ฆ่าเลวิสเกี่ยวข้องกับแหล่งมั่วสุมค้ายาเสพติดในชุมชน

4.       ชาวมิลวอกีเสี่ยงต่อการถูกฆ่าจากการยิงปืนพลาดไปโดนชาวบ้านไม่รู้อีโหน่อีเหน่

ตอบ  4  :  ทุกย่อหน้ากล่าวถึงการยิงพลาดไปโดนผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่มีความปลอดภัย โดยกล่าวถึงเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นในเมืองมิลวอกีเท่านั้น

Passage 4

                Six men have been trapped in a mine for seventeen hours. If they are not brought to the surface soon they may lose their lives. However, rescue operations are proving difficult. If explosives are used, vibrations will cause the roof of the mine to collapse. Rescue workers are therefore drilling a hole on north side of the mine. They intend to bring the men up in a special capsule. If there had not been a hard layer of rock beneath the soil, they would have completed the job in a few hours. As it is, they have been drilling for sixteen hours and they still have a long way to go. Meanwhile, a microphone, which was lowered into the mine two hours ago, has enabled the men to keep in touch with the closest relatives. Though they are running out of food and drink, the men are cheerful and confident that they will get out soon. They have been told that rescue operations are progressing smoothly. If they knew how difficult it was to drill though the hard rock, they would lose heart.

                ชายหกคนติดอยู่ในเหมืองมา 17 ชั่วโมงแล้ว หากไม่นำพวกเขาขึ้นมาจากเหมืองโดยเร็ว พวกเขาอาจจะเสียชีวิตได้ แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการในการช่วยชีวิตครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก หากจะทำการระเบิดนั้น แรงสั้นสะเทือนจะทำให้เพดานเหมืองถล่มลงมา ดังนั้นหน่วยกู้ภัยจึงทำการเจาะอุโมงค์เข้าไปด้านเหนือของเหมือง พวกเขาตั้งใจจะนำคนเหล่านี้ขึ้นมาด้วยแคปซูลพิเศษ  ถ้าไม่มีชั้นหินแข็ง ๆ อยู่ใต้ดิน พวกเขาก็คงสามารถเจาะอุโมงค์ได้สำเร็จภายในอีกไม่กี่ชั่วโมง แต่เพราะเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงต้องใช้เวลาในการเจาะอุโมงค์ไปแล้วถึง 16 ชั่วโมง และพวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียว ในระหว่างนั้นไมโครโฟน ซึ่งถูกหย่อนลงไปในเหมืองเมื่อ 2ชั่วโมงก่อน ได้ทำให้คนเหล่านี้สามารถติดต่อกับญาติมิตรได้ถึงแม้ว่าพวกเขากำลังขาดอาหารและน้ำ แต่พวกเขาก็ยังคงมีน้ำใจ และมีความมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถออกไปได้ในไม่ช้า มีคนคอยบอกพวกเขาว่าปฏิบัติการกู้ภัยกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น เพราะหากพวกเขารู้ว่าการเจาะอุโมงค์ผ่านเข้าไปในหินที่มีความแข็งมากนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบากเพียงไร พวกเขาอาจจะเสียกำลังใจได้

81 .   For how long have six men been trapped in amine ?

1.       Almost a day

2.       Almost two days

3.       Almost three days

4.       Almost four days

ถาม        ชายทั้งหกคนติดอยู่ในเหมืองนานเท่าไหร่ ?

1.       เกือบ 1 วัน

2.       เกือบ 2 วัน

3.       เกือบ 3 วัน

4.       เกือบ 4 วัน

ตอบ  1  :  จากประโยคแรก “for seventeen hours (เป็นเวลา 17 ชั่วโมง)

82 .   The phrase “lose their lives” in line 2 mean _______.

