การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2007 กฎหมายอาญา 2

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  อย่างไรเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  147  จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป  พร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา  147  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  มีหน้าที่  ซื้อ  ทำ  จัดการ  หรือ  รักษาทรัพย์ใด  เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน  หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต  หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย  ต้องระวางโทษ

อธิบาย

องค์ประกอบความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  147  ประกอบด้วย

1       เป็นเจ้าพนักงาน

2       มีหน้าที่ซื้อ  ทำ  จัดการ  หรือรักษาทรัพย์ใด

3       เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน  หรือเป็นของผู้อื่น  หรือยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย

4       โดยทุจริต

5       โดยเจตนา

เจ้าพนักงาน  หมายถึง  เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย  โดยได้รับเงินเดือน  จากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

เจ้าพนักงานที่จะมีความผิดตามมาตรานี้  จะต้องเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่  ทำ  จัดการ  หรือรักษาทรัพย์  หากเจ้าพนักงานผู้นั้นไม่มีหน้าที่ดังกล่าวย่อมไม่เป็นความผิด  ตามมาตรา  147

หน้าที่ซื้อ  เช่น  มีหน้าที่ซื้อพัสดุหรือเครื่องพิมพ์ดีดมาใช้ในสำนักงาน

หน้าที่ทำ  เช่น  มีหน้าที่ประดิษฐ์เครื่องใช้เครื่องยนต์ขึ้นใหม่  หรือมีหน้าที่ซ่อมแซม  แก้ไข  เครื่องใช้เครื่องยนต์ที่ชำรุดให้ดีขึ้น

หน้าที่จัดการ  เช่น  หน้าที่ในการจัดการโรงงาน  จัดการคลังสินค้า  เป็นต้น

หน้าที่รักษา  เช่น  เป็นเจ้าหน้าที่การเงินก็ย่อมต้องดูแลรักษาเงินที่ได้รับมานั้นด้วย

เบียดบัง  หมายความว่า  การเอาเป็นของตน  หรือแสดงให้ปรากฏว่าตนเป็นเจ้าของทรัพย์นั้นตัวอย่างเช่น  เอาทรัพย์นั้นไปใช้อย่างเจ้าของ  หรือจำหน่ายทรัพย์นั้นไป

การเบียดบังที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้จะต้องเป็นการเบียดบังทรัพย์  ถ้าเบียดบังเอาอย่างอื่น  เช่น  แรงงาน  กรณีนี้ไม่เป็นความผิดตามมาตรา  147  ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นก็ตาม  และเป็นความผิดสำเร็จเมื่อเบียดบังเอาทรัพย์ไปแม้จะนำมาคืนในภายหลัง  ก็ยังคงมีความผิด

อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะเป็นการเบียดบังทรัพย์  หรือยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้น  ผู้กระทำจะต้องกระทำโดยมีเจตนา  ตามมาตรา  59  และต้องมีเจตนาพิเศษ  คือ  โดยทุจริต  เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น  ถ้าผู้กระทำขาดเจตนาโดยทุจริตแล้ว  ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่างความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  147

นายสมบูรณ์ไม่มีเงินชำระค่าเล่าเรียนบุตร  ได้ไปขอยืมเงิน  5,000  บาท  จากนายรวยซึ่งเป็นสรรพากรอำเภอ  โดยสัญญาว่าอีก  2  วันจะนำมาคืน  นายรวยไม่มีเงินสดติดตัวมาพอ  แต่สงสารเพื่อนจึงเอาเงินค่าภาษีซึ่งผู้เสียภาษีได้ชำระแก่ทางราชการและตนรักษาไว้มอบให้ไป  ครบกำหนดนายสมบูรณ์ก็ไม่ใช้เงินคืน  แต่ได้หลบหน้าไป  นายรวยจึงเอาเงินส่วนตัว  5,000  บาท  ใช้คืนแก่ทางราชการ  ดังนี้  เมื่อนายรวยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รักษาทรัพย์  แล้วเอาเงินค่าภาษีไปจึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์นั้นไปโดยทุจริตสำหรับผู้อื่นแล้ว  จึงเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา  147  แม้นายรวยจะใช้เงินคืนแก่ทางราชการ  ก็ไม่พ้นความรับผิดไปได้

