การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 1151 (MCS 1101) ทฤษฎีการสื่อสาร
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว
1.ข้อใดต่อไปนี้ที่ไม่ใช่ความสําคัญของการสื่อสารที่มีต่อมนุษย์
(1) สําคัญต่อการเป็นสังคม
(2) สําคัญต่อการดําเนินชีวิตประจําวัน
(3) สําคัญต่อวัด วัง บ้าน
(4) สําคัญต่อการดําเนินธุรกิจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 6 – 8 ความสําคัญของการสื่อสารที่มีต่อมนุษย์ สามารถแบ่งได้เป็น 5 ประการ คือ
1. ความสําคัญต่อความเป็นสังคม
2. ความสําคัญต่อการดําเนินชีวิตประจําวัน
3. ความสําคัญต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจ
4. ความสําคัญต่อการปกครอง
5. ความสําคัญต่อการเมืองระหว่างประเทศ
2.อวัจนภาษา ตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) Verbal Communication
(2) Verbal Message Codes
(3) Nonverbal Message Codes
(4) Nonverbal Communication.
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 2, (คําบรรยาย) การสื่อสารเชิงอวัจนะ (Nonverbal Communication) คือ การสื่อสาร ที่มีการใช้ภาษาท่าทางเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่ใช่คําพูดหรืออวัจนภาษา (Nonverbal Language) เช่น ตํารวจจราจรคอยให้สัญญาณมือและเป่านกหวีดตามสี่แยกบนท้องถนน, การที่คนสองคนได้พบหน้ากันแล้วต่างก็ยิ้มและพยักหน้าให้แก่กันโดยไม่มีการกล่าววาจาทักทาย การที่น้ำกับปุยฝ้ายยืนอยู่คนละฝั่งถนนแล้ว พยายามกวักมือเรียกปุยฝ้ายให้เดินข้ามถนนมาหาตน เป็นต้น
3.การสื่อสารเชิงวัจนะ ตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) Verbal Communication
(2) Verbal Message Codes
(3) Nonverbal Message Codes
(4) Nonverbal Communication
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 2, (คําบรรยาย) การสื่อสารเชิงวัจนะ (Verbal Communication ) คือ การสื่อสารที่มี การใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งเป็นภาษาที่เป็นคําพูดหรือวัจนภาษา (Verbal Language) เช่น แดงพูดกับคําว่า “ทําไมมาสาย”, ส้มเขียนจดหมายถึงแฟนที่อยู่ต่างประเทศ เป็นต้น
4 การสื่อสารเพื่อการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ภายใน-ภายนอก ตรงกับความสําคัญของการสื่อสารในข้อใดต่อไปนี้
(1) สําคัญต่อสังคมและธุรกิจ
(2) สําคัญต่อชีวิตประจําวันและธุรกิจ
(3) สําคัญต่อการเมืองและธุรกิจ
(4) สําคัญต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 7 – 8 (คําบรรยาย), (ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ) ความสําคัญต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจ คือ วงการอุตสาหกรรมและธุรกิจในปัจจุบันจําเป็นต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยลดปัญหาความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง รวมทั้งสามารถตรวจสอบประชามติ หรือความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่มีต่อองค์กร โดยใช้วิธีการสื่อสารที่เรียกว่า “การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์” ทั้งภายในและภายนอกองค์กรเพื่อเผยแพร่ข่าวสาร
5. นาย ก นั่งอยู่กับนาย ข แล้วพูดกับนาย ข ว่าเมื่อคืนมีขโมยมางัดประตูบ้าน จัดเป็นการสื่อสารประเภทใด ต่อไปนี้
(1) การสื่อสารระหว่างบุคคล
(2) การสื่อสารกลุ่มเล็ก
(3) การสื่อสารปัจเจกบุคคล
(4) การสื่อสารแบบเผชิญหน้า
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5หน้า 39 – 42, (คําบรรยาย) การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) หรืออาจเรียกว่า การสื่อสารปัจเจกบุคคล, การสื่อสารตัวต่อตัว (Person-to-person) และการสื่อสารแบบเผชิญหน้า (Face-to-face) หมายถึง กระบวนการของการติดต่อสื่อสาร หรือการแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบระหว่างบุคคล 2 คน หรือมากกว่านั้นขึ้นไป อาจเป็น 3 คน เป็นการสื่อสารกลุ่มย่อยหรือกลุ่มเล็ก (Small Group) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับจํานวนคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ในแต่ละสถานการณ์ โดยที่ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารสามารถแลกเปลี่ยนสารกันได้โดยตรงผ่านสื่อ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือสื่อที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาก็ได้
6. การสื่อสารของมนุษย์จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิ่งใดต่อไปนี้
(1) ความสัมพันธ์พื้นฐานทางสังคม
(2) หลักความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
(4) หลักความสัมพันธ์ระหว่างคู่การสื่อสาร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 4 จากคําจํากัดความของ “การสื่อสาร” ทั้งหมด สามารถแสดงให้เห็นถึงสิ่งหนึ่งที่ ความหมายเหล่านี้มีร่วมกัน คือ การสื่อสารของมนุษย์จะต้องตั้งอยู่บนหลักของความสัมพันธ์ (Relationship) ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายมีความเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กัน
7. สัญลักษณ์ หรือท่าทางต่าง ๆ ที่ใช้ในการสื่อสาร ตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) รหัสสารเชิงวัฒนะ
(2) รหัสสารเชิงอวัจนะ
(3) การสื่อสารเชิงวัจนะ
(4) การสื่อสารเชิงอวัจนะ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 68, (คําบรรยาย) รหัสสารเชิงอวัจนะ หรือรหัสของสารที่ไม่ใช้คําพูด (Nonverbal Message Codes) ได้แก่ ระบบสัญลักษณ์ สัญญาณ เครื่องหมาย หรือท่าทางต่าง ๆ ที่ใช้ในการสื่อสาร และไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ถ้อยคํา ซึ่งองค์ประกอบของรหัสสารเชิงอวัจนะ ได้แก่ เวลา, พื้นที่ เนื้อที่ และระยะห่าง, อากัปกิริยา (เช่น ภาษากาย ภาษาใบ้), สิ่งของ, ลักษณะทางร่างกาย (เช่น รูปร่าง สีหน้า สีผิว และส่วนสูง) และปริภาษา (สิ่งที่เกิดขึ้นแนบเนื่องกับภาษาพูดและ ภาษาเขียน เช่น การพูดเร็ว/พูดช้า ลายมือบรรจง/ลายมือหวัด ฯลฯ)
8.การสื่อสารสองทางตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) Two-way Communicate
(2) Two-step Flow Communicate
(3) Two-way Communication
(4) Two-step Flow Communication
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 4- 5, 14, 53 – 54 การสื่อสารแบบสองทาง หรือการสื่อสารที่เป็นกระบวนการ 2 วิถี (Two-way Communication) คือ การสื่อสารที่หมายความรวมถึงการรับสาร ปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback) หรือผลย้อนกลับที่เกิดขึ้นเมื่อผู้รับสารได้รับสารแล้วตอบโต้กลับ และอันตรกิริยาหรือปฏิกิริยาที่มีต่อกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร (Interaction)
9.จากเหตุการณ์ระเบิดที่ศาลพระพรหมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ บรรดานักข่าวพบนายกฯ ที่ทําเนียบรัฐบาล จึงพากันสอบถามนายกฯ ว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ เหตุการณ์นี้เป็นการสื่อสารแบบใดต่อไปนี้
(1) การสื่อสารแบบเผชิญหน้า
(2) การสื่อสารกลุ่มเล็ก
(3) การสื่อสารปัจเจกบุคคล
(4) การสื่อสารแบบตัวต่อตัว
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ
10. ขณะที่เราหลับแล้วฝันว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง จัดเป็นการสื่อสารประเภทใดต่อไปนี้
(1) การสื่อสารระหว่างบุคคล
(2) การสื่อสารภายในตัวบุคคล
(3) การสื่อสารเชิงวัจนะ
(4) การสื่อสารเชิงอวัจนะ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 7, 36, 38 – 39 การสื่อสารภายในตัวบุคคล (Intrapersonal Communication) เป็นกระบวนการสื่อสารที่เกิดขึ้นภายในระบบประสาทและความนึกคิดของบุคคล โดยอาศัย ระบบประสาทส่วนกลาง 2 ส่วน คือ Motor Skills ทําหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร และ Sensory Skills ทําหน้าที่เป็นผู้รับสาร ซึ่งการสื่อสารกับตัวเองนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งแบบรู้สึกตัว เช่น การพูดกับตัวเองการร้องเพลงคนเดียว การเล่นเกม (ในคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ) การคิดคํานวณ การนึก การอ่านทวนจดหมายที่ตัวเองเขียนก่อนส่ง ฯลฯ และแบบไม่รู้สึกตัว เช่น การฝัน การละเมอ ฯลฯ
11. ตํารวจจราจรคอยให้สัญญาณมือและเป่านกหวีดตามสี่แยกบนท้องถนน การกระทําเช่นนี้ตรงกับคําตอบ