1.       Be in trouble

2.       Be unconscious

3.       Get sick

4.       Die

ถาม        วลี “lose their lives” ในบรรทัดที่ 2 มีความหมายว่า _______

1.       ประสบปัญหา

2.       หมดสติ

3.       ป่วย

4.       เสียชีวิต

ตอบ  4  :  “lose their lives” เป็นสำนวน แปลว่า เสียชีวิต (die)

83 .   Explosives are not used because ______ the six men in the mine.

1.       There will be a heat which can burn

2.       There will be vibrations which will shake

3.       There will be a  very loud noise which will endanger

4.       The roof of the mine will collapse which will endanger

ถาม        ไม่ได้ใช้วิธีการะเบิด เพราะ _______ ต่อชายทั้ง 6 คนติดที่อยู่ในเหมือง

1.       อาจจะมีความร้อนซึ่งอาจทำให้เกิดการเผาไหม้

2.       อาจจะมีแรงสั้นสะเทือนที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน

3.       อาจจะมีเสียงดังที่ทำให้ตื่นตกใจ

4.       เพดานเหมืองอาจจะถล่มลงมาซึ่งอาจจะเป็นอันตราย

ตอบ  4  :  ประโยคที่ 4

84 .   What are the rescue workers doing to save the six men’s lives ?

1.       Drilling a hole

2.       Using a bomb

3.       Removing the roof of the mine

4.       1 and 2

ถาม        เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยช่วยชีวิตทั้งหกอย่างไร ?

1.       โดยการขุดเจาะอุโมงค์เข้าไป

2.       โดยการใช้ระเบิด

3.       โดยการเอาเพดานเหมืองออก

4.       ข้อ 1 และ 2

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 4 และ 5 กล่าวมี 2 วิธีให้เลือก แต่ในที่สุดก็เลือกที่จะขุดเจาะอุโมงค์เข้าไปเพราะการระเบิดเหมืองนั้นอาจทำให้เหมืองถล่มลงมาทับชายทั้งหกคนได้

85 .   What makes the rescue worker’s job harder ?

1.       A terrible weather

2.       A crowd

3.       A hard layer of rock

4.       Heavy equipment

ถาม        อะไรที่ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยยากขึ้น ?

1.       สุขภาพอากาศที่เลวร้าย

2.       ฝูงชน

3.       ชั้นขิงหินที่มีความแข็งมาก

4.       อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมาก

ตอบ  3  :  ประโยคที่ 7, 8 และ 12

86 .   The phrase “lose heart” in the last line means feeling ______.

1.       Sad               

2. Weak               

3. Hopeless                         

4. Confused

ถาม        วลี “lose heart” ในบรรทัดสุดท้ายหมายถึง ความรู้สึก _______

1. เศร้า              

2. อ่อนแอ            

3. สิ้นหวัง                           

4. สับสน

ตอบ  3  :  “lose heart” มีความหมายว่า สิ้นหวังเสียกำลังใจหมดกำลังใจ

87 .   The clause “it is” in “As it is, …” line 6 refers to _______.

1.       It takes a long time to drill a hole

2.       There is a hard layer of rock beneath the soil

3.       They cannot complete their job in a  few hours

4.       They will bring the men up in a special capsule

ถาม        อนุประโยคที่มีคำว่า “it is” ใน “As it is, …” ในบรรทัดที่ 6 อ้างอิงถึง ______

1.       ใช้เวลานานในการขุดเจาะอุโมงค์เข้าไป

2.       มีชั้นหินที่แข็งมากอยู่ใต้ดิน

3.       พวกเขาไม่สามารถทำงานนี้ให้สำเร็จได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

4.       พวกเขาจะนำคนเหล่านั้นขึ้นมาด้วยแคปซูลพิเศษ

ตอบ  2  :  ประโยคก่อนหน้านี้กล่าวว่า ถ้าไม่มีชั้นหินที่มีความแข็งมากอยู่ใต้ดิน หน่วยกู้ภัยจะใช้เวลาในการเจาะอุโมงค์ไม่กี่ชั่วโมง แต่เพราะมันมีชั้นของหินที่มีความแข็งมากนี่เองจึงทำให้การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบากและใช้เวลานาน

88 .   What makes the six men in the mine still cheerful ?