 

ข้อ  2  ตำรวจสายตรวจในท้องที่พบเห็นนายจ่อยวิ่งราวทรัพย์แม่ค้า  ตำรวจจึงเข้าจับกุมนายจ่อยแล้วควบคุมตัวเพื่อไปส่งสถานีตำรวจ  ระหว่างทางนายจ่อยวิ่งหนีไปได้  แต่ถูกตำรวจจับตัวได้ในทันทีที่วิ่งไปประมาณ  10  ก้าว  ดังนี้นายจ่อยมีความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมประการใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  190  ผู้ใดหลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจศาล  ของพนักงานอัยการ  ของพนักงานสอบสวน  หรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานหลบหนีทีคุมขัง  ตามมาตรา  190  วรรคแรก  ประกอบด้วย 

1       หลบหนีไป

2       ระหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาล  ของพนักงานอัยการ  ของพนักงานสอบสวนหรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา

3       โดยเจตนา

หลบหนีไป  หมายถึง  การทำให้ตัวเองได้รับอิสรภาพ  ซึ่งอาจจะเป็นการชั่วคราว  หรือตลอดไป

การหลบหนีที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้  จะต้องเป็นการหลบหนีในระหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาล  ของพนักงานอัยการของพนักงานสอบสวน  หรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา

อนึ่งคำว่า  คุมขัง  นี้ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  1 (12)  ให้คำนิยามเอาไว้ว่า  หมายถึง  คุมตัว  ควบคม  ขัง  กักขัง  หรือจำคุก

คุมตัว  หมายถึง  เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาจับผู้ต้องหาแล้ว  อาจจับไปส่งตัวยังที่ทำการของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ

ควบคุม  หมายถึง เมื่อเจ้าพนักงานสอบสวนควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ตลอดจนคุมตัวไปส่งศาล  โดยไม่จำเป็นต้องมัดหรืออยู่ในห้องขัง  เพียงแต่ผู้จับบอกให้ผู้ถูกจับรู้ว่าเข้าถูกจับ  ก็ถือเป็นการควบคุมแล้ว

ขัง  หมายถึง  ในกรณีที่ศาลสั่งขังผู้ต้องหาที่พนักงานสอบสวน  หรือพนักงานอัยการร้องขอเพราะการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นดี  หรือเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลย  ศาลสั่งขังจำเลยไว้ก็ดี

กักขัง  หรือจำคุก  หมายถึง  เมื่อศาลพิพากษาให้กักขังหรือจำคุกผู้ใด

นอกจากนี้การคุมขังนั้นต้องเป็นการคุมขังตามอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย  ในกรณีที่ยังไม่ได้จับกุม  ก็ย่อมถือว่ายังไม่ถูกคุมขัง  แม้หลบหนีไปก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

อย่างไรก็ดีผู้กระทำจะต้องมีเจตนา  ตามมาตรา  59  กล่าวคือ  ผู้กระทำต้องรู้ว่าตนถูกคุมขังและผู้กระทำต้องการหลบหนี  ถ้าไม่รู้ว่าตนถูกคุมขังแล้วหลบหนีไป  หรือได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจให้ไปได้ย่อมขาดเจตนาหลบหนีไป  ไม่มีความผิดตามมาตรานี้

อย่างไรก็ดีผู้กระทำจะต้องมีเจตนา  ตามมาตรา  59  กล่าวคือ  ผู้กระทำต้องรู้ว่าตนถูกคุมขัง  และผู้กระทำต้องการหลบหนีถ้าไม่รู้ว่าตนถูกคุมขังแล้วหลบหนีไป  หรือได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจให้ไปได้  ย่อมขาดเจตนาหลบหนี  ไม่มีความผิดตามมาตรานี้

