การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 แดงทำสัญญาเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวของแดงมีกำหนดเวลา 2 ปี สัญญาเช่าข้อสุดท้ายเขียนไว้ว่า “ถ้าสัญญาเช่าครบกำหนด 2 ปี ในวันที่ 31 สิงหาคม 2554 หากผู้เช่าประสงค์จะเช่าต่ออีก 2 ปี ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะให้เช่าต่อไปอีก แต่ผู้เช่าต้องตอบให้ผู้ให้เช่าทราบภายในวันที่ 15 กันยายน 2554 เท่านั้น แต่ถ้าผู้เช่าไม่ได้เช่าต่อ ผู้ให้เช่าตกลงจ่ายเงิน 50,000 บาท ให้กับผู้เช่าเป็นค่าขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น”
ปรากฏว่าขาวเช่าตึกแถวนี้มาเพียง 1 ปี แดงยกตึกแถวให้กับดำพี่ชายบุญธรรมของภริยาแดงโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาวเช่าตึกแถวมาจนครบ 2 ปี ในวันที่ 31 สิงหาคม 2554 ขาวได้แจ้งให้ดำทราบว่าขาวมีความประสงค์จะเช่าต่อไปอีก 2 ปี ตามสัญญาเช่าข้อสุดท้าย แต่ดำปฏิเสธและเรียกให้ขาวคืนตึกแถวให้ภายในวันที่ 16 กันยายน 2554 ขาวจึงเรียกเงินค่าขนย้าย 50,000 บาท ดังกล่าวจากดำอีก แต่ดำก็ปฏิเสธอีกเช่นกัน ให้วินิจฉัยว่าการปฏิเสธของดำทั้ง 2 ประการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 538 เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี
มาตรา 569 อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า
ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าตึกแถวระหว่างแดงกับขาวซึ่งมีกำหนด 2 ปี ได้ทำเป็นหนังสือ สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 538 และสามารถใช้บังคับกันได้ 2 ปี และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขาวเช่าตึกแถวนี้มาได้เพียง 1 ปี แดงยกตึกแถวให้กับดำพี่ชายบุญธรรมของภริยาแดงโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ย่อมไม่ทำให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยดำผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านั้นด้วย กล่าวคือ ดำต้องให้ขาวเช่าตึกแถวนั้นต่อไปจนครบกำหนด 2 ปี ตามสัญญาเช่า
แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาเช่าข้อสุดท้ายที่เขียนไว้ว่า “ถ้าสัญญาเช่าครบกำหนด 2 ปี ในวันที่ 31 สิงหาคม 2554 หากผู้เช่าประสงค์จะเช่าต่ออีก 2 ปี ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะให้เช่าต่อไปอีก” นั้น ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคำมั่น ไม่ใช่สิทธิ และหน้าที่ตามสัญญาเช่าจึงไม่ผูกพันดำ ดังนั้น การที่ขาวได้แจ้งให้ดำทราบว่ามีความประสงค์จะเช่าต่อไปอีก 2 ปี ตามสัญญาเช่าข้อสุดท้าย และดำปฏิเสธและเรียกให้ขาวคืนตึกแถวนั้น คำปฏิเสธของดำกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนข้อสัญญาที่ว่า “ถ้าผู้เช่าไม่ได้เช่าต่อ ผู้ให้เช่าตกลงจ่ายเงิน 50,000 บาท ให้กับผู้เช่าเป็นค่าขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น” นั้น ก็เป็นสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอื่น มิใช่สิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับสัญญาเช่า ทั้งไม่ใช่หน้าที่ของผู้ให้เช่าตามกฎหมายด้วย ผู้รับโอนจึงไม่ต้องผูกพันตามข้อสัญญานี้ เพราะสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่ผู้รับโอนจะต้องรับมาด้วยนั้น คือสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าเท่านั้น ดังนั้น การที่ขาวเรียกค่าขนย้าย 50,000 บาท แต่ดำปฏิเสธ คำปฏิเสธของดำกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน
สรุป คำปฏิเสธของดำทั้ง 2 ประการชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 2