1.       They can hear the drilling noise.

2.       They are told they can get out soon.

3.       The time they are trapped is not long.

4.       They stay in a group of six not individually.

ถาม        อะไรที่ทำให้ชายทั้งหกคนที่ติดอยู่ในเหมืองยังคงมีกำลังใจ ?

1.       พวกเขาสามารถได้ยินเสียงการขุดเจาะอุโมงค์

2.       มีคนบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะได้ออกมาในไม่ช้า

3.       เวลาที่พวกเขาติดอยู่ในเหมืองนั้นไม่นานมากนัก

4.       พวกเขาทั้งหกคนอยู่กันเป็นกลุ่ม ไม่ได้อยู่คนเดียว

ตอบ  2  :  ประโยคที่ 10 และ 11

89 .   Six men in the mine communicate with the people on the surface though _______.

1.       A letter

2.       A drum

3.       A microphone

4.       Not mentioned in the passage

ถาม        ชายหกคนที่ติดอยู่ในเหมืองติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่ข้างนอกผ่าน ______

1.       จดหมาย

2.       กลอง

3.       ไมโครโฟน

4.       ไม่ได้กล่าวไว้ในเนื้อเรื่อง

ตอบ  3  :  ประโยคที่ 9

90 .   According to the passage, the rescue workers are considering _____ methods to save six men’s live, and they chose the better one.

1.       2                       

2. 3

3. 4                           

4. 5

ถาม        จากเนื้อเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยพิจารนาวิธีการในการช่วยชีวิตทั้งหกคนอยู่ _____วิธีและพวกเขาก็เลือกวิธีหนึ่งที่ดีกว่า

1.       2                    

2. 3                        

3. 4                        

4. 5

ตอบ  1  :  ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ

Passage 5

                1The freeways in Los Angeles, California, are frequently the scenes of death and destruction. 2Nevertheless, the Los Angeles freeways are among the safest in the world. 3For one thing, they are carefully patrolled. 4There are 125 highway patrol officers on the freeways looking for violations. 5The violations that they look for especially are tailgating (following too closely), careless lane changing, going too slowly in the fast lane, speeding, and drunk driving. 6For these other violations, 125 officers give an average of 120,000 tickets a year.

                1The freeways are well engineered. 2There are four extrawide lanes going in each direction. 3Ome is for high speeds, two for average speeds, and one for trucks and slow drivers. 4The freeways are carefully banked for high speeds. 5When you banked into a curve, you feel the banking holding you on the road. 6They are well lighted also, and there are no steep grades or hills blocking visibility.

                1ทางด่วนในเมืองลอสแองเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย มักจะเป็นสถานที่เกิดการตายและความเสียหายอยู่บ่อยครั้ง 2แต่อย่างไรก็ตาม ทางด่วนในลอสแองเจลิสก็ยังว่ามีความปลอดภัยที่สุดในโลก 3เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ มีการตรวจตราความปลอดภัยบนท้องถนนเหล่านี้อย่างเข้มงวด 4มีตำรวจทางหลวง 125 นาย คอยสอดส่องดูแลการฝ่าฝืนกฎจราจร 5การฝ่าฝืนกฎจราจรที่พวกเขาเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ การขับจ่อท้าย (ขับตามติดกันมาก) การเปลี่ยนเลนโดยประมาท การขับรถช้าเกินไปในเลนที่ต้องขับรถเร็ว การขับรถเร็ว และการขับรถขณะเมาสุรา 6สำหรับการฝ่าฝืนกฎจราจรเหล่านี้รวมทั้งกฎข้ออื่น ๆ ตำรวจทางหลวงทั้ง 125 นายนี้ให้ใบสั่งโดยเฉลี่ยแล้วปีละประมาณ 120,000 ใบ