ข้อใดต่อไปนี้
(1) Verbal Communication
(2) Nonverbal Communication
(3) Verbal Message Codes
(4) Nonverbal Message Codes
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ
12. One-way Communication ตรงกับตัวเลือกใดต่อไปนี้
(1) การดู ชม ฟัง อ่าน สื่อมวลชน
(2) กรเล่นไลน์
(3) การวิดีโอคอล
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 (MCS 1150 (MCS 1100) เลขพิมพ์ 54110 หน้า 26) การสื่อสารทางเดียว (One-way Communication) คือ การสื่อสารที่เกิดจากผู้ส่งสารได้พูดบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสาร และ ส่งไปยังผู้รับสาร เมื่อผู้รับสารได้รับสารแล้วย่อมได้รับผลกระทบจากสารนั้น โดยไม่ได้คํานึงถึง การมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับ (Feedback) เช่น การที่ผู้รับสารดู ชม ฟัง อ่าน สื่อมวลชนต่าง ๆ ในลักษณะที่ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับไปยังผู้ส่งสาร เป็นต้น
13. การสื่อสารที่ไม่บรรลุผลตามเป้าหมายหรือตามเจตนารมณ์ของผู้ส่งสารและผู้รับสาร อาจมีสาเหตุมาจาก
สิ่งใดต่อไปนี้
(1) กรอบแห่งการอ้างอิงต่างกัน
(2) กรอบแห่งการอ้างอิงและประสบการณ์ร่วมต่างกัน
(3) การมีประสบการณ์ร่วมเดียวกัน
(4) การมีประสบการณ์ร่วมต่างกัน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 10, 14, 57, (คําบรรยาย) ในการติดต่อสื่อสารกันอาจมีสิ่งรบกวน (Noise) ที่ทําให้
การสื่อสารไม่บรรลุผลตามเป้าหมายหรือตามเจตนารมณ์ของผู้ส่งสารและผู้รับสาร ทําให้เกิด ความล้มเหลวในการสื่อสารขึ้น (Communication Breakdown) เช่น วัตถุประสงค์ของ ผู้ส่งสารและผู้รับสารไม่ตรงกัน, สารที่ใช้ในการสื่อสารไม่ชัดเจน, กรอบแห่งการอ้างอิงและ ประสบการณ์ร่วมหรือภูมิหลังที่แตกต่างกัน ฯลฯ
14. การที่บุคคลอยากหาซื้อสินค้าแล้วเข้าไปเปิดอ่านโฆษณาจากเพจขายสินค้าในสื่อสังคมออนไลน์นั้น ถือว่ามีวัตถุประสงค์ของการสื่อสารตรงกับตัวเลือกใดต่อไปนี้
(1) เพื่อทราบ
(2) เพื่อการตัดสินใจ
(3) เพื่อความบันเทิง
(4) เพื่อความรู้
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 13 – 14 วัตถุประสงค์ของผู้รับสารประการหนึ่ง คือ เพื่อใช้ในการตัดสินใจหรือกระทํา สิ่งใดสิ่งหนึ่ง (Decide or Dispose) หมายถึง ผู้รับสารศึกษาทางเลือกต่าง ๆ เพื่อตัดสินใจ หรือกระทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การที่ผู้รับสารดู ซม ฟัง อ่านโฆษณาเพื่อตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้า หรือไม่ซื้อ, การฟังผู้สมัครรับเลือกตั้งปราศรัยหาเสียง ฯลฯ
15. การบอกกล่าวเรื่องราว หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไปยังประชาชนผู้รับสาร ตรงกับวัตถุประสงค์ ของผู้ส่งสารในตัวเลือกข้อใดต่อไปนี้
(1) แจ้งให้ทราบ
(2) เพื่อทราบ
(3) เพื่อให้การศึกษา
(4) เพื่อศึกษา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 10 – 11 วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารประการหนึ่ง คือ เพื่อแจ้งให้ทราบ (Inform) หมายถึง ผู้ส่งสารต้องการบอกกล่าวหรือชี้แจงข่าวสาร เรื่องราว เหตุการณ์ ข้อมูลหรือสิ่งอื่นใดที่เกิดขึ้น ในสังคมไปยังประชาชนผู้รับสารให้ได้รับทราบหรือเกิดความเข้าใจ เช่น รายการข่าว วิเคราะห์ข่าว สนทนาเหตุการณ์บ้านเมือง ฯลฯ
16. การสื่อสารจะประสบความสําเร็จมักมีองค์ประกอบหลายประการ แต่ข้อใดต่อไปนี้ที่ยกเว้น
(1) ปฏิกิริยาตอบกลับ
(2) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งและผู้รับ
(3) การรับรู้ความหมายร่วมกันได้
(4) ความคุ้นเคย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 4 – 5, 14, (คําบรรยาย) องค์ประกอบที่ทําให้การสื่อสารประสบความสําเร็จ มีดังนี้
1. วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารและผู้รับสารสอดคล้องตรงกัน
2. การมีปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback)
3. ปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร
4. การรับรู้ความหมายร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย
5. กรอบแห่งการอ้างอิงและประสบการณ์ร่วมหรือภูมิหลังที่คล้ายคลึงกัน ฯลฯ
17. การสื่อสารที่มีการใช้ภาษาท่าทางเป็นสิ่งสําคัญ ตรงกับตัวเลือกใดต่อไปนี้
(1) Verbal Communication
(2) Nonverbal Communication
(3) Verbal Communicate
(4) Nonverbal Communicate
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ
18. การที่คนสองคนได้พบหน้ากันแล้วต่างก็ยิ้มและพยักหน้าให้แก่กันโดยไม่มีการกล่าววาจาทักทาย การกระทํา ดังกล่าวนี้ถือเป็นการสื่อสารในรูปแบบใด
(1) การสื่อสารระหว่างบุคคล
(2) การสื่อสารเชิงอวัจนะ
(3) การสื่อสารปัจเจกบุคคล
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ
19. การที่น้ํากับปุยฝ้ายยืนอยู่คนละฝั่งถนนแล้วน้ําพยายามกวักมือเรียกปุยฝ้ายให้เดินข้ามถนนมาหาตน
พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการสื่อสารในรูปแบบใด
(1) การสื่อสารเชิงวัฒนะ
(2) การสื่อสารเชิงวัจนะและอวัจนะ
(3) การสื่อสารเชิงอวัจนะ
(4) การสื่อสารกึ่งอวัจนะ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ
20. การที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีภาษาพูดที่แตกต่างกันแล้วมาคุยกัน หากคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้ส่ง และผู้รับสารเป็นเกณฑ์ นับเป็นการสื่อสารประเภทใดต่อไปนี้
(1) การสื่อสารแบบเผชิญหน้า
(2) การสื่อสารแบบตัวต่อตัว
(3) การสื่อสารระหว่างบุคคล
(4) การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 44 – 45 ทฤษฎีการสื่อสารขั้นพื้นฐานที่แบ่งโดยคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้ส่งสาร และผู้รับสารเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. การสื่อสารระหว่างเชื้อชาติ (Interracial Communication)
2. การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม (Cross-cultural or Intercultural Communication)
3. การสื่อสารระหว่างประเทศ (International Communication)
21. ซีเบอร์ต ปีเตอร์สัน และชแรมม์ ได้เขียนหนังสือชื่อ Four Theories of the Press ไว้ในปี พ.ศ. ใดต่อไปนี้
(1) 2496
(2) 2497
(3) 2498
(4) 2499
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 15 – 16 ในปี ค.ศ. 1956 (พ.ศ. 2499) ซีเบอร์ต (Siebert), ปีเตอร์สัน (Peterson) และชแรมม์ (Schramm) ได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า Four Theories of the Press ซึ่งหนังสือ เล่มนี้ได้บรรยายเปรียบเทียบทฤษฎีหรือแนวคิดในเชิงปรัชญาการเมืองเกี่ยวกับการใช้และ การควบคุมสื่อมวลชนในประเทศต่าง ๆ ที่มีระบบการเมืองและเศรษฐกิจแตกต่างกัน
22. ผู้ที่แนะนําวิธีแสวงหาความรู้แบบ “อุปมานอย่างมีเหตุผล” คือผู้ใดต่อไปนี้
(1) อริสโตเติล
(2) ฟรานซิส เบคอน
(3) อริสโตเติล เบคอน
(4) ฟรานซิส อริสโตเติล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 27 – 28 ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) เป็นผู้คิดค้นวิธีตั้งสมมุติฐานที่เกิดขึ้นโดย วิธีอุปนัย (Induction) หรือการอุปมานอย่างมีเหตุผล ซึ่งเป็นสมมุติฐานที่เขียนขึ้นโดยที่ผู้วิจัย หรือผู้สํารวจขาดความรู้ ขาดประสบการณ์ หรือเรื่องนั้นไม่เคยมีผู้ใดทําการวิจัยมาก่อน ดังนั้น ผู้วิจัยจึงต้องใช้วิธีการวิจัยขั้นสํารวจมาช่วยเพื่อให้สามารถสร้างสมมุติฐานขึ้นมาเองได้ ทั้งนี้ ถือเป็นวิธีการที่ได้ความรู้โดยการศึกษาคุณลักษณะของข้อมูลทีละหน่วย (Unit) หลาย ๆ หน่วย
23. องค์ประกอบหลัก ๆ ของทฤษฎีมีกี่ประการ
(1) 4 ประการ
(2) 5 ประการ
(3) 6 ประการ
(4) 7 ประการ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 19 – 20 (คําบรรยาย) ทฤษฎีมีองค์ประกอบหลัก ๆ ที่เป็นพื้นฐานสําคัญ 4 ประการ คือ
1. ชื่อแนวความคิด มีหน้าที่และความสําคัญในเรื่องการบรรยายและแยกประเภท
2. สมมุติฐาน มีหน้าที่และความสําคัญในเรื่องการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี วัตถุประสงค์ในการวิจัย และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นกรอบในการสร้างคําตอบล่วงหน้า หรือกําหนดสมมุติฐานในการวิจัย เป็นต้น
3. นิยาม มีหน้าที่และความสําคัญในเรื่อง ความหมายและการวัด เช่น การกําหนดความหมายของตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาวิจัย เป็นต้น
