การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007กฎหมายอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ให้นักศึกษาเลือกทำคำตอบเพียงข้อเดียวเพื่อเป็นคำตอบข้อ 1 โดยให้อธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป และยกตัวอย่างประกอบ
(ก) อย่างไรเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ (มาตรา 137) หรือ
(ข) อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน (มาตรา 144)
ธงคำตอบ
(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 137 ผู้ใดแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายต้องระวางโทษ
ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137 นี้ สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2 แก่เจ้าพนักงาน
3 ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
4 โดยเจตนา
แจ้งข้อความ หมายถึง การกระทำด้วยประการใดๆให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้น อาจกระทำโดยวาจา โดยการเขียนเป็นหนังสือ หรือโดยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างใดก็ได้
ข้อความอันเป็นเท็จ หมายถึง ข้อความที่นำไปแจ้งไม่ตรงกับความจริงหรือตรงข้ามกับความจริง เช่น นาย ก ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาว ข โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยาหรือจดทะเบียนสมรสมาก่อน ทั้งๆที่นาย ก มีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว คือ นาง ค เช่นนี้เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าหากเป็นเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะว่าเป็นข้อความเท็จยังไม่ได้
การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137 นี้อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณีคือ
(ก) ผู้แจ้งไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานเอง
(ข) โดยตอบคำถามที่เจ้าพนักงานเรียกไปสอบสวนเป็นพยานก็ได้
อนึ่งการแจ้งข้อความอันเป็นจริงบางส่วนและเท็จบางส่วน ก็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแล้ว เช่น ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยกรอกข้อความอื่นเป็นความจริง แต่ในช่องสัญชาติของบิดากรอกว่า บิดาเป็นไทย ความจริงเป็นจีน ซึ่งเป็นเท็จไม่หมด ก็ถือว่าแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา 137 นี้แล้ว
สำหรับการฟ้องเท็จในคดีแพ่งหรือการยื่นคำให้การเท็จในคดีแพ่ง ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เป็นแต่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามมาตรา 137 (ฎ. 1274/2513)
ส่วนในคดีอาญา ผู้ต้องหาชอบที่จะให้การแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างใดก็ได้ เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือจะไม่ยอมให้การเลยก็ได้ แม้คำให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ หรือให้การไปโดยเชื่อว่าตนเองอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้ต่อมาจะได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้กระทำผิด ก็ยังถือว่าเป็นคำให้การในฐานะผู้ต้องหาอยู่ (ฎ.1093/2522) แต่ถ้าจำเลยได้แจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานก่อนที่จะตกเป็นผู้ต้องหาไม่ถือว่าให้การในฐานะผู้ต้องหา จึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
การแจ้งข้อความเท็จที่จะถือว่าเป็นความผิดสำเร็จนั้น เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งต้องได้ทราบข้อความนั้นด้วย แม้ว่าจะไม่เชื่อเพราะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ตาม แต่ถ้าเจ้าพนักงานไม่ทราบข้อความนั้น เช่น เจ้าพนักงานไม่ได้ยิน หรือได้ยินแต่กำลังหลับในอยู่ไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศที่แจ้ง เช่นนี้ยังไม่เป็นความผิดสำเร็จ เป็นเพียงความผิดฐานพยายามแจ้งความเท็จเท่านั้น
“แก่เจ้าพนักงาน” เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความตามมาตรานี้ ต้องมีอำนาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดำเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งความนั้น และต้องกระทำการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายด้วย เช่น นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ดังนั้นถ้าเจ้าพนักงานนั้นไม่มีหน้าที่ในการรับแจ้งข้อความหรือเรื่องที่แจ้งนั้นไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการได้ ก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
“ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย” การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อการแจ้งนั้นอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ดังนั้นถ้าไม่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใดๆย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ อนึ่งกฎหมายใช้คำว่า “อาจทำให้เสียหาย” จึงไม่จำเป็นต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆเพียงแต่อาจเสียหายก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทำจะต้องกระทำด้วยเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือ ผู้แจ้งจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ และต้องรู้ว่าบุคคลที่ตนแจ้งนั้นเป็นเจ้าพนักงานด้วย ถ้าผู้แจ้งไม่รู้ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
ตัวอย่างความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137
นายเอกมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย คือ นางโท หลังจากนั้นนายเอกยังได้ไปจดทะเบียนกับ น.ส.ตรีอีก โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยามาก่อนและไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน ซึ่งทั้งนางโทและ น.ส.ตรี ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย เช่นนี้จะเห็นว่านายเอกแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ต่อนายอำเภอซึ่งเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการรับแจ้งจดทะเบียนสมรส ซึ่งกระทำโดยเจตนา เพราะนายเอกรู้ว่านายอำเภอเป็นเจ้าพนักงานและรู้ว่าข้อความที่แจ้งเป็นเท็จ หากนายอำเภอรับจดทะเบียนสมรสให้ก็อาจจะทำให้นางโทและ น.ส.ตรีเสียหายแก่เกียรติยศหรือชื่อเสียงได้ นายเอกจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามมาตรา 137
แต่ถ้านายเอกและนางโทได้จดทะเบียนหย่ากันแล้ว ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับไม่มีคู่สมรส ดังนี้ การที่นายเอกไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าตนเคยมีภริยามาแล้ว แต่ไม่เคยจดทะเบียนสมรส จึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ (ฎ.1237/2544)
(ข)หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 144 ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ
อธิบาย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1 ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2 ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3 แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4 เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่
5 โดยเจตนา
ให้ หมายถึง มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทำได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป
ขอให้ หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงจะรับเงินก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
รับว่าจะให้ หมายถึง เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน แล้วผู้กระทำก็รับปากกับเจ้าพนักงานว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นความผิดสำเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้ ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นจะให้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญ
สำหรับสิ่งที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น “ทรัพย์สิน” เช่น เงิน สร้อย แหวน นาฬิกา รถยนต์ หรือ “ประโยชน์อื่นใด” นอกจากทรัพย์สิน เช่น ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถยนต์โดยไม่เสียค่าเช่าหรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย เป็นต้น
การกระทำตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทำต่อ “เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล” เท่านั้นและบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ด้วย ถ้าหากกระทำต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจหน้าที่หรือพ้นจากอำนาจหน้าที่ไปแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
ในเรื่องเจตนา ผู้กระทำจะต้องมีเจตนา ตามมาตรา 59 กล่าวคือ รู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกแห่งสภา ถ้าผู้กระทำไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งนี้ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย คือ
(ก) ให้กระทำการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้เงินเพื่อให้ตำรวจจับกุมคนที่ไม่ได้กระทำความผิด
(ข) ไม่กระทำการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ตำรวจจะจับกุมผู้กระทำผิด จึงให้เงินแก่ตำรวจนั้นเพื่อไม่ให้ทำการจับกุมตามหน้าที่
(ค) ประวิงการกระทำ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน
ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันชอบด้วยหน้าที่แล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 นี้ เช่น เจ้าพนักงานตำรวจไม่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย จำเลยให้เงินตำรวจเพื่อให้ทำการจับกุม กรณีจำเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการให้ทรัพย์สินมีมูลเหตุจูงใจให้กระทำการอันชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144