(ก) น้ำเงินทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่ารถยนต์บรรทุกมีกำหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป โดยตกลงชำระค่าเช่าทุกๆวันที่ 1 ของเดือน เดือนละ 25,000 บาท ในวันทำสัญญาเช่า เหลืองได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าไว้เป็นเงิน 150,000 บาท แต่ปรากฏว่าเมื่อได้รับมอบรถยนต์ที่เช่าแล้วเหลืองไม่เคยชำระค่าเช่าเลยจนถึงเดือนกันยายน ดังนั้นในวันที่ 5 กันยายน 2554 น้ำเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่าทันที และให้เหลืองส่งรถยนต์คืนภายในวันที่ 15 กันยายน 2554 การบอกเลิกสัญญาของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ(ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ จงวินิจฉัย
ธงคำตอบ
(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 560 ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกำหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน
วินิจฉัย
ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้น ตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติเอาไว้ว่า ถ้าการชำระค่าเช่า กำหนดชำระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชำระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าให้ไว้กับน้ำเงินเป็นเงิน 150,000 บาทนั้น ทำให้เหลืองมีสิทธิไม่ชำระค่าเช่าได้ 6 เดือน คือ เดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม และเดือนสิงหาคม แต่เดือนกันยายนเหลืองต้องชำระค่าเช่าให้น้ำเงิน (ในวันที่ 1 กันยายน 2554) และเมื่อมีการกำหนดชำระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน การที่เหลืองไม่ชำระค่าเช่าในเดือนกันยายนนั้น น้ำเงินจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่น้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้เหลืองชำระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าเหลืองยังไม่ยอมชำระอีกน้ำเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้น การที่น้ำเงินบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 574 วรรคแรก ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย
วินิจฉัย
ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ(ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่เหลืองผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อในเดือนกันยายน 2554 ถือว่าเหลืองผิดนัดไม่ใช้เงินเพียงหนึ่งคราว เนื่องจากได้ชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้าไว้แล้ว 6 คราว ดังนั้น น้ำเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ เพราะการที่น้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาได้จะต้องปรากฏว่าเหลืองผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน ตามมาตรา 574 วรรคแรก ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาของน้ำเงินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สรุป
(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ทันทีของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นคำตอบของข้าพเจ้าจึงไม่แตกต่างกัน
ข้อ 3 นายรำลึกทำสัญญาจ้างนายสำเภาให้รื้อตึก 20 คูหาและก่อสร้างตึกใหม่ โดยมีข้อตกลงให้ชำระสินจ้างเป็นงวดๆ ตามความสำเร็จของงาน นายสำเภาจึงได้ทำสัญญาจ้างนาย 1 เป็นหัวหน้าคนงาน มีกำหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม และทำสัญญาจ้างนาย 2 ถึงนาย 10 เป็นลูกจ้างทั่วไปไม่มีกำหนดเวลา โดยตกลงชำระสินจ้างทุกๆวันสิ้นเดือน เมื่อเริ่มทำงานได้เพียงสองเดือนนายรำลึกเห็นว่าเศรษฐกิจกำลังมีปัญหาไม่ควรลงทุนในช่วงนี้จึงได้บอกเลิกสัญญาจ้างนายสำเภาในวันที่ 10 กันยายน นายสำเภาเห็นว่าไม่มีงานให้ทำต่อไปแล้วจึงได้บอกเลิกสัญญาจ้างนาย 1 ถึงนาย 10 ทันทีในวันที่ 15 กันยายน โดยชำระสินจ้างให้ครึ่งหนึ่ง จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้
(ก) นายสำเภาจะต่อสู้ว่าได้ลงมือทำงานตามสัญญาแล้ว และไม่ได้ทำผิดสัญญาแต่อย่างใด นายรำลึกจึงไม่สามารถบอกเลิกสัญญาได้ ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
(ข) นาย 1 ถึงนาย 10 จะต่อสู้ได้อย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 575 อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้
มาตรา 582 ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน
อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทำได้
มาตรา 587 อันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น
มาตรา 605 ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น
วินิจฉัย
(ก) โดยหลัก ในเรื่องสัญญาจ้างทำของนั้น ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้นให้กับผู้รับจ้าง ตามมาตรา 605
ตามอุทาหรณ์ สัญญาจ้างให้รื้อตึก 20 คูหาและก่อสร้างตึกใหม่ดังกล่าว เป็นกรณีที่นายสำเภา ตกลงรับจะทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้กับนายรำลึกผู้ว่าจ้าง และนายรำลึกผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อความสำเร็จของงานที่ทำนั้น จึงเป็นสัญญาจ้างทำงาน ตามมาตรา 587
เมื่อปรากฏตามข้อเท็จจริงว่า ในวันที่ 10 กันยายน ซึ่งนายสำเภาผู้รับจ้างเริ่มทำงานได้เพียงสองเดือน และงานที่จ้างก็ยังทำไม่แล้วเสร็จ นายรำลึกผู้ว่าจ้างได้บอกเลิกสัญญาจ้างนายสำเภา ดังนี้ถือว่านายรำลึกมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ตามมาตรา 605 แต่นายรำลึกจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใดๆที่เกิดขึ้นเนื่องจากการยกเลิกสัญญานั้นให้กับนายสำเภา นายสำเภาจะต่อสู้ว่าตนได้ลงมือทำงานตามสัญญาแล้ว และไม่ได้ทำผิดสัญญาแต่อย่างใด นายรำลึกจึงไม่สามารถบอกเลิกสัญญาได้นั้นไม่ได้
(ข) โดยหลัก ในเรื่องสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 ถ้าเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดเวลาแน่นอนสัญญานั้นย่อมระงับลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งถ้าฝ่ายลูกจ้างมิได้ทำผิดสัญญาตามกฎหมายจ้างแรงงาน หรือผิดสัญญาตามที่ตกลงกันไว้ นายจ้างจะบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกำหนดเวลาดังกล่าวไม่ได้
ตามอุทาหรณ์ การที่นายสำเภาทำสัญญาจ้างนาย 1 เป็นหัวหน้าคนงานโดยตกลงจ่ายสินจ้างให้ตลอดเวลาที่นาย 1 ทำงานให้ จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 และเมื่อสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวมีกำหนดเวลา 1 ปี จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงาน ที่มีกำหนดเวลาแน่นอน ดังนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่านาย 1 ได้ทำผิดสัญญาตามกฎหมายจ้างแรงงาน หรือผิดสัญญาตามที่ได้ตกลงกันไว้แต่อย่างใด และการจ้างก็ยังไม่ครบกำหนดเวลา 1 ปี นายสำเภาจึงบอกเลิกสัญญาจ้างนาย 1 ในวันที่ 15 กันยายนไม่ได้ เมื่อนายสำเภาบอกเลิกสัญญาจ้างนาย 1 ในวันที่ 15 กันยายน นาย 1 จึงสามารถต่อสู้ได้ว่านายสำเภาจะบอกเลิกสัญญาจ้างไม่ได้เพราะยังไม่ครบกำหนดเวลา 1 ปี ตามสัญญาจ้าง
ส่วนสัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายสำเภากับนาย 2 ถึงนาย 10 นั้น เมื่อเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดเวลา ดังนั้น นายสำเภาสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้ แต่ต้องดำเนินการตามมาตรา 582 วรรคแรก กล่าวคือ จะต้องบอกกล่าวก่อนล่วงหน้าและให้มีผลเป็นการเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไป ดังนั้น กรณีตามอุทาหรณ์ นายสำเภาจะบอกเลิกสัญญาจ้างนาย 2 ถึงนาย 10 ทันทีในวันที่ 15 กันยายนไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้นาย 2 ถึงนาย 10 ทราบก่อนในวันที่ 30 กันยายน และไปบอกเลิกสัญญาเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปในวันที่ 31 ตุลาคม
แต่อย่างไรก็ดี นายสำเภาจะบอกเลิกสัญญาจ้างและให้นาย 2 ถึงนาย 10 ออกจากงานไปเลยในวันที่ 15 กันยายนก็ได้ แต่ต้องจ่ายสินจ้างที่ต้องจ่ายในเดือนกันยายนและเดือนตุลาคมรวมสองเดือน แล้วให้นาย 2 ถึงนาย 10 ออกจากงานไปทันทีได้เลยตามมาตรา 582 วรรคสอง มิใช่จ่ายสินจ้างให้เพียงครึ่งหนึ่ง
สรุป
(ก) นายสำเภาจะต่อสู้ว่าได้ลงมือทำงานตามสัญญาแล้ว และไม่ได้ทำผิดสัญญาแต่อย่างใด นายรำลึกจึงไม่สามารถบอกเลิกสัญญาได้นั้นไม่ได้
(ข) นาย 1 สามารถต่อสู้ได้ว่า นายสำเภาจะบอกเลิกสัญญาจ้างไม่ได้เพราะยังไม่ครบกำหนด 1 ปี ตามสัญญาจ้าง