4. ความเชื่อม มีหน้าที่และความสําคัญในเรื่องเหตุผลและการทดสอบ (ทั้งนี้ทฤษฎีที่สมบูรณ์จริง ๆ ต้องมีองค์ประกอบทั้งหมด 6 ประการ)
24. จากความหมายของทฤษฎีที่เคอร์ลินเจอร์กล่าวไว้ สามารถแยกเป็นความหมายย่อย ๆ ในข้อใดต่อไปนี้ (1) มีปัญหาที่ต้องพิสูจน์หรือแสดง
(2) มีข้อความสมมุติ
(3) มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 15, (คําบรรยาย) จากคําจํากัดความของทฤษฎีตามที่เคอร์ลินเจอร์ (Kerlinger) ได้กล่าวไว้นั้น สามารถแยกแยะความหมายของทฤษฎีได้ 3 ประการ ดังนี้
1. กลุ่มของข้อความสมมุติหรือปัญหาที่จะต้องพิสูจน์หรือแสดง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือสมมุติฐาน
2. มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ซึ่งเมื่อปฏิบัติลงไปแล้วจะแสดงผลให้เห็นอย่างเป็นระบบ ถีงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
3. มีการบอกทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
25. ในกระบวนการวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งทฤษฎี จะต้องเริ่มต้นจากสิ่งใดต่อไปนี้
(1) มีปัญหา
(2) มีแนวคิด ทฤษฎี
(3) มีวัตถุประสงค์
(4) มีสมมุติฐาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 22 (คําบรรยาย) ในกระบวนการวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งทฤษฎี จะต้องเริ่มต้นที่ปัญหาของ การวิจัยที่ต้องการค้นหาคําตอบ แล้วจึงพิสูจน์ทดลอง วิเคราะห์ผล วัดผล จนเริ่มมีแนวคิดที่จะ อธิบายออกมาเป็นทฤษฎี โดยอาศัยการสังเกตค้นคว้าจากแนวการดําเนินงานอย่างมีระบบ ตามระเบียบวิธีวิจัย
26. การสร้างคําตอบล่วงหน้าในการวิจัย สามารถใช้สิ่งใดต่อไปนี้มาเป็นกรอบในการสร้าง
(1) แนวคิดและทฤษฎี
(2) วัตถุประสงค์ในการวิจัย
(3) วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ
27. ในกระบวนการวิจัยเชิงปริมาณ สิ่งที่ค้นพบจะเป็นที่ยอมรับได้ หรือมีความเป็นวิทยาศาสตร์ จะต้อง
อาศัยสิ่งใดต่อไปนี้
(1) ระเบียบวิธีวิจัย
(2) สถิติ
(3) แนวคิดและทฤษฎี
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ), (คําบรรยาย) ในกระบวนการวิจัยเชิงปริมาณ เมื่อนิยามหรือ กําหนดความหมายของตัวแปรแล้ว เราจะวัดตัวแปรเหล่านั้นเพื่อให้สิ่งที่ค้นพบเป็นที่ยอมรับได้ และมีความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยสิ่งต่าง ๆ ดัง ดังนี้
1. ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)
2. การใช้สถิติ
3. การสร้างข้อคําถามในการวัด
4. การใช้ข้อความสมมุติ (การตั้งสมมุติฐาน)
5. ใช้การสังเกตและทดลอง
28. องค์ประกอบของทฤษฎีในส่วนของความเชื่อม มีความสําคัญต่อสิ่งใดต่อไปนี้
(1) บรรยายและแยกประเภท
(2) วิเคราะห์
(3) เหตุผลและการทดสอบ
(4) ความหมายและการวัด
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ
29. การกําหนดความหมายของตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาวิจัย นับเป็นองค์ประกอบของทฤษฎีในตัวเลือกใด
ต่อไปนี้
(1) ชื่อแนวคิด
(2) สมมุติฐาน
(3) นิยาม
(4) การจัดลําดับสมมุติฐาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ
30. ข้อใดต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของแบบจําลอง
(1) หน้าที่ในการจัดระเบียบ
(2) หน้าที่ในการทํานายหรือคาดการณ์
(3) หน้าที่ในการเป็นเครื่องมือที่แสดงภาพรวมทั้งหมด
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 30 – 31 หน้าที่ของแบบจําลองมี 4 ประการด้วยกัน คือ
1. จัดระเบียบและเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน
2. ทํานายหรือคาดการณ์เกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ
3. เป็นเครื่องมือแสดงภาพรวมทั้งหมดที่สลับซับซ้อนให้เป็นภาพหรือรูปที่ง่ายแก่การเข้าใจ
4. ทําให้ผู้ทํานายกําหนดทางเลือกหลาย ๆ ทางที่เกี่ยวเนื่องกับผลลัพธ์หรือสิ่งที่ได้คาดคะเนไว้
31. การที่กล่าวว่า หากมีปรากฏการณ์สองปรากฏการณ์ คือ A กับ B เกิดขึ้น เราสามารถใช้สิ่งใดต่อไปนี้ มากำหนดว่า หากมี A เกิดขึ้น B จะเกิดขึ้นตามมา
(1) ทฤษฎี
(2) ตัวแปร
(3) สมมุติฐาน
(4) แนวคิด
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 21 – 22 ทฤษฎีจะมีหน้าที่สําคัญประการหนึ่ง ได้แก่ การทํานายหรือคาดคะเน หมายถึง การคาดคะเนความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์อย่างน้อย 2 ปรากฏการณ์ หรือเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์หนึ่งทั้งในปัจจุบันและอนาคต เช่น เหตุการณ์ A กับ เหตุการณ์ 8 ทฤษฎีจะช่วยคาดคะเนได้ว่า ในสถานการณ์หนึ่ง ถ้ามี A เกิดขึ้น B ก็จะเกิดขึ้น ตามมา หรือถ้ามี B แล้วจะมี A เป็นต้น
32. จากข้อ 31. นับเป็นการใช้ตามหน้าที่ใดต่อไปนี้
(1) อธิบาย
(2) ทํานาย
(3) คาดคะเน
(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ
33. จากการบรรยายในชั้นเรียนวิชานี้ หากจะต้องให้คําจํากัดความของคําว่า เจตคติต่อวิทยาศาสตร์
จะหมายถึงข้อใดต่อไปนี้
(1) การมีความสนใจวิทยาศาสตร์
(2) การเห็นความสําคัญของวิทยาศาสตร์
(3) ความมีเหตุผล
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 20, (คําบรรยาย) คําว่า “เจตคติต่อวิทยาศาสตร์” สามารถให้คําจํากัดความหรือ คํานิยามตามองค์ประกอบของทฤษฎีได้ ดังนี้
1. คํานิยามเชิงทฤษฎี หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็น และแนวโน้มการแสดงออกของ บุคคลที่มีต่อวิทยาศาสตร์
2. คํานิยามเชิงปฏิบัติ หมายถึง การมีความสนใจและการเห็นความสําคัญของวิทยาศาสตร์
34. จากการบรรยายในชั้นเรียนวิชานี้ หากจะต้องให้คําจํากัดความของคําว่า เจตคติทางวิทยาศาสตร์
จะหมายถึงข้อใดต่อไปนี้
(1) การมีความสนใจวิทยาศาสตร์
(2) การเห็นความสําคัญของวิทยาศาสตร์
(3) ความมีเหตุผล
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 20, (คําบรรยาย) คําว่า “เจตคติทางวิทยาศาสตร์” สามารถให้คําจํากัดความหรือ คํานิยามตามองค์ประกอบของทฤษฎีได้ ดังนี้
1. คํานิยามเชิงทฤษฎี หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็น และแนวโน้มการแสดงออกของบุคคลที่ แสดงถึงคุณลักษณะนิสัย อันเกิดจากการศึกษาหาความรู้โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2. คํานิยามเชิงปฏิบัติ หมายถึง ความมีเหตุผล ความสนใจใฝ่รู้ ความซื่อสัตย์ และความมีใจกว้าง
35. ในกระบวนการวิจัยเชิงปริมาณ เมื่อกําหนดความหมายของตัวแปรแล้ว เราจะวัดตัวแปรเหล่านั้นได้ด้วย
วิธีการใดต่อไปนี้
(1) สร้างข้อคําถามในการวัด
(2) ใช้สถิติ
(3) ใช้การสมมุติ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ
36. จากข้อ 35. เราจะต้องทําอย่างไรต่อไปเพื่อให้การศึกษาของเรามีความน่าเชื่อถือและยอมรับได้
ทางวิทยาศาสตร์
(1) ใช้การทดลอง
(2) ใช้สถิติ
(3) ใช้การสังเกต
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ
37. แบบจําลองมีประโยชน์อย่างไรต่อไปนี้
(1) นํามาใช้อธิบายตัวแปรต่าง ๆ
(2) ทําให้เรื่องยากลดความซับซ้อน
(3) สามารถสร้างความเกี่ยวโยงของตัวแปรที่ศึกษาได้ชัดเจน
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 32 ประโยชน์ของแบบจําลอง มีดังนี้
1. นํามาใช้อธิบายตัวแปรต่าง ๆ และสร้างความเกี่ยวโยงกันของตัวแปรที่ศึกษาได้อย่าง
ชัดเจนกว่าการอธิบายทฤษฎีหรือแนวคิดด้วยการเขียนคําอธิบายหรือการใช้คําพูด
2. ทําให้เรื่องยากที่สลับซับซ้อนลดความซับซ้อนลงได้ โดยอาศัยภาพเชิงเส้นจําลองเป็น
กระบวนการทั้งหมด
3. ทําให้นักวิชาการหรือนักวิจารณ์ในสาขานั้น ๆ ทํางานได้ง่ายขึ้น
38. การกําหนดสมมุติฐานในการวิจัย มักได้มาจากสิ่งใดต่อไปนี้
(1) แนวคิด
(2) ทฤษฎี
(3) วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ
39. จากตัวอย่างงานวิจัยที่ได้บรรยายในชั้นเรียน สามารถใช้สิ่งใดต่อไปนี้มาเป็นกรอบในการศึกษา
(1) แนวคิดการเปิดรับสื่อ
(2) ทฤษฎีการใช้ประโยชน์และความพึงพอใจ
(3) แนวคิดเกี่ยวกับลักษณะทางประชากรศาสตร์
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 33. และ 34. ประกอบ), (คําบรรยาย) จากตัวอย่างงานวิจัยที่ได้บรรยายใน ชั้นเรียน สามารถใช้แนวคิดและทฤษฎีมาเป็นกรอบในการศึกษา ดังนี้
1. แนวคิดเกี่ยวกับลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของ ครอบครัว แผนการเรียน ฯลฯ
2. ทฤษฎีการอบรมบ่มเพาะจากสื่อ หรือแนวคิดการเปิดรับสื่อ (ในที่นี้คือ การเปิดรับรายการ วิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์ ได้แก่ ความถี่ และความตั้งใจในการเปิดรับ)
