การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555
ข้อสอบกระบวนวิชา ART 1003 ศิลปะวิจักษณ์
คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)
1. สุนทรียะในวิสัยของธรรมชาติเกี่ยวข้องกับ
(1) ความงาม ความมีระเบียบทางธรรมชาติ
(2) ความกลมกลืนของรูปลักษณะของธรรมชาติ
(3) ความลงตัว ความเหมาะสมของธรรมชาติ
(4) ความสวยงามทางสีสันของธรรมชาติ
ตอบ 1 หน้า 12 สุนทรียะในวิสัยของธรรมชาติ หมายถึง สุนทรียะแห่งความมีระเบียบและความงาม โดยธรรมชาติมักจะมีกฎแห่งสุนทรียะซึ่งก่อให้เกิดความมีระเบียบ ความเหมาะสมกลมกลืน และความงามอยู่ทั้งสิ้น ดังนั้นในธรรมชาติจึงมีความงาม ความสะเทือนใจ และให้ความนึกคิด แก่ผู้พบเห็นเสมอ
2. มนุษย์ สัตว์ จัดเป็นรูปลักษณะของคิลปะแบบใด
(1) อิสระ
(2) ที่กำหนดแล้ว
(3) เรขาคณิต
(4) ธรรมชาติ
ตอบ 4 หน้า 11 รูปลักษณะของงานศิลปะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1. แบบธรรมชาติ เป็นรูปลักษณะที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ภูเขา ต้นไม้ ใบไม้ดอกไม้ มนุษย์ สัตว์ ฯลฯ
2. แบบเรขาคณิต เป็นรูปลักษณะที่ได้แบบอย่างจากธรรมชาติมาบ้าง เช่น เส้นตรง เส้นโค้ง ฯลฯ
3. แบบอิสระ เป็นรูปลักษณะที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมหรือ ความเห็นชอบของผู้ประดิษฐ์
3. ศิลปะในข้อใดเป็นผลงานสูงสุดของมนุษย์
(1) ศาสนศิลปะ
(2) ศิลปะพื้นบ้าน
(3) ศิลปะถํ้า
(4) ศิลปะบนหน้าผา
ตอบ 1 หน้า 200, 4 (S), 12 (S) ศาสนศิลปะ (Religious Art) หรืองานศิลปกรรมในลัทธิความเชื่อถือ และศาสนา ถือเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สูงสุดและเหนือกว่างานสร้างสรรค์ด้านอื่น ๆ เพราะเป็น งานศิลปะที่เกิดจากความซาบซึ้งทางพุทธิปัญญาที่มีคุณค่าเหนือกว่าศิลปะทั้งหลายที่มนุษย์ ได้สร้างขึ้น เช่น ประติมากรรมพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัย ภาพเขียนพุทธประวัติ โบสถ์ วิหาร หรือศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อการบูชาต่าง ๆ เป็นต้น
4. ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์แตกต่างจากสมัยประวัติศาสตร์ เพราะ
(1) ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีตัวอักษร ยุคประวัติศาสตร์มีตัวอักษร
(2) ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีเครื่องปั้นดินเผา ยุคประวัติศาสตร์มีเครื่องปั้นดินเผา
(3) ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีกระดาษ ยุคประวัติศาสตร์มีกระดาษ
(4) ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีเครื่องดนตรี ยุคประวัติศาสตร์มีเครื่องดนตรี
ตอบ 1 หน้า47, 114(S) การแบ่งยุคสมัยของมนุษย์จะใช้ตัวอักษรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง กล่าวคือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นยังไม่มีตัวอักษรสำหรับการจดบันทึก การศึกษาศิลปะจะศึกษาจาก ศิลปวัตถุและซากโครงกระดูกต่าง ๆ ส่วนยุคประวัติศาสตร์จะมีการใช้ตัวอักษรเพื่อสื่อความหมาย และทำความเข้าใจระหว่างกัน การศึกษาศิลปะจะศึกษาจากลายลักษณ์อักษรที่ได้จดบันทึกขึ้น
5. สุนทรียรสในวิชาศิลปะวิจักษณ์ ให้ความรู้สึกซาบซึ้งในเรื่องใด
(1) ความรัก (2) ความงาม (3) ความสวย (4) ความบันเทิง
ตอบ 2 หน้า 3 (S), 12 – 13 (S) สุนทรียรสหรือรสของศิลปะจะก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในสุนทรียภาพ หรือความงามของศิลปะ ซึ่งนับเป็นความเข้าใจที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ต่อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว โดยมีสิ่งสำคัญ 2 ประการ คือ 1. ความซาบซึ้งทางอารมณ์ 2. ความซาบซึ้งทางพุทธิปัญญา
6. คุณค่าทางสุนทรียภาพทางศิลปะ คือ
(1) เป็นการแสดงออกถึงภาพที่ให้ความรู้สึกสะเทือนใจมากที่สุด
(2) เป็นภาพที่มีการจัดวางเส้น รูปร่าง มวล พื้นผิว และช่องว่างได้อย่างเหมาะสม
(3) เป็นการแสดงออกถึงลีลา ฝีแปรงที่แข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว
(4) เป็นการแสดงออกถึงสิ่งแปลกใหม่ในงานศิลปะ
ตอบ 2 หน้า 3, 20, 30 คุณค่าทางสุนทรียภาพของศิลปะหรือคุณค่าทางสุนทรียศาสตรี (Aesthetics) คือ การจัดวางโครงสร้างของศิลปะให้มีองค์ประกอบของเส้น คุณค่า รูปร่าง มวล พื้นผิว และช่องว่างให้มีความสมดุล มีสัดส่วน มีช่วงจังหวะ มีความกลมกลืน มีความขัดแย้ง และมีจุดเด่น ในงานศิลปะได้อย่างเหมาะสม
7. การศึกษาศิลปะอาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า
(1) คือการศึกษาชีวประวัติและผลงานของศิลปิน (2) คือการศึกษาโครงสร้างของงานศิลปะ
(3) คือการกำหนดรูปแบบของภาพเขียนจากผลงาน (4) คือการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์
ตอบ 4 หน้า 4 ศิลปกรรมย่อมคู่กับวัฒนธรรมเสมอ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและแสดงออกถึง ความเจริญของสังคม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และความคิดอ่านของศิลปิน จึงได้ถ่ายทอดออกมา เป็นงานศิลปะ ดังนั้นการศึกษาศิลปะจึงอาจกล่าวได้ว่า “คือการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์”
8. ศิลปะบริสุทธิ์
(1) ให้ความพอใจ (2) ให้ความเพลิดเพลิน (3)ให้อารมณ์สะเทือนใจ (4) เป็นศิลปะชั้นสูง
ตอบ 3 หน้า 4 (S), 87 (S) ศิลปะบริสุทธิ์หรือประณีตศิลป์ (Fine Art) เป็นงานศิลปะที่คำนึงถึงประโยชน์ ทางจิตใจ คือ ช่วยให้มีความสุขสบายใจ ทำให้เกิดความประทับใจที่ดื่มด่ำ มีความศักดิ์สิทธิ์ในทางจิต เกิดอารมณ์สะเทือนใจไม่เสื่อมคลายและไม่สูญหายไปจากความทรงจำ ดังนั้นจึง จัดเป็นงานศิลปะอมตะหรือเรียกว่า “วิจิตรศิลป์” ซึ่งเป็นศิลปะชั้นสูง ได้แก่ งานจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์
9. การถ่ายทอดงานศิลปะขึ้นอยู่กับ
(1) ความชำนาญในการเลือกเนื้อหา (2) ทักษะและประสาท
(3) รูปแบบที่กำหนดไว้แล้ว (4) ส่วนประกอบและเครื่องมือเกี่ยวกันงานศิลปะ
ตอบ 2 หน้า 11 ความรู้สึกในการถ่ายทอดงานศิลปะจะขึ้นอยู่กับทักษะและประสาทสัมผัสของศิลปิน ซึ่งการถ่ายทอดและตัดทอนอาจจะทำได้ 3 ประการ คือ 1. การถ่ายทอดตามความเป็นจริง2. การถ่ายทอดโดยการตัดทอน 3. การถ่ายทอดตามความรู้สึก