                1ทางด่วนเหล่านี้ถูกออกแบบมาอย่างดี 2มีเลนที่มีความกว้างเป็นพิเศษข้างละ 4 เลน 3เลนหนึ่งสำหรับวิ่งในระดับความเร็วสูง อีก 2 เลนสำหรับความเร็วปานกลาง และอีก 1 เลนสำหรับรถบรรทุกและคนที่ขับรถด้วยความเร็วต่ำ 4ทางด่วนนี้ถูกสร้างให้ลาดเอียงเข้าหาโค้งอย่างเหมาะสมสำหรับการขับขี่ในระดับความเร็วสูง 5เมื่อคุณเลี้ยวโค้ง คุณจะรู้สึกว่าถนนที่ลาดเอียงเข้าหาโค้งจะช่วยประคองให้คุณอยู่บนถนน 6นอกจากนี้ ตามถนนเหล่านี้ยังมีการติดไฟสว่างไสวมาก และไม่มีระดับความสูงชันหรือเนินที่เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น       

91 .   Sentence ______ is the topic sentence of paragraph 1.

1. 1                    

2. 2                       

3. 4                       

4. 6

ถาม        ประโยคที่ _______เป็นประโยคใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 1

1. 1                    

2. 2                       

3. 4                       

4. 6

ตอบ  2  :  ย่อหน้าที่ 1 ผู้เขียนต้องการบอกว่าแม้ทางด่วนในลอสแองเจลิสจะเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ยังเป็นที่ปลอดภัยที่สุดในโลก โดยประโยคที่เหลือให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าปลอดภัยอย่างไร

92 .   ______ major point (s) is / are cited to support the topic sentence in the first paragraph.

1.       One           

2. Two                              

3. Three                            

4. Four

ถาม        มีประเด็นหลัก ๆ ______ ประเด็น ที่กล่าวสนับสนุนประโยคใจความสำคัญในย่อหน้าแรก

1.       1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 4

ตอบ  1  :  ย่อหนน้านี้มีการยกเหตุผลสนับสนุนใจความสำคัญเพียงเหตุผลเดียว (ประโยคที่ 3) โดยมีประโยคที่ 4 – 6 กล่าวสนับสนุนเหตุผลในประโยคที่ 3 อีกหนึ่ง

93 .   Highway patrol officers are especially alert to _______.

1.       Improperly registered vehicles

2.       Careless lane changing

3.       Motorcyclists without helmets

4.       Incorrect hand signals

ถาม        ตำรวจทางหลวงต้องรับผิดชอบดูแลเป็นพิเศษในเรื่อง _______

1.       รถที่จดทะเบียนไม่ถูกต้อง

2.       การเปลี่ยนเลนโดยประมาท

3.       ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกกันน็อค

4.       การใช้สัญญาณมือที่ไม่ถูกต้อง

ตอบ  2  :  ประโยคที่ 5

94 .   ______there are accidents on the freeways of Los Angeles, they are  among the safest in the world.

1. Because                       

2. However         

3. Although                        

4. Due to

ถาม        _______ มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางด่วนในเมืองลอสแองเจสิล แต่ถนนเหล่านี้ก็เป็นถนนที่มีความปลอดภัยที่สุดในโลก

1. เพราะ             

2. แต่อย่างไรก็ตาม             

3. ถึงแม้ว่าแม้ว่า

4. เนื่องจาก

ตอบ  3  :  ประโยคที่ 1 และ 2 เชื่อมที่แสดงถึงความขัดแย้งกัน เช่น although, though, nevertheless, however

95 .   In paragraph 2, sentence ______ is the topic sentence.