3. ทฤษฎีการใช้ประโยชน์และการตอบสนองความพึงพอใจที่ได้รับจากสื่อ (ในที่นี้คือ ความพึงพอใจรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์ ได้แก่ รูปแบบและเนื้อหารายการ)
40. อริสโตเติล กล่าวถึง การอนุมานอย่างมีเหตุผลว่า แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนตามลําดับอะไรบ้าง
(1) ข้อเท็จจริงหลัก ข้อเท็จจริงรอง ข้อสรุป
(2) ข้อสรุป ข้อเท็จจริงรอง ข้อเท็จจริงหลัก
(3) ข้อเท็จจริงรอง ข้อเท็จจริงหลัก ข้อสรุป
(4) ข้อเท็จจริงหลัก ข้อสรุป ข้อเท็จจริงรอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 27 อริสโตเติล (Aristotle) เป็นผู้คิดค้นและนําวิธีการตั้งสมมุติฐานที่เกิดขึ้นโดยนิรนัย (Deduction) หรือการอนุมานอย่างมีเหตุผลมาใช้ ซึ่งเป็นสมมุติฐานที่เกิดขึ้นจากการคาดการณ์ คําตอบที่คาดหวังจากการวิจัยของผู้วิจัย โดยอาศัยหลักเหตุผล ความรู้ ประสบการณ์ ผลงาน การวิจัยที่มีมาก่อน หรือจากสามัญสํานึก หรือเป็นสมมุติฐานที่นิรนัยมาจากทฤษฎี ทั้งนี้สามารถ แบ่งวิธีอนุมานออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1. ข้อเท็จจริงหลัก 2. ข้อเท็จจริงรอง 3. ข้อสรุป
41.นอกจากคําว่า ทฤษฎี ยังมีคําศัพท์อื่นที่ใช้แทนกันได้ คําศัพท์นั้นตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) Theory
(2) Model
(3) Paradigm
(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 20 นอกจากคําว่า “ทฤษฎี” (Theory) แล้ว ยังมีศัพท์อื่นอีก 2 คํา ที่ใช้สับเปลี่ยน คํา ที่
แทนกันอยู่เสมอ คือ Model และ Paradigm ซึ่งความจริงแล้วทั้ง 3 คํา มีความหมายที่ คล้ายคลึงกันมาก แตกต่างกันเฉพาะในสาระปลีกย่อยเท่านั้นเอง
42. ทฤษฎีที่คิดค้นและวิวัฒนาการหรือยืมมาจากสาขาวิชาอื่น ตรงกับตัวเลือกข้อใดต่อไปนี้
(1) Theory
(2) Model
(3) Paradigm
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 21 Paradigm หมายถึง แบบจําลองหรือทฤษฎีที่ประดิษฐ์คิดค้นและวิวัฒนาการ มาจากศาสตร์หรือวิชาการ (Discipline) ต่างสาขากัน หรือยืมมาจากสาขาวิชาอื่น ส่วน Model หมายถึง แบบจําลองหรือทฤษฎีที่ประดิษฐ์คิดค้นและวิวัฒนาการหรือพัฒนา มาจากศาสตร์ภายในสาขาวิชาแขนงเดียวกัน
43. สมมุติฐานที่เกิดขึ้นโดยการคาดการณ์คําตอบที่คาดหวังจากการวิจัยของผู้วิจัย โดยอาศัยหลักเหตุผล ความรู้ และประสบการณ์ เรียกว่าอย่างไร
(1) Deduction
(2) Deductive
(3) Induction
(4) Inductive
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ
44. เหตุใดจึงมีผู้กล่าวไว้ว่า ทฤษฎีกับการวิจัยเป็นของคู่กัน
(1) ทฤษฎีช่วยแนะแนวการวิจัย
(2) ทฤษฎีกําหนดขอบเขตการวิจัย
(3) ผลการวิจัยช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าของทฤษฎี
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 22, (คําบรรยาย) ร.ศ.อรนุช เลิศจรรยารักษ์ และอาจารย์ดาราวรรณ สุขุมาลชาติ กล่าวไว้ ในหนังสือทฤษฎีการสื่อสารเบื้องต้นว่า ทฤษฎีเป็นบรรทัดฐานในการแนะแนวการวิจัยและยังช่วย กําหนดขอบเขตการวิจัยได้ ส่วนผลการวิจัยก็เป็นสิ่งเกื้อหนุนหรือช่วยส่งเสริมให้ทฤษฎีก้าวหน้าได้
และขณะเดียวกันการวิจัยก็เป็นสิ่งที่ทําให้ได้มาซึ่งทฤษฎี ดังนั้นทฤษฎีกับการวิจัยจึงเป็นของคู่กัน
45. ตั้งแต่เกิดจนโต ฟ้าอยู่เมืองไทยมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นจะต้องร้องเพลงชาติไทยได้ จัดเป็นการอนุมาน แบบใดต่อไปนี้
(1) ข้อสรุปถูกต้อง
(2) ข้อเท็จจริงหลักไม่แน่นอนเสมอไป
(3) จริงแท้แน่นอน
(4) หลักจริงแท้แน่นอน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 27, (ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ) วิธีการอนุมานอย่างมีเหตุผลข้างต้น จําเป็นต้องอาศัย ข้อเท็จจริงหลักเป็นสําคัญ เพราะถ้าไม่มีข้อเท็จจริงหลัก การได้ความรู้ด้วยวิธีนี้จะไม่สามารถ เกิดขึ้นได้ หรือถ้ามีข้อเท็จจริงหลักแต่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป การสรุปก็จะไม่มี ความหมาย เช่น คนที่อยู่เมืองไทยต้องพูดภาษาไทยได้ (ข้อเท็จจริงหลัก) ตั้งแต่เกิดจนโต ฟ้าอยู่เมืองไทยมาโดยตลอด (ข้อเท็จจริงรอง) เพราะฉะนั้นจะต้องร้องเพลงชาติไทยได้ (ข้อสรุป) ในกรณีนี้ข้อสรุปอาจไม่ถูกต้อง เพราะข้อเท็จจริงหลักไม่แน่นอนเสมอไปว่าจะเป็นจริง เนื่องจากคนที่อยู่เมืองไทยมาโดยตลอดอาจเป็นคนต่างชาติที่พูดภาษาไทยไม่ได้
46. รูปแบบการสื่อสารแบบใดต่อไปนี้เหมาะสมที่สุดสําหรับการสื่อสารมวลชน
(1) รูปแบบการสั่งการ
(2) รูปแบบการบริการ
(3) รูปแบบการเป็นสมาชิก
(4) รูปแบบความพึงพอใจ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 113 – 116 รูปแบบของการสื่อสาร แบ่งออกได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
1. แบบการสั่งการ (Command Mode) คือ ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร จะไม่มีความเสนอภาคกัน
2. แบบการบริการ (Service Mode) คือ ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารจะมี สถานภาพเท่าเทียมกัน ซึ่งถือเป็นรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดสําหรับกระบวนการสื่อสารมวลชน
3. แบบการเป็นสมาชิก (Association Mode) คือ รูปแบบของการสื่อสารจะเป็นแบบอย่าง ของความผูกพันหรือการแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน
47. รูปแบบการสื่อสารใดต่อไปนี้ที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีสถานภาพเท่าเทียมกัน
(1) รูปแบบการสั่งการ
(2) รูปแบบการบริการ
(3) รูปแบบการเป็นสมาชิก
(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ
48. รูปแบบการสื่อสารแบบบริการ เกี่ยวข้องกับสิ่งใดต่อไปนี้
(1) Audience Behavior
(2) Media Audience Link
(3) Mass Society
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 117 รูปแบบของการสื่อสารแบบการบริการ (Service Mode) ตรงกับประเด็นของ ทฤษฎีสื่อสารมวลชน ดังนี้
1. Commercialization (การค้าการพาณิชย์)
2. Audience Behavior (พฤติกรรมของผู้รับสาร)
3. Communication Market (ตลาดการสื่อสาร) 4. Information Society (สังคมข้อมูลข่าวสาร)
49. รูปแบบการสื่อสารแบบการสั่งการ เกี่ยวข้องกับสิ่งใดต่อไปนี้
(1) Audience Behavior
(2) Media Audience Link
(3) Mass Society
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3
หน้า 117 รูปแบบของการสื่อสารแบบการสั่งการ (Command Mode) ตรงกับประเด็น ของทฤษฎีสื่อสารมวลชน ดังนี้
1. Propaganda (การโฆษณาชวนเชื่อ)
2. Manipulation (การจัดการ)
3. Mass Society (สังคมมวลชน)
4. Class Dominance (การมีอิทธิพลเหนือกว่าด้านชนชั้น)
50. รูปแบบการสื่อสารแบบการเป็นสมาชิก เกี่ยวข้องกับสิ่งใดต่อไปนี้
(1) Audience Behavior
(2) Media Audience Link
(3) Mass Society
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 117 รูปแบบของการสื่อสารแบบการเป็นสมาชิก (Association Mode) ตรงกับประเด็น
ของทฤษฎีสื่อสารมวลชน ดังนี้
1. Participation and Interaction (การมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์)
2. Social Fragmentation (การแบ่งแยกทางสังคม)
3. Normative Media Theory (ทฤษฎีสื่อปทัสถาน)
4. Media Audience Link (ความเกี่ยวข้องของผู้รับสารกับสื่อ)
51. ผู้ใดต่อไปนี้บอกว่าสังคมใดต้องการก้าวเข้าสู่ความเป็นสากลมักไม่สามารถหลีกเลี่ยงวัฒนธรรมมวลชนได้
(1) Bluner
(2) Baumer
(3) Blumer(4) Bauman(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 120 Baumen ได้อธิบายว่า วัฒนธรรมมวลชน (Mass Culture) เป็นผลผลิตที่ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ของกระบวนการที่จะพัฒนาไปสู่ความเป็นสากลของสังคมสมัยใหม่ โดยความรุ่งโรจน์ของการตลาด การประสบความสําเร็จขององค์กรขนาดใหญ่ และ ความหลากหลายของเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ได้สร้างให้เกิดผลิตผลทางวัฒนธรรมขึ้นมา
52.ข้อใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และเข้ากันได้กับชีวิตประจําวันของประชาชนในท้องถิ่นนั้น
(1) วัฒนธรรม
(2) วัฒนธรรมขั้นสูง
(3) วัฒนธรรมพื้นบ้าน