การที่ตำรวจสายตรวจจับกุมนายจ่อยขณะวิ่งราวทรัพย์แม่ค้าและควบคุมตัวเพื่อไปส่งสถานีตำรวจนั้น  ถือได้ว่าเป็นการคุมตัว  และถือว่านายจ่อยอยู่ในระหว่างที่ถูกคุมขังแล้วตามมาตรา  190  เมื่อนายจ่อยวิ่งหนีไปจากการควบคุมตัว  แม้จะจับตัวได้ในทันทีนั้นเอง  ก็มีความผิดฐานหลบหนีระหว่างที่ถูกคุมขัง  อันเป็นความผิดสำเร็จแล้วตามมาตรา  190 (ฎ.749/2460)

สรุป  นายจ่อยมีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขัง  ตามมาตรา  190

 

ข้อ  3  นายสิงห์กับนายสาไม่ถูกกันมาก่อน  วันเกิดเหตุนายสิงห์ได้ขับรถเดินทางไปต่างจังหวัด  ในขณะขับมาระหว่างทางเป็นที่เปลี่ยวบังเอิญเหลือบไปเห็นรถของนายสาจอดอยู่ข้างทาง  โดยนายสาไปทำธุระห่างจากที่จอดรถไว้ประมาณหนึ่งกิโลเมตร  นายสิงห์ขับรถของตนไปจอดติดกับรถของนายสา  นายสิงห์ต้องการเผารถของนายสา  แต่แทนที่นายสิงห์จะจุดไฟเผารถของนายสาโดยตรง  นายสิงห์ไม่ทำอย่างนั้นแต่นายสิงห์กลับใช้น้ำมันราดไปที่รถของนายสิงห์เองแล้วจุดไฟเผา  ปรากฏว่าไฟได้ไหม้รถของนายสิงห์และลุกลามไปไหม้รถของนายสาได้รับความเสียหายทั้งสองคัน  ดังนี้  จากการที่รถของนายสิงห์และนายสาต่างถูกเพลิงไหม้นี้  นายสิงห์มีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนฐานใด  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  217  ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

มาตรา  220  ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ  แม้เป็นของตนเอง  จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  217  ดังกล่าว  แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       วางเพลิงเผา

2       ทรัพย์ของผู้อื่น

3       โดยเจตนา

วางเพลิงเผา  หมายถึง  การกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น  ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใดๆก็ตาม  เช่น  ใช้ไม้ขีดไฟจุดเผา  ใช้เลนส์ส่องทำมุมกับแสงอาทิตย์จนไฟลุกไหม้ขึ้น  หรือใช้วัตถุบางอย่างเสียดสีกันให้เกิดไฟ  เป็นต้น

การทำให้เพลิงไหม้นี้จะไหม้เพียงบางส่วนหรือทั้งหมดก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว  เช่น  เจตนาจะเผาบ้านทั้งหลัง  แต่ปรากฏว่าไฟไหม้บ้านเพียงครึ่งหลังเพราะผู้เสียหายดับทัน  กรณีเป็นความผิดสำเร็จแล้วมิใช่เพียงขั้นพยายาม  แต่อย่างไรก็ตามหากยังไม่เกิดเพลิงไหม้ขึ้น  ก็เป็นแค่พยายามวางเพลิงเท่านั้น

การวางเพลิงเผาทรัพย์จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อเป็นการวางเพลิงเผา  ทรัพย์ของผู้อื่น  เท่านั้น  ซึ่งอาจจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้  แต่ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น  กล่าวคือ  ต้องเป็นทรัพย์ที่มีเจ้าของด้วย  ถ้าหากเป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของ  คือเป็นทรัพย์ที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของใครเลย  ก็ย่อมไม่เป้นความผิดตามมาตรานี้  ดังนั้นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตนเองย่อมไม่เป็นความผิด

นอกจากนี้การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องกระทำ  โดยเจตนา  คือ  มีเจตนาหรือมีความตั้งใจที่จะเผาทรัพย์ของผู้อื่น  และต้องรู้ด้วยว่าทรัพย์ที่เผานั้นเป็นของผู้อื่น  ถ้าหากไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีเจตนา  เช่น  วางเพลิงเผาทรัพย์โดยเข้าใจว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง  ก็ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