1.  1                    

2. 2                       

3. 5                       

4. 6

ถาม        ในย่อหน้าที่ 2 ประโยคที่ ______ เป็นประโยคใจความสำคัญ

1.  1                    

2. 2                        

3. 5                       

4. 6

ตอบ  1  :  ย่อหน้านี้กล่าวว่า ถนนเหล่านี้ถูกสร้างมาอย่างดี (ประโยคที่ 1) ประโยคที่ 2 – 6 อธิบายและบอกถึงลักษณะของถนนเหล่านี้ว่ามีการสร้างไว้ดีอย่างไร

96 .   “One” in sentence 3, paragrage2, refers to _______.

1. Freeway                   

2. Lane                              

3. Direction                      

4. Truck

ถาม        “One” ในประโยคที่ 3 ย่อหน้าที่ 2 อ้างอิงถึง _______

1. ทางด่วน                      

2. เลน                  

3. ทิศทาง                              

4. รถบรรทุก

ตอบ  2  :  “One” เป็น pron. ที่ใช้แทน n. ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำนั้นซ้ำอีกซึ่งในที่นี้ “One” ใช้แทน “lane” ในประโยคที่ 2

97 .   The Los Angeles freeways are _______.

1.       Carefully banked

2.       Surrounded by steel rails

3.       Covered with nonglare asphalt

4.       Embedded with traffic sensors

ถาม        ทางด่วนในลอสแองเจลิส________

1.       ถูกสร้างให้ลาดเอียงเข้าหาโค้งอย่างเหมาะสม

2.       ล้อมรอบด้วยรางเหล็ก

3.       ปุทับด้วยยางมะตอยชนิดไม้สะท้อนแสง

4.       ติดเครื่องตรวจสอบการจราจร

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 4 และ 5

98 .   How many minor details cited in paragraph 2 ?

1.  2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 4

ถาม        มีประโยคสนับสนุนรองกล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 2 กี่ประโยค ?

1.  2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 4

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 1 เป็นใจความสำคัญ และประโยคที่ 2, 4 และ 6 เป็นประโยคสนับสนุนหลัก ส่วนประโยคที่ 3 และ 5 นั้นเป็นประโยคสนับสนุนรองของประโยคที่ 2 และ4

99 .   For which of the following terms does the author supply a definition ?

1.       “patrolled” (line 3)

2.       “violations” (line 4)

3.       “tailgating” (line 4)

4.       “curve” (line 11)

ถาม        คำใดที่ผู้เขียนได้ให้คำจำกัดความไว้ด้วย ?

1.       “patrolled” (บรรทัดที่ 3)

2.       “violations” (บรรทัดที่ 4)

3.       “tailgating” (บรรทัดที่ 4)

4.       “curve” (บรรทัดที่ 11)

ตอบ  3  :  ย่อหน้าแรก ประโยคที่ 5 ผู้เขียนให้ความหมายของคำว่า “tailgating” ไว้ในวงเล็บ (following too closely)

100 .   The main function of the details in this passage is to _______.

1.       Give reasons for an opinion and reveal character

2.       Give examples and advance a sequence of events

3.       Describe and to give reasons for an opinion

4.       Define a topic and set a tone

ถาม        รายละเอียดที่กล่าวไว้ในเนื้อเรื่องนี้โดยหลัก ๆ แล้วต้องการที่จะ ______

1.       ให้เหตุผลสนับสนุนความคิดเห็นและชี้ให้เห็นถึงลักษณะพิเศษของสิ่งนั้น

2.       ยกตัวอย่างและเรียงลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง

3.       อธิบายและให้เหตุผลสนับสุนความคิดเห็นหนึ่ง

4.       กำหนดหัวเรื่องและแสดงน้ำเสียง

ตอบ  1  :  นั่นคือ ผู้เขียนให้เหตุผลสนับสนุนว่าทำไมมันจึงเป็นทางด่วนที่ปลอดภัยที่สุดในโลกในย่อหน้าที่ และบอกว่ามันมีลักษณะพิเศษอย่างไรในย่อหน้าที่ 2

Advertisement