(4) วัฒนธรรมมวลชน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 119 – 120 Wilensky กล่าวว่า วัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้แก่ วัฒนธรรมที่เกิดจากประชาชน อาจเกิดขึ้นก่อนหรือไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับสื่อมวลชน โดยวัฒนธรรมพื้นบ้านแท้ ๆ ได้ถูก ค้นพบเมื่อประมาณศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีเนื้อหามาจากวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และต้องเข้ากันได้กับ ชีวิตประจําวันของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ จึงทําให้ในบางครั้งวัฒนธรรมพื้นบ้านอาจถูก พวกสังคมชั้นสูงรังเกียจว่าเชยหรือล้าสมัย
เพราะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและไม่เป็นไปตามสมัยนิยม
53. ข้อใดต่อไปนี้มักเป็นสิ่งที่พวกสังคมชั้นสูงรังเกียจว่าเชยหรือล้าสมัย
(1) วัฒนธรรม
(2) วัฒนธรรมชั้นสูง
(3) วัฒนธรรมพื้นบ้าน
(4) วัฒนธรรมมวลชน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ
54. ข้อใดต่อไปนี้หมายถึง มรดกของสังคม เป็นลักษณะเฉพาะในการดํารงชีวิตของกลุ่มคนที่มาอยู่ร่วมกัน และได้มีการเปลี่ยนแปลงให้เจริญตามยุคสมัย
(1) วัฒนธรรม
(2) วัฒนธรรมชั้นสูง
(3) วัฒนธรรมพื้นบ้าน
(4) วัฒนธรรมมวลชน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 119 ในแนวของสังคมศาสตร์ อธิบายว่า “วัฒนธรรม” หมายถึง มรดกของสังคม เป็นลักษณะเฉพาะในการดํารงชีวิตของกลุ่มคนที่มาอยู่ร่วมกัน และได้มีการเปลี่ยนแปลงให้เจริญตามยุคสมัย
55. ข้อใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับการผลิตจํานวนมากเพื่อตลาดขนาดใหญ่ มีการใช้เทคโนโลยีอย่างมีแบบแผน
(1) วัฒนธรรม
(2) วัฒนธรรมขั้นสูง
(3) วัฒนธรรมพื้นบ้าน
(4) วัฒนธรรมมวลชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 121 – 122 วัฒนธรรมมวลชน (Mass Culture) จะมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1. ชนิดของสถาบัน จะขึ้นอยู่กับสื่อและตลาด
2. ชนิดขององค์กรเพื่อการผลิต จะผลิตขึ้นจํานวนมากเพื่อตลาดขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยี อย่างมีแบบแผนและการจัดการเป็นอย่างดี
3. เนื้อหาและความหมายของผลผลิต มีลักษณะผิวเผิน ชัดเจนเป็นสากล แต่ไม่ยั่งยืน
4. ผู้รับสาร จะเป็นคนทุกคนที่มีความหลากหลาย และมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้บริโภค
5. วัตถุประสงค์ของการใช้และประสิทธิผล เพื่อความพอใจอย่างฉับพลันหรือความเพลิดเพลิน
56. ข้อใดต่อไปนี้ที่มีเนื้อหาและความหมายของผลผลิต มีความชัดเจนและมีความเป็นสากล แต่ไม่ยั่งยืน
(1) วัฒนธรรม
(2) วัฒนธรรมขั้นสูง
(3) วัฒนธรรมพื้นบ้าน
(4) วัฒนธรรมมวลชน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 55. ประกอบ
57. ข้อใดต่อไปนี้ที่เน้นว่าผลผลิตจะต้องมีมาตรฐานที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ของผู้บริโภค ผลงาน
อยู่ภายใต้รูปแบบศิลปะ วรรณคดี วิทยาศาสตร์
(1) วัฒนธรรม
(2) วัฒนธรรมชั้นสูง
(3) วัฒนธรรมพื้นบ้าน
(4) วัฒนธรรมมวลชน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 119 Wilensky ให้ความเห็นว่า วัฒนธรรมชั้นสูงมีความหมายใน 2 ลักษณะ ดังนี้ 1. เป็นผลงานที่อยู่ภายใต้รูปแบบประเพณีทางศิลปะ วรรณคดี หรือวิทยาศาสตร์ ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้น 2. เป็นผลงานที่ผลิตขึ้นเพื่อตลาดขนาดใหญ่หรือภายใต้การกํากับของคนชั้นสูงโดยเน้นว่าผลผลิตนั้นจะต้องมีมาตรฐานที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ของผู้บริโภคด้วย
58. แบบจําลองการสื่อสารของการรวบรวมและมอบความใส่ใจ ผู้ส่งสารมักมีจุดมุ่งหมายใดต่อไปนี้
(1) การถ่ายทอดความหมาย
(2) การแสดง
(3) การเปิดเผย การแสดง การประกาศแจ้งความ
(4) ความสนใจ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 130 – 131 แบบจําลองการสื่อสารของการรวบรวมและมอบความใส่ใจ (Attention Model) มีจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร คือ การเปิดเผย การแสดง และการประกาศแจ้งความ ส่วนจุดมุ่งหมายของผู้รับสาร คือ ความสนใจ และการเฝ้าดูเหตุการณ์
59. แบบจําลองการสื่อสารของการรวบรวมและมอบความใส่ใจ ผู้รับสารมักมีจุดมุ่งหมายใดต่อไปนี้
(1) กระบวนการสร้างองค์ความรู้
(2) ความพอใจ/การแลกเปลี่ยนประสบการณ์
(3) ความสนใจ การเฝ้าดูเหตุการณ์
(4) ไม่มีข้อใดถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ
60. รูปแบบการไหลของข่าวสารใดต่อไปนี้ที่เหมาะกับสื่อแพร่ภาพและการกระจายเสียง
(1) Allocution
(2) Consultation
(3) Conversation
(4) Service Mode
(5) Command Mode
ตอบ 1 หน้า 126 – 128 รูปแบบการไหลของข่าวสาร (Flow of Information) แบ่งได้ 4 ระดับ ดังนี้
1. Allocation คือ การส่งจดหมายตรงจากผู้นําถึงผู้ตาม ซึ่งจะเหมาะกับสื่อการกระจายเสียง และแพร่ภาพของชาติที่มักมีอิทธิพลโดยตรง รวดเร็ว และทันทีทันใดกับผู้รับสาร
2. Consultation คือ การให้คําแนะนําปรึกษาหารือ มักพบในสื่อหนังสือพิมพ์และการสื่อสาร ระหว่างบุคคลที่ผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีสถานภาพไม่เท่าเทียมกัน แต่มีความผูกพันกัน
3. Conversation คือ การสนทนา ซึ่งผู้ส่งสารกับผู้รับสารอาจมีสถานภาพเท่าเทียมกันหรือ เหนือกว่ากันก็ได้ จึงเป็นการไหลแบบพื้น ๆ ที่มักพบเห็นได้ทั่วไป
4. Registration คือ การจดบันทึกหรือขึ้นทะเบียน
61. รูปแบบการไหลของข่าวสารใดต่อไปนี้ที่เหมาะกับสื่อหนังสือพิมพ์
(1) Allocution
(2) Consultation
(3) Conversation
(4) Service Mode
(5) Command Mode
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ
62. ข้อใดต่อไปนี้เป็นการไหลของข่าวสารที่ผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีสถานภาพไม่เท่าเทียมกัน
(1) Allocution
(2) Consultation
(3) Conversation
(4) Service Mode
(5) Command Mode
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ
63. ผู้ส่งสารอาจมีสถานภาพเท่าเทียมกันหรือเหนือกว่าผู้รับสารก็ได้ ตรงกับรูปแบบของการสื่อสารใดต่อไปนี้
(1) Allocution
(2) Consultation
(3) Conversation
(4) Service Mode
(5) Command Mode
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ
64. ผู้ใดต่อไปนี้มองว่านักการสื่อสารเป็นเสมือนช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้ต้องการพูดกับสาธารณชนที่ บุคคลเหล่านั้นต้องการเข้าถึง โดยมีลักษณะเป็นกลางและไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทนใด ๆ
(1) Westley
(2) Maclean ·
(3) James Carey
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 128 Westley and Maclean กล่าวว่า นักการสื่อสารเป็นเสมือนช่องทางการสื่อสาร ระหว่างผู้ต้องการพูดในสังคม (Acvocates หรือผู้สนับสนุน) กับสาธารณชนที่บุคคลเหล่านั้น ต้องการเข้าถึงหรือพูดด้วย โดยบทบาทของนักสื่อสารมวลชนจะต้องมีลักษณะเป็นกลางและ ไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทนใด ๆ
65. การเก็บรวบรวมข่าวสารแบบศูนย์กลาง เกี่ยวข้องกับการไหลของข่าวสารรูปแบบใดต่อไปนี้
(1) Allocution
(2) Conversation
(3) Registration
(4) Consultation
(5) ถูกทั้งข้อ 1 และ 4
ตอบ 5หน้า 125, (ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ) การเก็บรวบรวมข่าวสาร (Information Store) แบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่
1. แบบศูนย์กลาง (Central) จะเกี่ยวข้องกับการไหลของข่าวสารแบบ Allocation และ
Consultation
2. แบบส่วนบุคคล (Individual) จะเกี่ยวข้องกับการไหลของข่าวสารแบบ Registration
และ Conversation
66. การเก็บรวบรวมข่าวสารแบบส่วนบุคคล เกี่ยวข้องกับการไหลของข่าวสารในข้อใดต่อไปนี้
(1) Allocution
(2) Conversation
(3) Registration
(4) Consultation
(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 65. ประกอบ
67. แบบจําลองการสื่อสารของผู้ใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์เนื้อหาสาระของสาร ชนิดของสื่อ ผู้รับสารและผลที่เกิดจากการกระทําของการสื่อสาร
(1) แบบจําลองการสื่อสาร ABX ของนิวคอมบ์
(2) แบบจําลองการสื่อสารของแชนนั้นและวีเวอร์
(3) แบบจําลองการสื่อสารของออสกูดและวิลเบอร์ ชแรมม์
(4) แบบจําลองการสื่อสารของฮาโรลด์ ดี. ลาสเวลล์
(5) แบบจําลองการสื่อสารของเดวิด เค. เบอร์โล
ตอบ 4 หน้า 51 – 53 แบบจําลองการสื่อสารของฮาโรลด์ ดี. ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ซึ่งได้เสนอไว้เมื่อปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ระบุว่า วิธีที่สะดวก ที่จะอธิบายการกระทําการสื่อสารก็คือ การวิเคราะห์และตอบคําถามต่าง ๆ ดังนี้
1. ใคร (ผู้ส่งสารหรือแหล่งสาร)