10. ความรู้ที่เรียกว่า “แม่แห่งศิลปะ” คือสิ่งใด
(1) ความจริงในประวัติศาสตร์ (2) การเขียนสีน้ำ
(3) สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา (4) ภาพปูนปั้นของสมัยคลาสสิก
ตอบ 3 หน้า 9-10 บ่อเกิดหรือแม่แห่งศิลปะมิได้มาจากธรรมชาติเท่านั้น เพราะสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเราย่อมมีผลเป็นอย่างมากต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ ดังนั้นปัจจัยที่ทำให้เกิดงานศิลปะ จึงประกอบไปด้วยธรรมชาติ ศาสนา ความเชื่อถือ ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ระบบการปกครอง สังคม และวัสดุที่นำมาใช้
11. ภูเขา ต้นไม้ ใบไม้ จัดเป็นรูปลักษณะทางศิลปะแบบใด
(1) เรขาคณิต
(2) ธรรมชาติ
(3) อิสระ
(4) ที่กำหนดแล้ว
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ
12. ศิลปะกินระวางเนื้อที่ หมายถึง
(1) ศิลปะบริสุทธิ์
(2) ศิลปะประยุกต์
(3) ทัศนศิลป์
(4) ภาพเขียน
ตอบ 3 หน้า 8, 40 ศิลปะกินระวางเนื้อที่ (Space Art) บางครั้งก็เรียกว่า “ทัศนศิลป์” (Visual Art or Plastic Art) หมายถึง ศิลปะที่จำกัดระวางเนื้อที่ส่วนใดส่วนหนึ่งในอากาศด้วยปริมาตร ของศิลปะเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น
13. ข้อใดคิอศิลปะประยุกต์
(1) ต่างหูรูปดาวและเดือน
(2) ภาพพิมพ์ลายพฤกษา
(3) พระพิมพ์สมัยลพบุรี
(4) ลายปูนปั้นสมัยอยุธยา
ตอบ 1 หน้า 8 – 9, 3 – 4 (S), 127 (S) ศิลปะประยุกต์ (Applied Art) คือ ศิลปะที่ตั้งใจสร้างหรือ ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ใช้สอย หรือเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เครื่องประดับ (ต่างหู กำไลแขน เข็มกลัด) เครื่องจักร ผ้า เครื่องหนัง เครื่องเคลือบ รวมทั้งสะพานส่งนํ้า หรือเขื่อนกั้นน้ำของศิลปะโรมัน ฯลฯ ซึ่งอาจจะแบ่งย่อยออกไปเรียกว่า “พาณิชย์ศิลปะหรืออุตสาหกรรมศิลป์” แต่ถ้าหากประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อประดับตกแต่งในอาคาร สถานที่ก็จะเรียกว่า “มัณฑนศิลป์” เช่น การออกแบบเครื่องเรือน โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ
14. ศิลปะสมัยใหม่
(1) มักเป็นศิลปะนามธรรม (2) มักประดิษฐ์จากวัสดุแปลกใหม่
(3) มักไม่ให้ประโยชน์ต่อสิ่งใดเลย (4) มักให้ประโยชน์ต่อการขัดเกลาจิตใจ
ตอบ 4 หน้า 42 ศิลปะสมัยใหม่ มักจะถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีจุดมุ่งหมายในประโยชน์ใช้สอยแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นมาลอย ๆ ตามความนึกคิดและความพอใจอันเนื่องมาจากความงามหรือ สิ่งประทับใจอื่น ๆ ของศิลปิน ดังนั้นจึงมีจุดมุ่งหมายที่จะขัดเกลาจิตใจของเราให้ผ่องใส หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเป็นประโยชน์ทางใจนั่นเอง
15. ลักษณะพิเศษของศิลปะนามธรรม
(1) ทำเป็นรูปที่ผู้อื่นไม่เข้าใจ (2) สร้างความคิดขึ้นมาใหม่
(3) ปรุงแต่งดัดแปลงใหม่ (4) เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยเห็น
ตอบ 3 หน้า 221, 38 – 39 (S), 57 (S) ศิลปะนามธรรมหรือมโนศิลป์ (Abstract) คือ การถ่ายทอด ตามความรู้สึกด้วยใจ โดยการนำเอารูปทรงต่าง ๆ ที่พบเห็นในธรรมชาติมาจัดเสียใหม่ หรือปรุงแต่งดัดแปลงใหม่ ดังนั้นจึงอาจจะมีลักษณะกึ่งธรรมชาติ กึ่งนามธรรม และผิดเพี้ยน ไปจากธรรมชาติอยู่บ้าง เช่น ศิลปะแบบคิวบิสม์ จัดเป็นศิลปะแบบกึ่งจินตนาการที่มีลักษณะ เป็นเหลี่ยม เป็นมุม และรูปทรงบิดเบี้ยว แต่ก็ยังพอพิจารณาดูรูปลักษณะได้ว่าเป็นรูปอะไร
16. เด็กที่อยู่ท่ามกลางศิลปกรรมที่งดงามจะมีบุคลิกอย่างไร
(1) อ่อนไหว (2) อดทน (3) สุขุม (4) ขาดความมั่นใจ
ตอบ 3 หน้า 21 (S) ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ให้ข้อคิดว่า เด็กที่คุ้นเคยกับงานศิลปะหรือ ได้พบเห็นสิ่งประณีตสวยงามนั้น ต่อไปในอนาคตก็จะกลายเป็นของจำเป็นต่อชีวิตของเด็ก เพราะจะช่วยให้มีความคิดอ่านประณีตสุขุม นอกจากนี้ศิลปะก็ยังช่วยให้เยาวชนของชาติ กลายเป็นคนดีขึ้น และประพฤติปฏิบัติไปตามกฎแห่งศีลธรรม
17. ข้อใดไม่ใช่วิจิตรศิลป์
(1) จิตรกรรม (2) ประติมากรรม (3) ภาพถ่าย (4) สถาปัตยกรรม
ตอบ 3 หน้า 8, 221, 22 (S) วิจิตรศิลป์ (Fine Art) หมายถึง จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และภาพพิมพ์ ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของธรรมชาติจนส่งเสริม ให้ศิลปินเกิดความคิดสร้างสรรค์ในงานศิลปะ หรือเป็นศิลปกรรมที่ทำขึ้นจากความสัมพันธ์กัน อย่างประณีตของเส้นและมวลสิ่งหรือสีที่มีความผสมกลมกลืนกันอย่างงดงาม
18. ข้อใดเกี่ยวข้องกับวิจิตรศิลป์
(1) ชุดโต๊ะเก้าอี้ฝังมุก (2) เข็มกลัดเพชร
(3) รูปหญิงสาวส่องกระจก (4) ผ้าไหมแพรวา
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 8, 13. และ 17. ประกอบ
19. งานศิลปกรรมใดให้ความรู้สึกลึกซึ้ง
(1) กำไลแขนลายมังกร (2) พานขันหมากสำรับใหญ่
(3) ต่างหูทองคำลายดาว (4) พระพุทธรูปศิลาทราย
ตอบ 4 หน้า 23 – 30 (S), (ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ) คุณสมบัติที่แท้จริงของผลงานศิลปะ ที่มองเห็นมีอยู่ 5 ประการ คือ 1. คุณสมบัติที่เด่นชัดในตัวของมันเอง
2. คุณสมบัติในการดำรงอยู่ 3. คุณสมบัติที่ให้ความรู้สึกเพิ่มขึ้น ยิ่งดูยิ่งลึกซึ้ง
เช่น พระพุทธรูปสุโขทัย เป็นต้น 4. คุณสมบัติที่ส่งเสริมให้คิดถึงสิ่งอื่น
5. คุณสมบัติที่พร้อมทุกด้าน มีความสมบูรณ์ในตัวเอง
20. ศิลปกรรมนานาชาติแสดงออกถึงความงามในรูปแบบใด
(1) ความเหมือนกัน
(2) ต่างกันในเรื่องน้ำหนัก
(3) มีรสนิยมต่างกัน
(4) ต่างกันในเรื่องของสี
ตอบ 3 หน้า 5 (S) รสนิยมที่ดีในงานศิลปะ หมายถึง การรู้จักความสัมพันธ์ของโครงสร้างและส่วนประกอบขั้นมูลฐานที่สำคัญของงานศิลปะ โดยต้องพิจารณาถึงรูปลักษณะที่สวยงามและ ประโยชน์ใช้สอยควบคู่กันไปด้วย ซึ่งรสนิยมที่มีขึ้นของแต่ละชาติจะแตกต่างกัน อันมีผลมาจาก ความแตกต่างของขนบธรรมเนียม เชื้อชาติ วัฒนธรรม และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