นายแดงถูก ส.ต.อ.ขาว จับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง จึงเสนอจะยกบุตรสาวของตนให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัว แต่ ส.ต.อ.ขาว ยังไม่ได้ตอบตกลงตามที่นายแดงเสนอแต่อย่างใด เช่นนี้ถือว่า นายแดงขอให้ประโยชน์อื่นใดนอกจากทรัพย์สินแก่ ส.ต.อ.ขาว ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 แม้ว่าเจ้าพนักงานนั้นจะยังไม่ได้รับเงินก็ตาม
แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจำเลย นายแดงทราบว่า ส.ต.อ.ขาว จะต้องไปเป็นพยานตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกบุตรสาวของตนให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อให้ ส.ต.อ. ขาว เบิกความผิดจากความจริง (เบิกความเท็จ) ดังนี้นายแดงไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ จึงมิใช่การให้ประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ (ฎ.439/2469)
ข้อ 2 ร.ต.อ.แดงซ้อมดำผู้ต้องหาคดีจำหน่ายยาบ้าซึ่งตนเองรับผิดชอบคดีระหว่างสอบสวนเพื่อให้รับสารภาพ ดำสลบ แดงมีความผิดอาญาฐานใด เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
1 เป็นเจ้าพนักงาน
2 ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3 เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4 โดยเจตนา
เป็นเจ้าพนักงาน หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน
ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมายถึง การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตำรวจทำการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตำรวจจึงใช้กำลังชกต่อยให้รับสารภาพ เป็นต้น
ความผิดตามมาตรานี้จะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทำ “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆจึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทำนั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว
โดยเจตนา หมายความว่า ผู้กระทำต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทำต้องปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ร.ต.อ.แดง ซ้อมดำผู้ต้องหาคดีจำหน่ายยาบ้า ซึ่งตนเองรับผิดชอบคดีระหว่างสอบสวนเพื่อให้รับสารภาพ จนดำสลบนั้น ถือได้ว่า ร.ต.อ.แดงซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ดำ และได้กระทำไปโดยมีเจตนา การกระทำของ ร.ต.อ.แดงจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ ดังนั้น ร.ต.อ.แดงจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ป.อ. มาตรา 157
สรุป ร.ต.อ. แดงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ป.อ. มาตรา 157
ข้อ 3 จำเลยกับนาย ก ไม่ถูกกันมาก่อน วันเกิดเหตุจำเลยขับรถไปตามถนน เห็นรถของนาย ก จอดอยู่ จำเลยจึงขับรถไปจอดใกล้กับรถยนต์ของนาย ก โดยมีระยะห่างประมาณครึ่งเมตร จำเลยต้องการที่จะเผารถยนต์ของนาย ก แต่แทนที่จะเทน้ำมันราดไปที่รถของนาย ก จำเลยกลับเทน้ำมันราดที่รถของจำเลยเอง แล้วจุดไม้ขีดไฟโยนลงไป ปรากฏว่าไฟได้ไหม้รถของจำเลย แล้วลุกลามไปไหม้รถของนาย ก เสียหายบางส่วน ดังนี้ จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 217 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
ความผิดตามมาตรา 217 ดังกล่าว แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1 วางเพลิงเผา
2 ทรัพย์ของผู้อื่น
3 โดยเจตนา
วางเพลิงเผา หมายถึง การกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใดๆก็ตาม เช่น ใช้ไม้ขีดไฟจุดเผา ใช้เลนส์
การวางเพลิงเผาทรัพย์จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อเป็นการวางเพลิงเผา “ทรัพย์ของผู้อื่น” เท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้ แต่ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น กล่าวคือ ต้องเป็นทรัพย์ที่มีเจ้าของด้วย ถ้าหากเป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของ คือเป็นทรัพย์ที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของใครเลย ก็ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ดังนั้นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตนเองย่อมไม่เป็นความผิด
นอกจากนี้การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องกระทำโดยเจตนา คือ มีเจตนาหรือมีความตั้งใจที่จะเผาทรัพย์ของผู้อื่น และต้องรู้ด้วยว่าทรัพย์ที่เผานั้นเป็นของผู้อื่น ถ้าหากไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีเจตนา เช่น วางเพลิงเผาทรัพย์โดยเข้าใจว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง ก็ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จำเลยจุดไฟเผารถของตนเอง โดยมีเจตนาจะให้ไฟลามไปไหม้รถของนาย ก ด้วยนั้น ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาที่จะเผารถของนาย ก โดยตรง เมื่อไฟได้ไหม้รถของนาย ก ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 217 ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น