2. กล่าวอะไร (สารหรือเนื้อหาสาระของสาร)
3. ผ่านช่องทางใด (สื่อหรือชนิดของสื่อ)
4. ถึงใคร (ผู้รับสาร)
5. เกิดผลอะไร (ผลที่เกิดจากการกระทําการสื่อสาร)
68. แบบจําลองการสื่อสารของผู้ใดต่อไปนี้ที่ไม่สามารถนําไปอธิบายการสื่อสารของกลุ่มขนาดเล็กในระดับ
สังคมที่ใหญ่โต
(1) แบบจําลองการสื่อสาร ABX ของนิวคอมบ์
(2) แบบจําลองการสื่อสารของแชนนั้นและวีเวอร์
(3) แบบจําลองการสื่อสารของออสกูดและวิลเบอร์ ซแรมม์
(4) แบบจําลองการสื่อสารของฮาโรลด์ ดี. ลาสเวลล์
(5) แบบจําลองการสื่อสารของเดวิด เค. เบอร์โล
ตอบ 1 หน้า 61 – 63 แบบจําลองการสื่อสาร ABX ของธีโอดอร์ นิวคอมบ์ (Newcomb) จัดเป็น แบบจําลองเชิงจิตวิทยาที่เน้นว่า การสื่อสารเกิดขึ้นเพราะมนุษย์ต้องการให้เกิดความสมดุล หรือเกิดความเหมือนกันทางความคิด ทัศนคติ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ โดยมองว่า การสื่อสารระหว่างตัวต่อตัวจะทําให้ความคิดหรือทัศนคติของบุคคลทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องเดียวกัน อยู่ในสภาพสมดุล จึงเป็นแบบจําลองที่ไม่สามารถนําไปอธิบายการสื่อสารของกลุ่มขนาดเล็ก ในระดับสังคมที่ใหญ่โตได้ เพราะสังคมที่ใหญ่นั้นมนุษย์มิได้มีความต้องการที่จะให้เหมือนกันหรือไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้เหมือนในระดับบุคคล
69. แบบจําลองการสื่อสารของผู้ใดต่อไปนี้ที่เน้นว่า ผู้ส่งสารและผู้รับสารต่างต้องกระทําหน้าที่เข้ารหัส
ถอดรหัส และตีความ
(1) แบบจําลองการสื่อสาร ABX ของนิวคอมบ์
(2) แบบจําลองการสื่อสารของแชนนั้นและวีเวอร์
(3) แบบจําลองการสื่อสารของออสกูดและวิลเบอร์ ชแรมม์
(4) แบบจําลองการสื่อสารของฮาโรลด์ ดี. ลาสเวลล์
(5) แบบจําลองการสื่อสารของเดวิด เค. เบอร์โล
ตอบ 3 หน้า 55 – 57 แบบจําลองการสื่อสารของออสกูดและวิลเบอร์ ซแรมม์ ซึ่งได้เสนอไว้เมื่อปี พ.ศ. 2497 จะมีลักษณะเป็นวงกลมที่เน้นให้เห็นว่า ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารต่างต้องกระทําหน้าที่ อย่างเดียวกันในกระบวนการสื่อสาร นั่นคือ การเข้ารหัส (Encoding) การถอดรหัส (Decoding) และการตีความ (Interpreting) ซึ่งการตีความหมายสารของทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารจะคล้ายคลึง หรือแตกต่างกันเพียงไรต้องดูที่สนามแห่งประสบการณ์ร่วม (Field of Experience) และ กรอบแห่งการอ้างอิง (Frame of Reference) ของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นสําคัญ
70. แบบจําลองการสื่อสารของผู้ใดต่อไปนี้เน้นว่า ใคร กล่าวอะไร ผ่านช่องทางใด ถึงใคร และเกิดผลอย่างไร
(1) แบบจําลองการสื่อสาร ABX ของนิวคอมบ์
(2) แบบจําลองการสื่อสารของแชนนั้นและวีเวอร์
(3) แบบจําลองการสื่อสารของออสกูดและวิลเบอร์ ชแรมม์
(4) แบบจําลองการสื่อสารของฮาโรลด์ ดี. ลาสเวลล์
(5) แบบจําลองการสื่อสารของเดวิด เค. เบอร์โล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 67. ประกอบ
71. แบบจําลองการสื่อสารของผู้ใดต่อไปนี้ที่เน้นว่า ผู้ส่งสารและผู้รับสารต่างต้องมีคุณสมบัติเรื่องทักษะ ในการสื่อสาร ทัศนคติ ความรู้ ระบบสังคม ระบบวัฒนธรรม
(1) แบบจําลองการสื่อสาร ABX ของนิวคอมบ์
(2) แบบจําลองการสื่อสารของแชนนั้นและวีเวอร์
(3) แบบจําลองการสื่อสารของออสกูดและวิลเบอร์ ชแรมม์
(4) แบบจําลองการสื่อสารของฮาโรลด์ ดี. ลาสเวลล์
(5) แบบจําลองการสื่อสารของเดวิด เค. เบอร์โล
ตอบ 5 หน้า 59 – 61 แบบจําลองการสื่อสาร SMCR ของเดวิด เค. เบอร์โล ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ส่งสาร และผู้รับสารจะทําหน้าที่ในการสื่อสารได้ดีเพียงใดนั้น ต้องมีคุณสมบัติ 5 ประการ คือ
1. ทักษะในการสื่อสาร
2. ทัศนคติ
3. ความรู้
4. ระบบสังคม
5. ระบบวัฒนธรรม
72. แบบจําลองการสื่อสารใดต่อไปนี้ที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แบบจําลองเชิงเส้นตรงที่เกิดจากการกระทํา ของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารเพียงฝ่ายเดียว
(1) แบบจําลองการสื่อสาร ABX ของนิวคอมบ์
(2) แบบจําลองการสื่อสารของแชนนั้นและวีเวอร์
(3) แบบจําลองการสื่อสารของออสกูดและวิลเบอร์ ชแรมม์
(4) แบบจําลองการสื่อสารของฮาโรลด์ ดี. ลาสเวลล์
(5) แบบจําลองการสื่อสารของเดวิด เค. เบอร์โล
ตอบ 2 หน้า 48 – 49, (คําบรรยาย) แบบจําลองการสื่อสารของแชนนั้น (Shannon) และวีเวอร์ (Weaver) เป็นแบบจําลองกระบวนการสื่อสารทางเดียวในเชิงเส้นตรงที่ถือว่า การสื่อสาร เกิดขึ้นจากการกระทําของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารเพียงฝ่ายเดียว (ไม่สนใจ Feedback ของ ผู้รับสาร) ซึ่งมีองค์ประกอบของการกระทําการสื่อสารอยู่ 6 ประการ ดังนี้
1. แหล่งสารสนเทศ
2. ตัวถ่ายทอด
3. สาร
4. ผู้รับสารหรือเครื่องรับ
5. จุดมุ่งหมายปลายทาง
6. แหล่งเสียงรบกวน
73. การศึกษาโครงร่างความเป็นสื่อกลางของสื่อมวลชน เกี่ยวข้องกับข้อใดต่อไปนี้
(1) บทบาทของสื่อมวลชน
(2) บทบาทของนักสื่อสารมวลชน
(3) บทบาทของมวลชน
(4) บทบาทของนักวิชาการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 93 – 94, 98 – 99 การศึกษาโครงร่างความเป็นสื่อกลางของสื่อมวลชนจะมีความเกี่ยวข้อง กับบทบาทหน้าที่พื้นฐานของสื่อมวลชนที่มีต่อสังคมใน 2 ลักษณะ ดังนี้
1. บทบาทของสื่อมวลชนในฐานะที่เป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในสังคม คือ ลักษณะความสัมพันธ์ของสื่อมวลชนกับสถาบันอื่น ๆ ในสังคม
2. บทบาทของสื่อมวลชนในฐานะที่เป็นสื่อกลางของสาธารณชนหรือสาธารณะ คือ ลักษณะความสัมพันธ์ของสื่อมวลชนกับสาธารณชนหรือมวลชนผู้รับสารโดยทั่วไปในสังคม
74. สถาบันสื่อสารมวลชนจะมีการทําหน้าที่ในลักษณะใดต่อไปนี้
(1) การผลิตและแพร่กระจายความรู้
(2) เป็นสถาบันที่ไม่มีอํานาจในตัวเอง
(3) เชื่อมโยงกลุ่มคนกับคนอื่น ๆ
(4) เป็นสถาบันที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมและธุรกิจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5หน้า 91 – 92 สถาบันสื่อสารมวลชน (The Mass Media Institution) มีลักษณะดังนี้
1. มีหน้าที่ผลิตและแพร่กระจายความรู้ในรูปข่าวสาร ความคิด และวัฒนธรรม
2. เป็นช่องทางเชื่อมโยงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกับคนอื่น ๆ
3. มีบรรยากาศของความเป็นสาธารณะ
4. การมีส่วนร่วมของผู้ชม ผู้ฟังในสถาบันสื่อเป็นไปโดยสมัครใจ
5. มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมและธุรกิจการตลาดในลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน
6. ไม่มีอํานาจในตัวเอง แต่มักจะเกี่ยวข้องกับอํานาจรัฐอยู่เสมอ
75. การศึกษาสื่อมวลชนอย่างเป็นระบบมีสาเหตุมาจากเรื่องใดต่อไปนี้
(1) กิจการสื่อสารมวลชนโตเร็ว
(2) เทคโนโลยีก้าวหน้ารวดเร็ว
(3) ผู้รับสารมีการศึกษาสูงขึ้น
(4) การเมืองพัฒนาการเร็วมาก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 90 – 91 สาเหตุที่สื่อมวลชนได้รับความสนใจ และมีการศึกษาอย่างเป็นระบบมากขึ้น มีดังนี้
1. กิจการสื่อมวลชนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. สื่อมวลชนมีบทบาทควบคุมการจัดการทรัพยากรต่าง ๆ
3. สื่อมวลชนเปิดโอกาสให้มีการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนสภาพการดํารงชีวิตของคนในสังคมมากขึ้น
4. สื่อมวลชนก่อให้เกิดพัฒนาการด้านวัฒนธรรมในรูปแบบต่าง ๆ
5. สื่อมวลชนก่อให้เกิดค่านิยม ทัศนคติ แนวความคิด และรูปแบบการตัดสินใจของปัจเจกชน
76. ข้อใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับบทบาทของสื่อมวลชนในฐานะเป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์ต่าง ๆ
(1) รับข้อมูลจากสถาบันส่งต่อสาธารณชน
(2) สามารถเข้าถึงมวลชนทุกระดับโดยมีค่าใช้จ่ายปานกลาง
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อกับมวลชนขึ้นอยู่กับโอกาส
(4) สื่อมวลชนส่งข่าวถึงประชาชนได้ทัดเทียมกับสถาบันอื่น ๆ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 93 – 94 บทบาทของสื่อมวลชนในฐานะเป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์ต่าง ๆ มีดังนี้
1. ทําหน้าที่รับข้อมูลจากสถาบันต่าง ๆ ส่งต่อสาธารณชน
2. สามารถเข้าถึงมวลชนทุกระดับได้ อย่างเต็มใจและเปิดเผย โดยมีค่าใช้จ่ายต่ำ
3. ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อกับมวลชนมีความพอดีกัน
4. สื่อมวลชนส่งข่าวสารถึงประชาชนจํานวนมากกว่าและในระยะยาวกว่าสถาบันอื่น ๆ