21. จุดมุ่งหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการเรียนวิชาศิลปะวิจักษณ์ คือ
(1) เป็นผู้เชี่ยวชาญในการอนุรักษ์ศิลปกรรมของชาติ
(2) เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งสวยงามเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
(3) เข้าใจความเป็นมาของศิลปกรรมชิ้นสำคัญของประเทศจนสามารถอธิบายได้
(4) มีความชำนาญในการจัดรูปแบบทางด้านศิลปะ
ตอบ 2 หน้า 3 จุดมุ่งหมายในการเรียนวิชาศิลปะวิจักษณ์ คือ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจและ พิจารณางานศิลปะอย่างมีเหตุผล ตลอดจนเข้าใจประวัติความเป็นมาจนสามารถวิเคราะห์ และสังเคราะห์งานศิลปะได้ กล่าวคือ เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งสวยงามเพื่อนำไปใช้ ในชีวิตประจำวัน เกิดทัศนคติที่ดี รู้จักคุณค่าของศิลปกรรม และยังเป็นการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจอย่างมีหลักการ จนสามารถรู้วิธีการเบื้องต้นในการอนุรักษ์ศิลปกรรมของชาติได้
22. ข้อใดหมายถึงงานนิเทศศิลป์
(1) ภาพเหมือนคุณมาลินี พีระศรี
(2) ภาพหญิงสาวของตูลูส โลเทรค
(3) ภาพประกอบในนิตยสาร
(4) ภาพพิมพ์ของฮิโรชิเอะ
ตอบ 3 หน้า 102 – 103 (S) งานนิเทศศิลป์ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการธุรกิจและการโฆษณา เช่น การออกแบบเครื่องหมายสัญลักษณ์ การออกแบบลายผ้า ลายกระเบื้องเคลือบ การออกแบบ หนังสือ ภาพประกอบในนิตยสาร ตลอดจนการออกแบบผลิตภัณฑ์จำพวกเครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ
23. ประติมากรรมนูนต่ำคือข้อใด
(1) ภาพปูนปั้นที่เจดีย์จุลประโทน
(2) ลายจำหลักบนใบเสมา
(3) เหรียญห้าบาทไทย
(4) พระพุทธรูปบนฐานเตี้ย
ตอบ 3 หน้า 41 – 42 ประติมากรรม คือ ศิลปะกรรมซึ่งเป็นรูปทรงสามมิติ มีการกินที่ในอากาศแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ประติมากรรมนูนตํ่า คือ รูปที่ปั้นหรือแกะสลักให้ยื่นออกมา จากแผ่นหลัง โดยมีพื้นแบนราบเสมอกันทั่วทั้งองค์ประกอบ เช่น เหรียญเงินตราต่าง ๆ ฯลฯ
2. ประติมากรรมนูนสูง คือ รูปปั้นหรือแกะสลักที่นูนออกมาจนเกือบหลุดออกจากแผ่นหลัง
3. ประติมากรรมลอยตัว คือ รูปปั้นที่ไม่มีแผ่นหลัง สามารถดูได้รอบด้านและทุกระดับแนวดู
24. ศิลปกรรมเพื่อประโยชน์ใช้สอยคือ
(1) ภาพเขียนสีดอกทานตะวัน (2) ภาพพิมพ์ลายไทย
(3) สะพานส่งนํ้าศิลปะโรมัน (4) รูปสลักหินอ่อนศิลปะกรีก
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ
25. ภาพสามมิติ หมายถึง
(1) ภาพเขียนที่มีความลึก (2) สถาปัตยกรรม (3) ประติมากรรม (4) ภาพเขียนสีน้ำมัน
ตอบ 1 หน้า 41, 221 – 222 ภาพสามมิติได้แบบอย่างการเขียนมาจากศิลปะตะวันตก ดังนั้นจึงมี ลักษณะเป็นภาพเขียนที่มีความลึก อันประกอบไปด้วยสี เส้น แสง และเงา ผิดกับภาพเขียนของ ศิลปะตะวันออกที่มักจะประกอบไปด้วยสีและเส้นเท่านั้น ทำให้ภาพเขียนมีลักษณะเป็นรูปแบน ๆ หรือเป็นภาพสองมิติที่ไม่มีความลึก ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของภาพจิตรกรรม (ฝาผนัง) ของไทย
26. ภาพหุ่นนิ่งรูปดอกไม้เกี่ยวข้องกับข้อใด
(1) สีน้ำมัน (2) ลายเส้น (3) จิตรกรรม (4) ประติมากรรม
ตอบ 2 หน้า 36 (S) ภาพเหมือนจริงหรือหุ่นนิ่ง (Still Life) เป็นการแสดงออกตามความเป็นจริง ซึ่งถอดแบบมาจากธรรมชาติอย่างชัดเจน โดยศิลปินจะแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ตามที่เข้าใจ และต้องการแสดงออก ได้แก่ การแสดงออกถึงเรื่องราวชีวิตจริง การทำงาน ความยากจน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น ภาพหุ่นนิ่งของนักดนตรี ภาพลายเส้นรูปเหมือน ของดอกไม้ต่างๆ เป็นต้น
27. สิ่งบันดาลใจให้ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะ
(1) ความสันโดษ (2) ความเชื่อในเรื่องวิญญาณ
(3) ความสะเทือนอารมณ์ (4) ความกตัญญูต่อธรรมชาติ
ตอบ 3 หน้า 10 ถึงแม้ว่าธรรมชาติจะเป็นแรงบันดาลใจอันเร้นลับที่ผลักดันให้มนุษย์สร้างสรรค์งานศิลปะ ออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง สุดแล้วแต่ประสบการณ์และอารมณ์สะเทือนใจของศิลปินผู้นั้น แต่หากปราศจากอำนาจแห่งความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ อันก่อให้เกิดมโนภาพหรือจินตนาการ ขึ้นในจิตใจด้วยแล้ว งานศิลปะก็มิอาจสร้างสรรค์ขึ้นมาได้
28. ความสมดุลคือข้อใด
(1) ต่างหูข้างหนึ่งเป็นรูปดาวและอีกข้างหนึ่งเป็นรูปเดือน (2) ที่คาดผมมีโบทางซ้าย
(3) กระถางดอกโป๊ยเซียนแตกกิ่งก้านสาขามากมาย (4) ดอกไม้ปักแจกันเป็นรูปดาว
ตอบ 1 หน้า 30 – 31, 76 (S) ความสมดุล หมายถึง ความเท่ากันหรือการถ่วงเพื่อให้เกิดการเท่ากัน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. ความสมดุลที่เท่ากัน คือ ความเท่ากันทั้งซ้ายและขวา เช่น ร่างกายของคน สัตว์ ฯลฯ 2. ความสมดุลไม่เท่ากัน คือ ความสมดุลที่มิได้เท่ากันโดยแท้จริงแต่มีการจัดขนาด รูปร่าง สี รูปทรง ฯลฯ ให้แตกต่างกันทั้ง 2 ข้าง หรือมีลักษณะสมดุลด้วยตา โดยประมาณ เช่น ต่างหูข้างหนึ่งเป็นรูปดาวและอีกข้างหนึ่งเป็นรูปเดือน ฯลฯ
29. พื้นผิวของไม้มะเกลือให้ความรู้สึก
(1) บางเบา (2) ลื่นมัน (3) อ่อนหวาน (4) เย็นสบายตา
ตอบ 4 หน้า 64 – 65 (S) พื้นผิวของดิน เปลือกไม้ อิฐ พืช เปลือกไข่ ขนสัตว์ ใยไหม ปีกของแมลง หรือไม้มะเกลือขัดมัน ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะโดยธรรมชาติเป็นวัสดุที่แข็งและสะท้อนแสงได้อย่างดี จะให้ความรู้สึกเย็น แต่ถ้ามีลายไม้มากหรือมีสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำจะให้ความรู้สึกอบอุ่นแทน
30. สีที่มีความอ่อนหวาน คือสีใด
(1) สีแดง (2) สีชมพู (3) สีเหลือง (4) สีเขียว
ตอบ 2 หน้า 71 (S) ในเรื่องจิตวิทยาของสีนั้นถือว่า สีมีอิทธิพลเหนือจิตใจของมนุษย์โดยทั่วไป ดังนั้นสีจึงสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึกได้เป็นอย่างดี เช่น สีเหลือง หมายถึง ความไพบูลย์, สีแดง หมายถึง ความตื่นเต้นเร้าใจ, สีชมพูหรือสีดอกกุหลาบ หมายถึง ความอ่อนหวานนุ่มนวล, สีเขียวและสีนํ้าเงิน หมายถึง ความสงบเงียบ ฯลฯ