การที่นายสิงห์จุดไฟเผารถของตนเองได้รับความเสียหายนั้น  แม้จะมีเจตนาเผารถของนายสา  (ผู้อื่น)  การกระทำของนายสิงห์ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา  217  เนื่องจากขาดองค์ประกอบความผิดคำว่า  ทรัพย์ของผู้อื่น”  (ฎ.389/2483)

อย่างไรก็ดี  การที่นายสิงห์จุดไฟเผารถของตนเอง  โดยมีเจตนาจะเผารถของนายสา  การเผารถของตนก็เพื่อให้ไฟลามไปไหม้รถของนายสาด้วย  ถือได้ว่านายสิงห์กระทำโดยมีเจตนาที่จะเผารถของนายสาโดยตรง  เมื่อไฟได้ไหม้รถของนายสาได้รับความเสียหาย  การกระทำของนายสิงห์จึงมีความผิด  ตามมาตรา  217  ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของนายสา

การกระทำของนายสิงห์ไม่เป็นความผิดตามมาตรา  220  เพราะการจะเป็นความผิดตามมาตรา  220  หมายถึงว่าผู้กระทำมีเจตนาทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ  แม้เป็นของตนเอง  ซึ่งน่าจะเกิดอันตราย  จึงเห็นได้ชัดว่าผู้กระทำต้องไม่มีเจตนาให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นโดยตรง  แต่กรณีตามอุทาหรณ์นายสิงห์ประสงค์ที่จะเผารถของนายสาโดยตรง  ต้องการให้รถของนายสาไฟไหม้ได้รับความเสียหาย  กรณีจึงเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา  217  มิใช่มาตรา  220

สรุป

1       กรณีไฟไหม้รถของนายสา  การกระทำของนายสิงห์มีความผิดตามมาตรา  217

2       กรณีไฟไหม้รถของนายสิงห์  การกระทำของนายสิงห์ไม่มีความผิดตามมาตรา  217

 

ข้อ  4  จำเลยนำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์หมายเลข  ก  1234  ซึ่งเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ทางราชการออกให้แก่รถยนต์ของนายแดง  นำไปติดท้ายรถยนต์ของจำเลย  โดยมีเจตนาแสดงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์ของจำเลยเป็นรถยนต์ที่มีหมายเลขทะเบียน  ก  1234 ดังนี้จำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  264  วรรคแรก  ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด  เติมหรือตัดทอนข้อความ  หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ  ในเอกสารที่แท้จริง  หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชนชน  ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร  ต้องระวางโทษ

มาตรา  265  ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ  หรือเอกสารราชการ  ต้องระวางโทษ

มาตรา  268  ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา  264  มาตรา  265  มาตรา  266  หรือมาตรา  267  ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น  หรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความนั้นเองให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบด้วย

 1       กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก)  ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข)  เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือ

(ค)  ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2       โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3       ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4       โดยเจตนา

การที่จำเลยถอนแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ของนายแดงนำมาติดท้ายรถของจำเลย  เมื่อแผ่นป้ายรถยนต์ดังกล่าวเป็นแผ่นป้ายที่แท้จริงซึ่งทางราชการออกให้จึงเป็นเอกสารที่แท้จริง  จำเลยไม่ได้ทำขึ้นใหม่  หรือเติมหรือตัดทอนข้อความแก้ไขด้วยประการใดๆ  ในเอกสารที่แท้จริง  แม้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ของนายแดงจะเป็นเอกสารราชการ  และจำเลยจะมีเจตนาแสดงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์ของจำเลยเป็นรถยนต์ที่มีป้ายทะเบียน  ก  1234  จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรกและมาตรา  265

เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร  การที่จำเลยนำรถออกขับขี่  จึงไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา  268  แต่อย่างใด  (ฎ.3078/2525)

สรุป  จำเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม

Advertisement