77. สื่อมวลชนในบทบาทของการเป็นสื่อกลางของสาธารณะนั้น สาธารณชนจะมีภาพลักษณ์ต่อสื่ออย่างไรต่อไปนี้
(1) เป็นหน้าต่างที่ทําให้ผู้รับสารมีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น
(2) สื่อมวลชนกรองข่าวเข้าข้างผู้มีอํานาจทางการเมือง
(3) สื่อทําหน้าที่เพียงบอก 5W1H
(4) สื่อเป็นกระจกสะท้อนภาพของสังคมตามแนวทางของตน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 94 – 96, (คําบรรยาย) บทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนในฐานะที่เป็นสื่อกลางของสาธารณะ จะมีภาพลักษณ์ต่าง ๆ ดังนี้
1. เป็นหน้าต่างสู่ประสบการณ์ คือ ทําให้ผู้รับสารมีโลกทัศน์ที่ กว้างขึ้น โดยการบอกให้ประชาชนทราบอย่างปราศจากอคติว่าใคร ทําอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร และทําไม
2. เป็นผู้ให้ความกระจ่างแจ้งกับประเด็นหรือชี้ปมปัญหาของเหตุการณ์ต่าง ๆ
3. เป็นเวทีหรือตัวกลางในการปะทะสังสรรค์ระหว่างผู้รับสารและผู้ส่งสาร
4. เป็นตัวกรองข่าว ซึ่งจะต้องกระทําอย่างตั้งใจ มีหลักเกณฑ์เป็นระบบ และมีความรับผิดชอบต่อสังคม
5. เป็นกระจกสะท้อนภาพของสังคม โดยภาพนี้จะเป็นไปตามที่สังคมต้องการเสมอ ฯลฯ
78. จากโครงร่างการศึกษาความเป็นสื่อกลางของสื่อมวลชนนั้นได้มีการแบ่งเป็นปีกบนและปีกล่าง คําทั้งสองหมายถึงข้อใดต่อไปนี้
(1) ปีกบน หมายถึง บทบาทความเป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์
ปีกล่าง หมายถึง บทบาทความเป็นสื่อกลางของสาธารณะ
(2) ปีกบน หมายถึง บทบาทความเป็นสื่อกลางของสาธารณะ
ปีกล่าง หมายถึง บทบาทความเป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์
(3) ปีกบน หมายถึง ชุมชน องค์กร สมาคม
ปีกล่าง หมายถึง เรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ
(4) ปีกบน หมายถึง สถาบันต่าง ๆ
ปีกล่าง หมายถึง เรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 96 – 99, (คําบรรยาย), (ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ) จากโครงร่างของการศึกษา ความเป็นสื่อกลางของสื่อมวลชนจะเห็นว่า สื่อมวลชน (องค์กรสื่อ) อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 ปีก คือ
1. ปีกบน หมายถึง สถาบันต่าง ๆ ที่มีอํานาจไม่อาจเอื้อมถึง ซึ่งสร้างเรื่องราวเหตุการณ์ ต่าง ๆ เอง (ตรงกับบทบาทความเป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์ของสถาบันต่าง ๆ)
2. ปีกล่าง หมายถึง ผู้รับสาร คือ ชุมชน องค์กร สมาคมต่าง ๆ และปัจเจกชนที่คอยดูแล ความเปลี่ยนแปลงในสังคม (ตรงกับบทบาทความเป็นสื่อกลางของสาธารณะ)
79. หนังสือพิมพ์เพื่อการค้า ตรงกับคําในข้อใดต่อไปนี้
(1) The Commercian Paper
(2) The Commercial Newspaper
(3) The Commerce Paper
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 82 ในศตวรรษที่ 17 การผลิตหนังสือพิมพ์ได้เริ่มมีผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา และมีการผลิต หนังสือพิมพ์เพื่อการค้า (The Commercial Newspaper) มากขึ้น ในขณะที่สิ่งพิมพ์อื่น ๆ ของทางราชการยังคงมีลักษณะเป็นกระบอกเสียงของผู้มีอํานาจและเป็นเครื่องมือของรัฐ
80 The Rise of Broadcasting มีความหมายตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) ยุคของสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพ
(2) ยุคทองของสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพ
(3) ความเจริญของสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 83 ยุคทองของหนังสือพิมพ์ดูเหมือนว่าจะสะดุดลง เมื่อถึงยุคของสื่อกระจายเสียงและ แพร่ภาพ (The Rise of Broadcasting) คือ เริ่มมีสื่อวิทยุและสื่อโทรทัศน์เป็นสื่อที่เกิดขึ้นใหม่ ในเวลาต่อมา
81. การศึกษาถึงลักษณะการเติบโตของการอ่านหนังสือพิมพ์ ต้องคํานึงถึงสิ่งใดต่อไปนี้
(1) ต้องดูตลาดหนังสือพิมพ์ในฐานะสื่อของการโฆษณาและความบันเทิง
(2) ต้องดูตลาดของการอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อเนื้อหาสาระด้านการเมือง
(3) ต้องแยกแยะระหว่างข้อ 1 และข้อ 2 ให้เห็นเด่นชัด
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 83 การศึกษาถึงลักษณะการเติบโตของการอ่านหนังสือพิมพ์ เราจําเป็นต้องดูและแยกแยะ ให้เห็นเด่นชัดระหว่างตลาดของหนังสือพิมพ์เพื่อการค้า ซึ่งกําลังเติบโตขึ้นในฐานะสื่อของ
การโฆษณาและความบันเทิง กับตลาดของการอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อเนื้อหาสาระในด้านการเมือง
82. ผู้ใดต่อไปนี้กล่าวว่า วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แตกต่างจากสื่อมวลชนอื่น ๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ คือ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นระบบที่มนุษย์คิดขึ้นเพื่อส่งและรับข้อมูลโดยกระบวนการที่
ซับซ้อนกว่าเดิม
(1) Raymond Williams
(2) Raymond William.
(3) Raymon Williams
(4) Raymon William
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 88 คํากล่าวข้างต้นเป็นของ Raymond Willams ซึ่งเขาได้กล่าวไว้เมื่อ ค.ศ. 1975 โดยมองไปที่ประเด็นวิทยุและโทรทัศน์ว่า เป็นเพียงสื่อหรือระบบที่จะทําให้เกิดการส่งและ รับข้อมูล แต่ไม่ได้เน้นการตอบสนองในด้านเนื้อหา
83. สถาบันสื่อสารมวลชน ตรงกับคําตอบข้อใดต่อไปนี้
(1) The Mass Media Institution
(2) The Mass Communication Institution
(3) The Mass Media Organization
(4) The Mass Communication Organization
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ
84. ข้อใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับสถาบันอื่น ๆ
(1) เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับสังคมโดยยึดหลักเกณฑ์ของฝ่ายสื่อเอง
(2) สถาบันอื่น ๆ ในสังคมอาจสามารถควบคุมสื่อ หรืออาจอํานวยความสะดวกแก่สื่อมวลชนในการ
เสนอข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ
(3) สถาบันสื่อไม่จําเป็นต้องพึ่งพาสถาบันการเงิน
(4) สถาบันด้านกฎหมายไม่เกี่ยวข้องกับการกําหนดเสรีภาพของสื่อมวลชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 99 ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับสถาบันอื่น ๆ มีดังนี้
1. เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับสังคม โดยยึดหลักเกณฑ์ของ
ฝ่ายสื่อเองกับฝ่ายสาธารณชน
2. มีความสัมพันธ์กับกฎหมาย ซึ่งจะเป็นตัวกําหนดเสรีภาพของสื่อมวลชน
3. มีความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างสื่อมวลชนกับสถาบันการเงิน
4. มีความสัมพันธ์กันระหว่างสื่อมวลชนกับสังคม ซึ่งสังคมหรือสถาบันอื่น ๆ ในสังคม อาจสามารถควบคุมสื่อมวลชน หรืออาจอํานวยความสะดวกแก่สื่อมวลชนในการ เสนอข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ
85. การที่สื่อมวลชนจะทําหน้าที่เป็นตัวจักรสําคัญในการสร้างความสามัคคี ความเป็นปึกแผ่น ทําให้สังคม มีความคิดอ่านสอดคล้องกัน ควบคุมง่าย จัดเข้าข่ายการกระทําหน้าที่ตามแนวทฤษฎีใดต่อไปนี้
(1) Centripetal
(2) Centrifugal
(3) Centrifutal
(4) Centripegal
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 103, (คําบรรยาย) ทฤษฎี Centripetal คือ สื่อมวลชนจะทําหน้าที่เป็นตัวจักรในการ สร้างความสามัคคี ความเป็นปึกแผ่น ซึ่งจะมีผลทําให้สังคมนั้นมีความคิดอ่านที่สอดคล้องกัน และสามารถเข้าควบคุมได้ง่าย จึงเหมาะกับรัฐบาลที่ต้องการความมีเสถียรภาพ เพราะสามารถ ควบคุมสื่อและประชาชนได้
86.การที่สื่อมวลชนนําเสนอความก้าวหน้า เสรีภาพ การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคม แล้วทําให้เกิดผลเสีย กับสังคมที่แยกกันอยู่ เกิดความไม่สงบในสังคมได้มาก จัดเข้าข่ายการกระทําหน้าที่ตามแนวทฤษฎีใดต่อไปนี้
(1) Centripetal
(2) Centrifugal
(3) Centrifutat
(4) Centripegal
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 103, (คําบรรยาย) ทฤษฎี Centrifugal คือ สื่อมวลชนจะทําหน้าที่นําความก้าวหน้า เสรีภาพ และการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมที่สื่อมวลชนดําเนินการอยู่ แต่จะเกิดผลเสีย ก็คือ สังคมจะแยกกันอยู่หรือห่างเหินกัน มีความเป็นปัจเจกชนสูง ไม่มีการยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และอาจจะก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคมได้มาก เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสื่อและคนในสังคมได้
ตัวเลือกต่อไปนี้ใช้สําหรับตอบคําถามข้อ 87. – 91.