31. สีกลาง คือสีใด
(1) ขาว
(2) นํ้าเงิน
(3) นํ้าตาล
(4) เทา
ตอบ 4 หน้า 34, 67 (S) สีทั้งหลายที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นเกิดจากการผสมกันของแม่สีที่เรียกว่า แม่สีวัตถุธาตุ ได้แก่ 1. สีน้ำเงิน (Prussian Blue) 2. สีแดง (Crimson)3. สีเหลือง (Gamboge Tint) ซึ่งสีทั้งสามนี้เมื่อนำมาผสมกันในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กัน ก็จะได้สีกลาง (Neutral Tint) คือ สีเทา แต่ถ้าผสมเข้มจัดจะได้สีดำ
32. สีตรงกันข้าม คือข้อใด
(1) เทาเข้ม ฟ้าใส
(2) แดง ชมพูอ่อน
(3) เหลือง นํ้าตาล
(4) ส้ม นํ้าเงิน
ตอบ 4 หน้า 36, 69 (S) สีตรงกันข้ามหรือสีคู่จะเป็นสีที่ตัดกันอย่างแท้จริง ซึ่งสีบางสีจะเอามาผสมกัน ไม่ได้เพราะสีจะเน่าและไม่สวย โดยสีชนิดนี้มีมากคู่ด้วยกัน เช่น สีเขียวกับสีแดงเลือดนก,สีเหลืองกับสีม่วง, สีนํ้าเงินกับสีส้ม, สีแดงกับสีเขียวนํ้าเงิน ฯลฯ
33. ต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ด้านที่โดนแดดเต็มที่จะเป็นสีใด
(1) เหลือง
(2) ขาว
(3) เทา
(4) ดำ
ตอบ 2 หน้า 55 – 56 (S) การเขียนรูปที่มีแสงส่องด้านข้างนั้น ด้านที่โดนแดดเต็มที่จะสว่างจนเกิด เป็นน้ำหนักขาว ส่วนที่พอจะได้แสงนิดหน่อยจะกลายเป็นสีเทา และส่วนที่ตรงกันข้ามกับแสง หรือเงาจะเป็นน้ำหนักดำ
34. ค่าของความแตกต่างที่เกิดจากแสงและเงา คือ
(1)รูปทรง (2)ความเข้ม (3)จุด (4)ทิศทาง
ตอบ 2 หน้า 56 (S) ความเข้ม (Value) หมายถึง ค่าของความแตกต่างที่เกิดจากแสงและเงาซึ่งคุณค่าของแสงและเงาจะช่วยให้งานศิลปะมีลักษณะเป็นแท่งหรือเป็นกลุ่มก้อน จนทำให้ เกิดเป็นภาพสามมิติขึ้น และก่อให้เกิดความงามในทางศิลปะ
35. เส้นที่ให้ความรู้สึกไม่หยุดนิ่ง คือ
(1) เส้นโค้ง (2) เส้นแย้ง (3) เส้นตรง (4) เส้นซิกแซ็ก
ตอบ 4 หน้า 26, 51 – 53 (S) การที่จะเข้าใจศิลปกรรมได้ดีจำเป็นต้องเรียนรู้ในเรื่องของเส้นและ ความหมายของเส้น เช่น เส้นตั้งจะให้ความรู้สึกมั่นคง จริงจัง, เส้นซิกแซ็กจะให้ความรู้สึก ไม่หยุดนิ่ง ตื่นเต้น, เส้นเฉียงจะให้ความรู้สึกรวดเร็ว, เส้นนอนจะให้ความรู้สึกสงบ นิ่งเฉย ผ่อนคลาย, เส้นโค้งลงสู่พื้นจะให้ความรู้สึกเศร้า เหนื่อยหน่าย อ่อนไหว, เส้นที่กระจายออก เป็นรัศมีจะให้ความรู้สึกกระจายออก การระเบิด ความมีกำลังเพิ่มขึ้น ฯลฯ
36. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับรูปทรงเรขาคณิต
(1) ลายจำหลักหินรูปทรงกลม (2) ตะกร้าย่านลิเภาลายสามเหลี่ยม
(3) ผ้าไหมลายนํ้าใหลจากน่าน (4) จิตรกรรมฝาผนังลายเทพชุมนุม
ตอบ 4 หน้า 223, 60 (S) รูปทรง (Form) แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 1. อินทรียรูป คือ รูปทรง ที่มีชีวิต มีกฎเกณฑ์และมีโครงสร้างที่แน่นอน 2. รูปทรงเรขาคณิต คือ รูปทรงที่เกิดจากการสร้างของมนุษย์ให้เกิดเป็นเส้นตรง เป็นรูปมีเหลี่ยมมุม รูปวงกลม รวมถึงการตกแต่ง ด้วยแบบลายเส้นในการจักสาน เช่น ตะกร้า ชะลอม กระบุง ลายในการถักทอ ฯลฯ 3. รูปทรงอิสระ คือ รูปทรงที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และไม่มีโครงสร้าง
37. ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะจาก
(1) ธรรมชาติ (2) คิดขึ้นเอง (3) เลียนแบบจากงานอื่น (4) เสียงเพลง
ตอบ 1 หน้า 10-11 ในการสร้างสรรค์งานศิลปะนั้น ธรรมชาติ ศิลปิน และการแสดงออกย่อมมี ความสัมพันธ์และส่งผลต่อกันจนไม่สามารถจะแยกสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกได้ ทั้งนี้เพราะธรรมชาติ เปรียบเสมือนเป็นทรัพยากรทางความคิดให้ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะ โดยดัดแปลงคิดค้น หารูปลักษณะ (Form) แบบใหม่ ๆ เพื่อรับใช้สังคมอย่างไม่รู้จักจบสิ้นนั่นเอง
38. รูปทรงสี่เหลี่ยมให้ความรู้สึกอย่างไร
(1)หนักแน่น (2)อ่อนไหว (3)ไม่หยุดนิ่ง (4)แข็งกระด้าง
ตอบ 1 หน้า 62 – 63 (S) รูปทรง สามารถสื่อความหมายและความรู้สึกได้เช่นเดียวกับวิธีการของเส้น เช่น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะให้ความรู้สึกหนักแน่น เข้มแข็ง มั่นคง, รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าจะให้ ความรู้สึกตรงไปตรงมา เป็นกลาง เคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง, รูปสี่เหลี่ยมคางหมูจะให้ความรู้สึก แปลกใหม่ สนุกสนาน, รูปวงกลมจะให้ความรู้สึกปลอดภัย มีพลังสูง ฯลฯ
39. ลักษณะพิเศษของภาพจิตรกรรมไทย คือ
(1) สองมิติ (2) สามมิติ (3) ลายเส้น (4) สีนํ้า
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ
40. เส้นโค้ง หมายถึง
(1) ความไม่แน่นอน (2) ความอ่อนไหว (3) ความแน่วแน่ (4) ความไม่หยุดนิ่ง
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ
41. เส้นนอนมีความหมาย
(1) สงบ
(2) รวดเร็ว
(3) ต้นพลัง
(4) เหนื่อยหน่าย
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ
42. เส้นที่กระจายออกเป็นรัศมี หมายถึง
(1) ความหวัง
(2) ความทะเยอทะยาน
(3) ความมีกำลังเพิ่มขึ้น
(4) ความมีสง่า
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ
43. เส้นที่มีลักษณะต่างกันและมีทิศทางต่างกัน
(1) ย่อมมีความกลมกลืนกัน
(2) เกิดความไม่กลมกลืนกัน
(3) ไร้ชีวิตจิตใจ
(4) มีความรู้สึกขัดแย้ง
ตอบ 2 หน้า 53 (S) หลักสำคัญในการออกแบบเส้นเพื่อให้รู้สึกว่ามีความกลมกลืนหรือตัดกันมีดังนี้
1. เส้นที่มีลักษณะคล้ายกันและมีทิศทางใกล้กัน ย่อมกลมกลืนกัน
2. เส้นที่มีลักษณะต่างกันและมีทิศทางต่างกัน ย่อมไม่กลมกลืนกัน
44. ศิลปกรรมเพื่อประโยชน์ใช้สอยเกี่ยวข้องกับ
(1) ความดีงาม (2) ความรื่นรมย์ทางใจ
(3) ความเชื่อถือศรัทธา (4) ประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ
ข้อ 45. – 49. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) เพลโต (2) ศิลป์ พีระศรี (3) ลียอป ตอลสตอย (4) แรงบันดาลใจ (5) นักโบราณคดี
45. ศิลปกรรม