สรุป จำเลยมีความผิดฐานเผาทรัพย์ของผู้อื่น ตามมาตรา 217
ข้อ 4 เด็กหญิงนกอายุ 14 ปี รักนายปูมาก เต็มใจจะไปร่วมประเวณีกับนายปู เมื่อนายปูพาเด็กหญิงนกเข้าไปในห้อง พวกของนายปูอีก 2 คน ก็เดินตามเข้าไปในห้องขอกระทำชำเราด้วย เด็กหญิงนกก็ยินยอมให้กระทำชำเราตามคำขอร้องของนายปู พวกของนายปูได้ผลัดกันกระทำชำเรา ส่วนนายปูขอประทำชำเราเป็นคนสุดท้าย ได้ถอดกางเกงยืนรออยู่ แต่มีคนมายังที่เกิดเหตุเสียก่อน นายปูจึงไม่ได้กระทำชำเรา ดังนี้นายปูมีความผิดเกี่ยวกับเพศประการใด หรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 277 วรรคแรกและวรรคสี่ ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษ
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสามได้กระทำโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือกระทำกับเด็กชายในลักษณะเดียวกันและเด็กนั้นไม่ยินยอมหรือได้กระทำโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้อาวุธ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
วินิจฉัย
ความผิดตามมาตรา 277 วรรคแรก ดังกล่าว แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1 กระทำชำเรา
2 เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน
3 โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
4 โดยเจตนา
กระทำชำเรา หมายความว่า การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งใดกระทำกับอวัยวะเพศ หรือทวารหนักของผู้อื่น
เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน หมายความว่า ผู้ถูกกระทำชำเราตามมาตรานี้ต้องเป็น
(ก) เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ไม่ว่าเด็กนั้นจะเป็นชายหรือหญิง หากอายุเกินกว่า 15 ปี ย่อมไม่เข้าเงื่อนไขของมาตรานี้ และ
(ข) เด็กซึ่งถูกกระทำนั้นต้องมิใช่ภริยาหรือสามีของผู้กระทำ หากเด็กนั้นเป็นภริยาหรือสามีของผู้กระทำแล้ว ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ แต่ทั้งนี้คำว่า “สามีภริยา” ในที่นี้หมายถึงสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม หมายความว่า เด็กผู้ถูกกระทำชำเราตามมาตรานี้จะยินยอมให้กระทำชำเราหรือไม่ยินยอมให้กระทำชำเราก็เป็นความผิดทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าเด็กอายุเพียงเท่านั้นยังไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพอ ความรู้สึกนึกคิดยังน้อย สมควรจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
กรกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ผู้กระทำจะต้องกระทำ “โดยเจตนา” กล่าวคือ จะต้องรู้ว่าเด็กนั้นมิใช่ภริยาหรือสามีของตน และเป็นเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ถ้าผู้กระทำไม่รู้ย่อมถือว่าขาดเจตนาไม่เป็นความผิด เช่น จำเลยกระทำชำเราเด็กหญิงอายุ 15 ปี โดยเข้าใจว่าเด็กหญิงนั้นอายุ 18 ปี โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมให้กระทำชำเรา ดังนี้ จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 277
อนึ่งคำว่า “โทรมหญิง” หมายถึง การร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเราต่อเนื่องกันไป
การร่วมกันกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงนั้นจะต้องกระทำก่อนหลังกันอยู่ระหว่างที่พวกของนายปูบางคนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว บางคนกำลังกระทำชำเราอยู่ การที่นายปูได้ถอดกางเกงยืนรออยู่พร้อมที่จะกระทำชำเราเด็กหญิงเป็นคนต่อไป โดยเด็กนั้นยินยอม แม้จะยังไม่ทันได้กระทำชำเราเด็กหญิงนก เพราะมีคนมายังที่เกิดเหตุเสียก่อน ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดแล้ว ดังนั้นนายปูจึงอยู่ในลักษณะเป็นตัวการร่วมกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามมาตรา 277 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 (ฎ.2200/2527)
อย่างไรก็ตาม เมื่อการกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้น จะต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา 277 วรรคสี่หรือไม่ เห็นว่า เหตุในลักษณะฉกรรจ์ที่จะทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 277 วรรคสี่นี้จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์คือ
1 ร่วมกันกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือกระทำกับเด็กชายในลักษณะเดียวกัน และ
2 เด็กนั้นไม่ยินยอม
เมื่อเด็กหญิงนกยินยอมให้กระทำชำเรา แม้จะเป็นความผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงก็ตาม ผู้กระทำความผิดก็ไม่ต้องรับโทษหนักขึ้นตามวรรคสี่แต่อย่างใด คงต้องรับโทษเพียงวรรคแรกเท่านั้น
สรุป นายปูเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิง ตามมาตรา 277 วรรคแรก