(1) ทฤษฎีเสรีนิยม
(2) ทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคม
(3) ทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา
(4) ทฤษฎีสื่อสารมวลชนของประชาชน
(5) ทฤษฎีอํานาจนิยม
87. ทฤษฎีสื่อสารมวลชนใดข้างต้นเป็นทฤษฎีใหม่ล่าสุดในบรรดาทฤษฎีปทัสถาน
ตอบ 4 หน้า 276 – 277, (คําบรรยาย) ทฤษฎีสื่อมวลชนของประชาชน หรือความมีส่วนร่วมแบบ ประชาธิปไตย หรือทฤษฎีผู้มีความเป็นประชาธิปไตย เป็นทฤษฎีใหม่ล่าสุดในบรรดากลุ่ม ทฤษฎีปทัสถาน และเป็นทฤษฎีที่ยากที่สุดในการทําความเข้าใจ เพราะเป็นทฤษฎีลูกผสม ระหว่างทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคมกับทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา โดยจะเน้นถึง ความสําคัญของทุกคน เน้นการสื่อสารแนวนอนมากกว่าแนวตั้ง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและสังคม จึงเป็นรูปแบบของสื่อมวลชนที่ประชาชนปรารถนาและพึงพอใจมากที่สุด แต่ยังคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในแนวปฏิบัติ
88. ทฤษฎีสื่อสารมวลชนใดข้างต้นเป็นทฤษฎีปทัสถานที่ทําความเข้าใจได้ยากที่สุด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ
89. ทฤษฎีสื่อสารมวลชนใดข้างต้นเป็นลูกผสมระหว่างทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคมและทฤษฎีสื่อสาร
เพื่อการพัฒนา
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ
90. ทฤษฎีสื่อสารมวลชนใดข้างต้นเป็นทฤษฎีที่เปิดโอกาสให้ผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีบทบาทร่วมกัน
ตอบ 4 หน้า 277 – 278 หัวใจสําคัญของทฤษฎีสื่อมวลชนของประชาชน มีดังนี้
1. การตอบสนองความต้องการ ความสนใจ และความปรารถนาที่ต่างกันของพลเมือง ผู้รับสารแต่ละคนในชุมชนขนาดเล็กและชนกลุ่มน้อย ทั้งในด้านสิทธิการรับรู้และสิทธิในการสื่อสาร
2. การเปิดโอกาสให้ผู้รับสารทุกระดับเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข่าวสาร ความคิดเห็น การศึกษา และการบริหารในรูปแบบที่เหมาะสม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีบทบาทร่วมกัน
91. ทฤษฎีใดข้างต้นที่ห้ามสื่อมวลชนแสดงเนื้อหาที่เป็นการหมิ่นประมาท อนาจาร หยาบคาย และยุยง
ให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในยามสงคราม
ตอบ 1 หน้า 279 ทฤษฎีเสรีนิยม (อิสรภาพนิยม) มีบทบาทหน้าที่ (Functions) คือ แจ้งข่าวสาร ให้ความบันเทิง ส่งเสริมการค้า และการโฆษณาสินค้า แต่ที่สําคัญที่สุดจะต้องเป็นตลาดเสรี ของความคิดเห็นส่วนบุคคล เพื่อช่วยในการแสวงหาให้พบสัจจะและควบคุมรัฐบาล ส่วนบทบาทหน้าที่ต้องห้าม (De-functions) คือ แสดงเนื้อหาที่เป็นการหมิ่นประมาท อนาจาร หยาบคาย และยุยงให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในยามสงคราม
ตัวเลือกต่อไปนี้ใช้สําหรับตอบคําถามข้อ 92. – 100,
(1) ทฤษฎีเข็มฉีดยา
(2) ทฤษฎีการสื่อสารสองจังหวะ
(3) ทฤษฎีผู้ปิดและเปิดประตูสาร
(4) ทฤษฎีกําหนดระเบียบวาระ
(5) ทฤษฎีการใช้และการตอบสนองความพึงพอใจ
92. ทฤษฎีใดข้างต้นที่เน้นว่า ผู้ส่งสารพยายามโน้มน้าวให้ผู้รับสารมีพฤติกรรมในทางที่ผู้ส่งสารต้องการ
ตอบ 2 หน้า 182 – 183, 194, (คําบรรยาย) ทฤษฎีการสื่อสารสองจังหวะ (Two-step Flow Theory) จะเกี่ยวข้องกับผู้นําความคิดเห็น (Opinion Leaders) หรือผู้นําทางความคิด คือ ระดับที่ บุคคลใดบุคคลหนึ่งสามารถมีอิทธิพลโดยวิธีที่ไม่เป็นทางการต่อทัศนคติหรือพฤติกรรมอย่างเปิดเผยของบุคคลอื่นตามที่บุคคลนั้นต้องการ และมีอิทธิพลเช่นนี้ได้ค่อนข้างบ่อย จึงเป็นทฤษฎีที่ถูกใช้เพื่อชักจูงใจให้ผู้รับสารมีพฤติกรรมหรือความคิดเห็นเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่ผู้ส่งข่าวสาร (ผู้นําความคิดเห็น) ต้องการ
93. ทฤษฎีใดข้างต้นที่เน้นว่า การตัดสินใจของบุคคลแต่ละคนได้รับแรงจูงใจโดยตรงจากสื่อมวลชนน้อยกว่า แรงจูงใจจากผู้อื่น
ตอบ 2 หน้า 189 ทฤษฎีการสื่อสารสองจังหวะจะมีลักษณะที่เสนอแนะได้ ดังนี้
1. การตัดสินใจของบุคคลแต่ละคนได้รับแรงจูงใจโดยตรงจากสื่อมวลชนน้อยกว่าแรงจูงใจจากผู้อื่น
2. บุคคลผู้ซึ่งจูงใจบุคคลอื่นหรือผู้นําความคิดเห็นตามทฤษฎีนี้ เป็นบุคคลที่ชอบเปิดตัวเอง ในการรับสารจากสื่อมวลชนมากกว่าบุคคลที่เขาทําการจูงใจ
94. ทฤษฎีใดข้างต้นมิได้จัดอยู่ในทฤษฎีสื่อสารมวลชนแบบ Effect Approach
ตอบ 5 หน้า 178 – 180 ตัวอย่างกลุ่มทฤษฎีสื่อสารมวลชนที่ศึกษาเรื่องประสิทธิผลสื่อมวลชน (Effect Approach) อิทธิพลหรือผลกระทบจากสื่อ มีดังนี้ คือ
1. ทฤษฎีเข็มฉีดยา (ทฤษฎีการสื่อสารจังหวะเดียว หรือทฤษฎีการสื่อสารเล็งผลเลิศ)
2. ทฤษฎีการสื่อสารสองจังหวะ
3. ทฤษฎีผู้ปิดและเปิดประตูสาร
4. ทฤษฎีการกําหนดระเบียบวาระ
5. ทฤษฎีความโน้มเอียงร่วม
95. ทฤษฎีใดข้างต้นที่ได้รับอิทธิพลจากความเจริญก้าวหน้าของวิทยุ การขยายตัวของงานโฆษณาทางการค้าและการโฆษณาชวนเชื่อ
ตอบ 1 หน้า 180 – 181 ความเชื่อเรื่องอิทธิพลของสื่อมวลชนตามแนวทางของทฤษฎีเข็มฉีดยา (ทฤษฎีการสื่อสารจังหวะเดียว หรือทฤษฎีการสื่อสารเล็งผลเลิศ) มีสาเหตุสําคัญ 3 อย่าง คือ
1. การกําเนิดและความก้าวหน้าของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทวิทยุ โดยเฉพาะวิทยุทรานซิสเตอร์
(Transistor Radio)
2. การขยายตัวของงานโฆษณาการค้า (Advertising) ทางสื่อมวลชน
3. การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)
96. ทฤษฎีใดข้างต้นที่เกี่ยวข้องกับนักสื่อสารมวลชนว่ามีหน้าที่เลือกสรร ตกแต่งเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะเสนอไปยังผู้รับสาร
ตอบ 3 หน้า 195 ทฤษฎีผู้ปิดและเปิดประตูสาร (Gatekeeper Theory) คือ การที่นักสื่อสารมวลชน มีหน้าที่เลือกสรร ตกแต่งเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเสนอไปยังผู้รับสาร หรือทําหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตู (Gatekeeper) ซึ่งมาจากข้อเขียนของ เค. เลวิน ที่ได้ให้ข้อสังเกตว่า ข่าวสารมักจะไหลผ่านช่องทางต่าง ๆ อันประกอบไปด้วยบริเวณประตูที่ซึ่งมีการปล่อยหรือกัก ข่าวสารต่าง ๆ ตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ โดยผู้เฝ้าประตูจะวินิจฉัยว่าข่าวสารใดควรไหลผ่านไปได้ ข่าวสารใดควรส่งไปถึงผู้รับสารช้าหน่อย หรือข่าวสารใดควรตัดออกไปทั้งหมด
97.แนวความคิดของ เค. เลวิน ที่ว่า ข่าวสารมักจะไหลผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่มีประตู โดยแต่ละประตู จะมีเกณฑ์ในการปล่อยหรือกักข่าวสารต่าง ๆ ตามการวินิจฉัยของคนเฝ้าประตู
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ
98. การที่สื่อมวลชนเป็นผู้กําหนดการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ แก่ประชาชนทั่วไป โดยมองว่าการกําหนดดังกล่าวนั้น เป็นการแนะประชาชนว่าน่าคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นสาระสําคัญในทฤษฎีใดข้างต้น
ตอบ 4 หน้า 200 – 201 ทฤษฎีการกําหนดระเบียบวาระ (Agenda-setting Theory) ได้กล่าวถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับผู้รับสารว่า ยิ่งสื่อมวลชนเลือกเน้นเสนอประเด็นสําคัญของ หัวข้อหรือปัญหาในการรายงานข่าวใดแล้ว ผู้รับสารหรือมวลชนก็จะตระหนักถึงสาระสําคัญ ของเรื่องนั้น ๆ มากตามไปด้วย ดังนั้นสื่อมวลชนจึงเป็นผู้กําหนดหรือวางระเบียบวาระในการ รับรู้เหตุการณ์แก่ประชาชนทั่วไป ดังที่ Cohen ได้สรุปเกี่ยวกับทฤษฎีนี้เอาไว้ว่า “สื่อสารมวลชน อาจไม่ประสบความสําเร็จเท่าที่ควรเสมอไปในการเสนอแนะแก่ประชาชนว่าอะไรบ้าง (What) เป็นสิ่งที่น่าคิด แต่สื่อมวลชนมีผลอย่างมหาศาลในการแนะประชาชนว่าน่าคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไร (What About)”
99. ทฤษฎีใดข้างต้นมีสมมุติฐานสําคัญว่า การที่สื่อมวลชนเลือกเน้นประเด็นสําคัญของหัวข้อหรือปัญหา ในการรายงานข่าวสารใด ๆ มวลชนก็จะตระหนักถึงสาระสําคัญดังกล่าวตามไปด้วย
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 98. ประกอบ
100. ทฤษฎีใดข้างต้นเกี่ยวข้องกับคําว่า Information-seeking
ตอบ 5 หน้า 214 – 215, 222 ทฤษฎีการใช้ประโยชน์และการตอบสนองความพึงพอใจที่ได้รับ จากสื่อ หรือทฤษฎีอรรถประโยชน์ของผู้บริโภค (Uses and Gratifications) จะเน้นเรื่อง การแสวงหาข่าวสาร (Information-seeking) ซึ่งหมายถึง กระบวนการที่ผู้รับสารหรือ มวลชนสนใจใคร่ทราบเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ และแสวงหาข่าวสารนั้นจากสื่อสารมวลชน อีกทั้งยังมีการเน้นว่า มนุษย์มีความต้องการอยากจะรู้ (Need for Cognition) ซึ่งจัดเป็น ความต้องการที่จะแสวงหาระเบียบและความเข้าใจในสภาวะแวดล้อมของตนเอง