ตอบ 4 หน้า 7 ศิลปกรรมเป็นงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์อันมีธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งสวยงามหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีส่วนช่วยเสริมสร้างจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น และศิลปะนั้นอาจแสดงออกมาในรูปที่เป็นศีลธรรมหรือไม่ก็ได้
46. ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ตอบ 1 หน้า 6 เพลโต (Plato) มีความเห็นเกี่ยวกับศิลปะว่า ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ผู้ที่จะเข้าใจและนิยมความงามในศิลปะได้มีเพียงนักปรัชญาเท่านั้น
47. ศิลปะเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 7 นักโบราณคดี เห็นว่า ศิลปกรรมย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่บ่งบอกถึงความเจริญในอดีต และศิลปะย่อมเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้ดีที่สุด
48. ศิลปะเป็นสะพานที่เชื่อมคติความเชื่อทางวัตถุและจิตใจ
ตอบ 2 หน้า 6 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ให้ความหมายของศิลปะว่า ศิลปะเป็นสะพานที่เชื่อม คติความเชื่อทางวัตถุกับทางจิตใจ เมื่อผู้ใดเข้าใจและรู้คุณค่าของศิลปะแล้วผู้นั้นก็อาจจะถึง ซึ่งความสุขที่แท้จริง
49. ความประณีตไม่ใช่งานศิลปะ
ตอบ 3 หน้า 5-6 ลียอป ตอลสตอย (Lyof Talstoy) กล่าวถึงความหมายของศิลปะว่า ศิลปะที่มี ความประณีต ความงาม และความบันเทิงเริงใจนั้นหาใช่เป็นศิลปะไม่ แต่เป็นเพียงงานฝีมือ เพราะเป็นงานที่ขาดเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งของศิลปะ
ข้อ 50. – 54, จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) ศิลปะประยุกต์
(2) การแสดงออก
(3) มัณฑนศิลป์
(4) ธรรมชาติ
(5) วิจิตรศิลป์
50. จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ และดุริยางคศิลป์ หมายถึง
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ
51. ต่างหูและกำไลแขนจัดว่าเป็น
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ
52. ศิลปะสำหรับประดับตกแต่งอาคารสถานที่ เรียกว่า
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ
53. สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของงานศิลปะ คือ
ตอบ 2 หน้า 10 การแสดงออก (Expression) ถือเป็นกระบวนการขั้นสุดท้ายที่มีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะอย่างยิ่ง กล่าวคือ ถ้าเกิดอารมณ์สะเทือนใจจนก่อให้เกิดมโนภาพขึ้น ในจิตใจแต่มิได้แสดงออก งานศิลปะก็ไม่อาจสร้างสรรค์ขึ้นได้
54. ทรัพยากรทางความคิดของศิลปิน คือ
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ
55. ภาพเขียนของจีนเจริญสูงสุดในสมัยใด
(1) สมัยราชวงค์ฮั่น
(2) สมัยราชวงศ์ถัง
(3) สมัยราขวงค์ซ่ง
(4) สมัยราชวงศ์หมิง
ตอบ 2 หน้า 39, 220 ภาพเขียนของจีนเจริญสูงสุดในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งถือเป็นยุคทองของศิลปะจีน ส่วนภาพเขียนในสมัยราชวงศ์ซ่งหรึอซ้องนั้น ศิลปินจีนนิยมเขียนภาพภูมิประเทศหรือภาพทิวทัศน์ อันสวยงาม เช่น ภาพภูเขา ต้นไม้ ฯลฯ ผลุบโผล่อยู่ในสายหมอก
56. ข้อใดคือภาพหุ่นนิ่ง
(1)ฉากลับแล (2)ตู้ลายรดน้ำ (3)เส้นรูปเหมือน (4)รูปลายเรขาคณิต
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 26. ประกอบ
57. ศิลปะจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งนิยมเขียนภาพประเภทใด
(1)ภาพสงคราม (2)ภาพเหมือน (3)ภาพนกดอกไม้ (4)ภาพทิวทัศน์
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ
58. ลักษณะของศิลปกรรมคิวบิสม์
(1) บริสุทธิ์ไร้เดียงสา (2) นิยมสลักจากก้อนหิน
(3) รูปทรงบิดเบี้ยว (4) เหมือนธรรมชาติ
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ
59. ศิลปะเพื่อประโยชน์ใช้สอยเรียกอีกอย่างว่า
(1) ศิลปะประทับใจ (2) ศิลปะบริสุทธิ์ (3) ศิลปะโรแมนติก (4) ศิลปะประยุกต์
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ
60. ผลงานสูงสุดของมนุษย์คือข้อใด
(1) ศิลปะถํ้า
(2) ศิลปะเพื่อชีวิต
(3) ศาสนศิลปะ
(4) ศิลปะบริสุทธิ์
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ
61. ช่างโบราณไม่กล้าแสดงรูปพระพุทธรูปเพราะ
(1) ยึดมั่นในพระศาสนามากเกินไป
(2) ช่างไม่มีความชำนาญ
(3) เกรงกลัวต่อบาป
(4) ปฏิบัติตามบรรพบุรุษ
ตอบ 1 หน้า 83 – 84, 43 (S) ศิลปะอินเดียสร้างขึ้นมาเนื่องจากศาสนา และเมื่อช่างโบราณยึดมั่น ในพระศาสนาและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มากเกินไป ย่อมจะทำให้ไม่สามารถสร้างสรรค์ภาพพจน์ ของพระพุทธรูปได้อย่างอิสระ เช่น ในยุคที่เริ่มสร้างรูปเพื่อรำลึกถึงพุทธธรรม ช่างจะไม่นิยม ปั้นพระพุทธรูป แต่จะเว้นเหลือไว้แต่พระแท่นว่าง เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์นั้นหมดแล้วซึ่งความเห็นแก่ตัว ไม่ได้ยึดในตนอีกต่อไปหรือคล้ายกับปราศจากตัวตน
62. ข้อใดเป็นวิจิตรศิลป์
(1) แจกันรูปแบบแปลกใหม่
(2) ตึกสูงห้าสิบชั้น
(3) ภาพพิมพ์รูปวัด
(4) ภาพเหมือนรูปดอกไม้
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 8. และ 17. ประกอบ
63. โบราณวัตถุที่สำคัญที่โมเหนโจดาโร
(1) เครื่องมือหิน
(2) หม้อดินเผา
(3) ตราประทับทำจากหินสบู่
(4) ซากพระราชวังโบราณ
ตอบ 3 หน้า 59 อารยธรรมโมเหนโจดาโรและฮารัปปา เจริญขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ของอินเดีย ทั้งนี้เพราะพบหลักฐานทางโบราณคดี ทั้งสองสมัย โดยหลักฐานที่เป็นโบราณวัตถุก่อนประวัติคาสตร์ที่สำคัญ คือ ตราประทับที่ทำด้วยหินสบู่ในรูปต่าง ๆ ซึ่งพบทั้งในแคว้นปัญจาบและสินธุ
64. ข้อความใดเกี่ยวข้องกับคัมภีร์พระเวท
(1) อารยัน (2) ศาสนาพุทธ (3) ดราวิเดียน (4) ศาสนาเชน
ตอบ 1 หน้า 90 เมื่อชาวอารยันได้เข้ามายึดครองดิบแดนแถบลุ่มแม่น้ำสินธุและคงคา ก็ได้นำเอา คัมภีร์พระเวทเข้ามาเผยแพร่ในอินเดียด้วย ซึ่งคัมภีร์พระเวทนี้มีอิทธิพลต่อคติความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ตำนานเก่าแก่ และนิยายพื้นเมืองของชาวอารยันมาก
65. หัวเสาแบบโครินเธียน เป็นอิทธิพลของศิลปะใด
(1) กริก (2) อียิปต์ (3) เปอร์เซีย (4) เมโสโปเตเมีย
ตอบ 1 หน้า 94 – 95, 121 – 122 (S) สถาปัตยกรรมในศิลปะคันธารราฐของอินเดียจะได้รับอิทธิพล จากศิลปะกรีก เช่น การนิยมทำหัวเสาแบบโครินเธียน (Corinthian) ซึ่งมักจะประดับลวดลาย ด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ บนหัวเสา เช่น ลายใบอาคันธัส ลายใบปาล์ม ลายพวงองุ่น และลายกามเทพแบกพวงมาลัย ฯลฯ
66. พระพุทธรูปคันธารราฐมีการครองจีวรแบบใด
(1) ห่มคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง จีวรเป็นริ้ว (2) ห่มเปิดพระอังสาขวา
(3) ห่มเปิดพระอังสาซ้าย (4) ห่มคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง จีวรเรียบ
ตอบ 1 หน้า 93 – 94 พระพุทธรูปสมัยคันธารราฐของอินเดียจะมีความสวยงามตามแบบศิลปะกรีก อย่างชัดเจน ซึ่งจะเห็นได้จากพระพักตร์ พระเกศา และการครองจีวรที่แทบจะไม่มีลักษณะ ของอินเดียเหลืออยู่เลย คือ มีการครองจีวรห่มคลุมพระอังสา (บ่าหรือไหล่) ทั้ง 2 ข้าง โดยมี จีวรแนบกันมากับพระองค์ และมีริ้วนูนหนาเป็นวงโค้งซ้อนกันทางด้านหน้า
67. พระพุทธรูปยกชายจีวรขึ้นระหว่างพระโสณี
(1) พระพุทธรูปคันธารราฐ (2) พระพุทธรูปมถุรา
(3) พระพุทธรูปอมราวดี (4) พระพุทธรูปคุปตะ
ตอบ 2 หน้า 95, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 55) การครองจีวรของพระพุทธรูปมถุราจะเป็นแบบใหม่ คือ ครองเฉพาะจีวรและสบงโดยไม่ปรากฏว่ามีสังฆาฏิ และมักห่มเฉียง เปิดพระอังสาซ้าย พระหัตถ์ซ้ายมักยกชายจีวรขึ้นระหว่างพระโสณี (ตะโพก)
68. ศิลปะอินเดียที่เจริญขึ้นแถบแม่นํ้ากฤษณา คือ
(1) ศิลปะคันธารราฐ (2) ศิลปะมถุรา (3) ศิลปะอมราวดี (4) ศิลปะคุปตะ
ตอบ 3 หน้า 97 – 98 ศิลปะอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9) เจริญขึ้นทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย แถบลุ่มแม่นํ้ากฤษณาโดยเฉพาะที่เมืองอมราวดี นาคารชุนิโกณฑะ ชัคคัยยะเปฎะ และโคลิ ภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงศ์สัตตวาหนะ เมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 6 โดยมีสถาปัตยกรรม ที่สำคัญที่สุด คือ สถูปสำหรับบรรจุพระบรมอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า
69. สถาปัตยกรรมที่สำคัญของศิลปะสมัยอมราวดี คือ
(1) ศาสนสถานที่สลักลึกเข้าไปในภูเขา (2) สถูปสำหรับบรรจุพระบรมอิฐิของพระพุทธเจ้า
(3) ศาสนสถานที่สร้างขึ้นกลางแจ้ง (4) พระเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมอิฐิของพระพุทธเจ้า
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 68. ประกอบ
70. พระพุทธรูปอินเดียเริ่มเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียอย่างแท้จริงในสมัยใด
(1) สมัยคันธารราฐ (2) สมัยมถุรา (3) สมัยคุปตะ (4) สมัยอมราวดี
ตอบ 2 หน้า 95, 97, 99 พระพุทธรูปอินเดียเริ่มเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียในสมัยมถุรา(พุทธศตวรรษที่ 7-8) แต่ความเป็นอินเดียอย่างแท้จริงและลักษณะของมหาบุรุษปรากฏขึ้น อย่างครบครันในพระพุทธรูปสมัยอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9) ซึ่งถือได้ว่ามีความงาม ตามแบบอินเดียโดยแท้ เพราะไม่เห็นลักษณะของอิทธิพลต่างชาติเลย
71. ศาสนสถานในศิลปะคุปตะ
(1) ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์
(2) นิยมทำหลังคาเป็นชั้น ๆ
(3) นิยมสลักลึกเข้าไปในภูเขา
(4) นิยมสร้างสถูปเป็นพื้น
ตอบ 1 หน้า 102 สถาปัตยกรรมในสมัยคุปตะจะนิยมสร้างไว้กลางแจ้ง โดยในสมัยพระเจ้าจันทรคุปต์ ที่ 2 พุทธศาสนสถานที่สร้างขึ้น เช่น โบสถ์ วิหาร สถูป ฯลฯ มักจะเลียนแบบจากเทวาลัยของ ศาสนาพราหมณ์ ซึ่งลักษณะทางสถาปัตยกรรมเช่นนี้ได้ให้อิทธิพลต่อการสร้างเจดีย์ของพม่า (Pagoda) และบุโรพุทโธของอินโดนีเซียด้วย
72. มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดียเป็นมหาวิทยาลัยแห่ง
(1)พุทธศาสนา
(2)ศาสนาพราหมณ์
(3)ศาสนาอิสลาม
(4)ศาสนาเชน
ตอบ 1 หน้า 213, 152 (S) มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย เป็นงานสถาปัตยกรรมในสมัยศิลปะปาละ -เสนะ ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งพุทธศาสนา โดยเป็นศูนย์กลางใหญ่ ของพุทธศาสนาลัทธิตันตระ อยู่ใบแคว้นเบงกอล
73. พระพุทธรูปยุคทองของอินเดียเริ่มเสื่อมลงหลังพุทธศตวรรษ
(1)ที่ 12
(2)ที่13
(3)ที่ 14
(4)ที่ 15
ตอบ 1 หน้า 101 – 103 พระพุทธรูปสมัยคุปตะ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยุคทองของอินเดียเริ่มเสื่อมลง เมื่อหมดสมัยของพระเจ้ากุมารคุปต์ในพุทธศตวรรษที่ 12 และหลังจากนี้เป็นต้นไป ประติมากรรมต่าง ๆ จะมีร่างกายหนักทึบและเพิ่มลวดลายมากขึ้น ส่วนภาพเขียนที่เป็น ภาพบุคคลนั้นก็จะเพิ่มรายละเอียดและเครื่องประดับ ทำให้ภาพบุคคลเดียว ๆ ดูแข็งกระด้าง ไม่มีชีวิตจิตใจอีกต่อไป
74. พระพุทธรูปสมัยคุปตะของอินเดีย
(1) มีความงามอย่างเรียบง่าย แต่รูปประติมากรรมหนักทึบ
(2) มักนิยมห่มคลุมพระอังสาสองข้าง จีวรเป็นริ้ว เป็นพระพุทธรูปกรีก
(3) ขมวดพระเกศาวนขวา นิยมห่มเฉียงเปีดพระอังสาซ้าย จีวรเป็นริ้ว
(4) นิยมแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นทั้งพระมหากษัตริย์และเทวดา
ตอบ 4 หน้า 101 พระพุทธรูปสมัยคุปตะของอินเดียจะไม่นิยมแสดงให้เห็นว่าพระพุทธรูปเป็นมนุษย์ อย่างแท้จริง แต่เป็นทั้งพระมหากษัตริย์และเทวดา หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา ก็ได้ ดังเช่นที่ช่างคุปตะไม่ได้แสดงให้เห็นมุกขลึงค์อันเป็นลักษณะที่แสดงให้รู้ถึงเพศเลย
75. พระพุทธรูปทวารวดียุคแรกได้รับอิทธิพลของศิลปะใด
(1) ศิลปะอมราวดี คุปตะ หลังคุปตะ (2) ศิลปะขอมแบบปาปวน
(3) ศิลปะพื้นเมือง (4) ศิลปะอิสลาม
ตอบ 1 หน้า 123 – 124 พระพุทธรูปทวารวดีแบ่งเป็น 3 รุ่นดังนี้
1. รุ่นที่ 1 แสดงอิทธิพลของศิลปะอมราวดี คุปตะและหลังคุปตะ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12
2. รุ่นที่ 2 แสดงอิทธิพลของศิลปะพื้นเมืองมากยิ่งขึ้น มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13 – 15
3. รุ่นที่ 3 แสดงอิทธิพลของศิลปะขอมแบบปาปวนหรือศิลปะลพบุรีตอนต้น มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ 15 ลงมา
76. ศิลปะยุคทองของศิลปะในแต่ละประเทศ
(1) นิยมความสวยงามแบบเดียวกัน (2) แสดงออกถึงความอ่อนหวาน
(3) เปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมของยุคสมัย (4) ไม่เป็นที่นิยมของยุคต่อมา
ตอบ 3 หน้า 39 – 40 ศิลปะยุคทอง เป็นศิลปวัฒนธรรมของแต่ละชาติที่มีความเจริญคลี่คลายถึง จุดสูงสุด มีลักษณะเป็นอุดมคติของตนเอง และมีความสวยงามจนไม่มีศิลปะสมัยใดเทียบได้ แต่ความนิยมในเรื่องความงามอันถือว่าเป็นยุคทองของศิลปกรรมนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตาม คตินิยม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีของกลุ่มศิลปินในแต่ละยุคแต่ละสมัย
77. ยุคทองของศิลปะอินเดียเจริญขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่เท่าใด
(1)ที่3-5 (2)ที่5-7 (3)ที่7-9 (4)ที่9-11
ตอบ 4 หน้า 100, 109 ยุคทองของศิลปะอินเดียซึ่งเป็นศิลปะที่มีความงามสูงสุด คือ ศิลปะสมัยคุปตะ ที่เจริญขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 9-11 ภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงศ์คุปตะ และในยุคนี้ ยังเป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางด้านปรัชญาการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องในศาสนาอีกด้วย
78. วัฒนธรรมของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์แสดงออกมาในรูปใด
(1) ภาษา (2) อักษร (3) ศิลปกรรม (4) เพลงร้อง
ตอบ 3 หน้า 47 วัฒนธรรมของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มักแสดงออกมาในรูปของศิลปกรรม นับตั้งแต่เครื่องใช้ไม้สอย เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องประดับต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ ถึงความเจริญรุ่งเรืองของสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ และเทคโนโลยีในสมัยนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยังไม่มีตัวอักษรสำหรับการจดบันทึก
79. เมื่อประติมากรรมและภาพเขียนในศิลปะคุปตะเสื่อมลงแล้ว
(1) นิยมเพิ่มรายละเอียดและเครื่องประดับมากขึ้น (2) นิยมเพิ่มตัวบุคคลในภาพมากขึ้น
(3) นิยมใช้สีสันสดและหลายสีมากยิ่งขึ้น (4) นิยมทำภาพเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 73. ประกอบ
80. ภาพเขียนในสมัยคุปตะ
(1) เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำภาพที่อยู่ใกล้ใหญ่และอยู่ไกลเล็กลง
(2) เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำเป็นภาพซ้อน ๆ กันขึ้นไป
(3) เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำภาพที่ต้องการเน้นให้ใหญ่เป็นพิเศษ
(4) เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมแบ่งภาพออกเป็นช่วง ๆ
ตอบ 2 หน้า 103 ภาพเขียนในสมัยคุปตะจะนิยมเขียนแบ่งเป็นช่วง ๆ และมีลวดลายประดับตกแต่ง ส่วนการทำภาพให้เป็นสามมิตินั้น ช่างคุปตะนิยมทำเป็นภาพซ้อน ๆ กันขึ้นไป โดยภาพบุคคล ที่อยู่ไกลจะเขียนให้รูปเล็กลง จึงทำให้เกิดเป็นภาพสามมิติขึ้นมาได้
81. ลักษณะพิเศษของศิลปะปาละ-เสนะ คือประติมากรรม
(1) หนักทึบ ไม่มีความงามแต่อย่างใด
(2) มักมีแผ่นหลังประกอบ
(3) ตั้งอยู่บนฐานที่สูงขึ้น
(4) มีรูปอวบอ้วน ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี
ตอบ 2 หน้า 105 ลักษณะพิเศษของศิลปะปาละและเสนะ คือ ประติมากรรมมักมีแผ่นหลังประกอบ ซึ่งมีลวดลายประดับอยู่มากมายติดอยู่กับพระพุทธรูป โดยพระพุทธรูปส่วนใหญ่ในสมัยนี้ มักเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องที่หล่อด้วยสำริดและสร้างด้วยศิลา แต่ไม่มีความสวยงามเลย
82. จิตรกรรมในสมัยโบราณมักพบ
(1)ตามถํ้า
(2)ตามแผ่นจารึก
(3)ตามฐานพระพุทธรูป
(4)ตามแผ่นหิน
ตอบ 1 หน้า 49 – 51 จิตรกรรมในสมัยโบราณก่อนประวัติศาสตร์มักพบตามถํ้า เช่น ตามผนังถํ้า และเพดานถํ้าที่อยู่ลึกจากปากถํ้าเข้าไป บางครั้งจึงเรียกว่า “ศิลปะถ้ำ” โดยถํ้าแรกสุดที่พบ จิตรกรรมภาพเขียนของคนก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าที่สุด คือ ถํ้า Altamira ที่อยู่ทางตอนเหนือ ของสเปน โดยพบภาพเขียนเป็นภาพกวางตัวเมีย ส่วนที่ถํ้า Laussel ในฝรั่งเศส ได้พบภาพเขียน เป็นภาพสัตว์ เช้น รูปม้า วัวไบซัน และกวาง
83. สมัยหินกลาง หมายถึง
(1) ยุคสมัยหนึ่งของสมัยก่อนประวัติคาสตร์
(2) สมัยกลางของสมัยก่อนประวัติศาสตร์
(3) สมัยที่คนสมัยหินรู้จักใช้หินเป็นอาวุธ
(4) สมัยที่คนสมัยหินรู้จักใช้เหล็กเป็นอาวุธ
ตอบ 1 หน้า 49 – 56, 63 – 68, 75 ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั้งของยุโรปและของไทย แบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ 1. ยุคสมัยหินเก่า 2. ยุคสมัยหินกลาง 3. ยุคสมัยหินใหม่ 4. ยุคสมัยโลหะ
84. ประติมากรรมของคนสมัยหินนั้นมักแสดงออกถึงสิ่งใด
(1) ความต้องการให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล (2) ความมีบุตรหลานมากมาย
(3) ความมั่งมีศรีสุข (4) ความอุดมสมบูรณ์
ตอบ 4 หน้า 51 ประติมากรรมที่ทำขึ้นครั้งแรกของคนสมัยหินหรือสมัยก่อนประวัติศาสตร์จะนิยมทำเป็นรูปผู้หญิงไม่มีหน้าตา แต่มีรูปร่างอ้วน แสดงว่าประติมากรรมที่ทำขึ้นมานี้ มีความเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ และแสดงออกถึงการนับถือเพศแม่อย่างชัดเจน เช่น พบประติมากรรมลอยตัวที่ประเทศเยอรมนี คือ วีนัส วีเลนดอร์ฟ (Venus of Willendorf) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์
85. หุบเขานามาดาของอินเดียมีความสำคัญ คือ
(1) เป็นแหล่งที่พบภาพเขียนที่ถํ้ามากที่สุด (2) เป็นแหล่งที่มีทิวทัศน์สวยงามมากที่สุด
(3) เป็นแหล่งที่พบขวานหินมากที่สุด (4) เป็นแหล่งที่พบภาชนะที่ทำด้วยโลหะมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 216, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 38) ถํ้าในหุบเขานามาดา (Namada) ของประเทศ อินเดีย เป็นแหล่งที่พบจิตรกรรมภาพเขียนฝาผนังสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากที่สุด โดยรูปภาพ และเทคนิคการเขียนจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพเขียนในถํ้าที่พบในประเทศสเปนและฝรั่งเศส
86. สถาปัตยกรรมในยุคแรกเริ่มของอินเดีย
(1) มีความเรียบง่ายมากที่สุด (2) มักเจาะลึกเข้าไปในภูเขา
(3) มักสร้างด้วยดินเหนียวและไม้ (4) มักพบตามถํ้า
ตอบ 3 หน้า 90 นักโบราณคดีให้ความเห็นว่า สถาปัตยกรรมในยุคแรกเริ่มของอินเดียนั้นคงจะสร้างด้วยดินเหนียวและไม้ซึ่งแตกสลายได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่เหลือร่องรอยให้คนรุ่นหลังได้เห็น ทำให้สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมเก่าสุดที่เหลืออยู่ไม่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ 3 แม้ว่า พุทธศาสนาจะเจริญขึ้นในอินเดียตั้งแต่พุทธกาลมาแล้วก็ตาม
87. ศาสนาพุทธเจริญขึ้นในแคว้นใดของอินเดีย
(1) แคว้นปัญจาบ (2) แคว้นอัสสัม (3) แคว้นมคธ (4) แคว้นสินธุ
ตอบ 3 หน้า 90 พระพุทธศาสนาเจริญขึ้นในอินเดียที่แคว้นมคธหรือมคธราฐในสมัยพระเจ้าพิมพิสาร และเจริญขึ้นถึงขีดสุดในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชราวพุทธศตวรรษที่ 3 ดังนั้นในยุคแรกเริ่ม ของการทำศิลปกรรมอินเดียนี้ พุทธศาสนาจึงมีบทบาทเป็นอย่างมาก
88. พุทธศิลปะในยุคแรกเริ่มของอินเดีย
(1) มักเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพุทธประวัติ (2) มักเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งสมาธิ
(3) มักเป็นพระพุทธเจดีย์ (4) มักเป็นศาสนสถาน
ตอบ 4 หน้า 91 พุทธศิลปะในยุคแรกเริ่มของอินเดียที่เหลือร่องรอยไว้ให้ชนรุ่นหลังได้เห็นเก่าสุด คือ ศิลปกรรมในสมัยพระเจ้าอโคกมหาราช พุทธศตวรรษที่ 3 ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะกรีกและ อิหร่าน (เปอร์เซีย) เช่น มักสร้างเป็นศาสนสถานที่เจาะลึกเข้าไปในภูเขา โดยมีลักษณะเป็นถํ้า ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ เป็นถํ้าวิหาร และถํ้าเจดีย์สถาน
89. พระพุทธรูปคันธารราฐเกี่ยวข้องกับข้อใด
(1) มีความสวยงามตามธรรมชาติ (2) มีความสวยงามตามแบบศิลปะกรีก
(3) มีความสวยงามตามแบบศิลปะอินเดีย (4) มีความสวยงามที่เรียบง่ายมาก
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ
90. สถาปัตยกรรมเก่าสุดที่พบในอินเดียไม่เก่าไปกว่า
(1) พุทธศตวรรษที่ 1
(2) พุทธศตวรรษที่ 2
(3) พุทธศตวรรษที่ 3
(4) พุทธศตวรรษที่ 4
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ
91. จิตรกรรมตามผนังถํ้าของอินเดียเก่าสุดอยู่ในสมัยใด
(1) สมัยหินเก่า
(2) สมัยหินกลาง
(3) สมัยหินใหม่
(4) สมัยโลหะ
ตอบ 2 หน้า 58, 75 จิตรกรรมตามผนังถํ้าของอินเดียที่เก่าที่สุดอยู่ในสมัยหินกลาง โดยมีการพบหลักฐาน ที่ถํ้า The Great Billa Surgam Cave ใน Kurnool ซึ่งลักษณะของการเขียนภาพที่ปรากฏ ในถํ้าไม่ว่าจะเป็นรูปคน สัตว์ อาวุธ และเครื่องใช้ จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพเขียนในถํ้า ของประเทศฝรั่งเศสตามแบบของพวกแมกดาเลเนียน
92. จิตรกรรมตามผนังถํ้าฃองไทยเก่าสุดอยู่ในสมัยใด
(1) สมัยหินเก่า
(2) สมัยหินกลาง
(3) สมัยหินใหม่
(4) สมัยโลหะ
ตอบ 1 หน้า 71, 108 (S), (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 39) จิตรกรรมตามผนังถํ้าของไทยที่เก่าที่สุดอยู่ในสมัยหินเก่า ซึ่งมีการพบหลักฐานทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนีอ ภาคใต้ และภาคกลาง เช่น มีการพบการสลักเพิงผาที่เก่าที่สุดที่ถํ้ามิ้ม จ.อุดรธานี หรือมีการพบรูปมือคนที่ถํ้าฝ่ามือ จ.ขอนแก่น เป็นต้น
93. ถํ้าฝ่ามืออยู่ในจังหวัดใด
(1) ขอนแก่น
(2) เชียงราย
(3) กาญจนบุรี
(4) อุดรธานี
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ
94. จิตรกรรมในถํ้าที่หุบเขานามาดาเหมือนภาพเขียนที่ใด
(1) เยอรมนี (2) ฝรั่งเศส (3) อังกฤษ (4) อิตาลี
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 85. ประกอบ
95. โมเหนโจดาโรและฮารัปปา อยู่ในประเทศใด
(1) สเปน (2) อิตาลี (3) อินเดีย (4) อินโดนีเซีย
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ
ข้อ 96. – 100. ให้ระบายตัวเลือก 1 เมื่อเห็นว่าถูก ให้ระบายตัวเลือก 2 เมื่อเห็นว่าผิด
96. สภาพแวดล้อมและประเพณีในสังคมที่แตกต่างกันย่อมทำให้ศิลปกรรมมีรูปแบบที่ต่างกัน
ตอบ 1 หน้า 16, 19 สภาพแวดล้อม (ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ฯลฯ) วัสดุที่นำมาใช้ สภาพสังคม ประเพณี และระบบการปกครองที่แตกต่างกัน ย่อมมีผลทำให้แบบอย่างและลักษณะของ งานศิลปะแตกต่างกันไปด้วย เช่น ในประเทศที่ฝนตกชุกก็นิยมทำหลังคายื่นยาวออกมาเพื่อกันแดดและคุ้มฝน ส่วนประเทศที่แห้งแล้งก็มักทำหลังคางอนโค้งเพื่อรองรับนํ้าฝน เป็นต้น
97. ความเข้าใจในศิลปะย่อมสามารถพัฒนารสนิยมของคนให้ดีขึ้น
ตอบ 1 หน้า 4 นักปราชญ์และศิลปินทั้งหลายให้ความเห็นว่า ความรู้สึกซาบซึ้งและเข้าใจในศิลปะ หรือการประจักษ์ในด้านความงาม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยพัฒนารสนิยมของคนให้ดีขึ้น ซึ่งถ้าคนเรารู้จักศึกษาและหาประสบการณ์ใหม่ ๆ พร้อมทั้งเอาใจใส่ที่จะเปลี่ยนแปลงและ ปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ รสนิยมในขั้นพื้นฐานที่มีอยู่ก็จะเกิดมีวิวัฒนาการใหม่และดีขึ้น
98. วัฒนธรรมย่อมคู่กับศิลปกรรมเสมอ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ
99. ศิลปกรรมย่อมบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของคนในยุคนั้น ๆ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ
100. ศิลปินในยุคปัจจุบันมีความเห็นว่าศิลปะย่อมมีพื้นฐานมาจากความงามและความดี
ตอบ 2 หน้า 5-6 นักปรัชญาสมัยเก่ามักจะกล่าวถึงศิลปะว่ามีพื้นฐานมาจากความงามและความดี ในขณะที่นักปรัชญาในยุคปัจจุบันกลับมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะแตกต่างไปจาก นักปรัชญาสมัยเก่า โดยกล่าวว่า ศิลปะคือการสะท้อนความจริงของชีวิตตามที่เป็นอยู่จริง และความแท้จริงนั้นก็คือความงาม ซึ่งความงามของศิลปะอาจจะหมายถึงการพรรณนาเรื่องราว ในชีวิตทั้งในแง่ดีและไม่ดีก็ได้