การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 สาวิตรีจอดรถยนต์รอสัญญาณไฟเขียวอยู่บนท้องถนนในเวลากลางคืน สมเดชคนร้ายวิ่งหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สมเดชเปิดประตูรถยนต์ของสาวิตรีขณะจอดอยู่นั้นแล้วเข้าไปเอาปืนจี้สาวิตรี บังคับให้สาวิตรีขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตามมาจับกุมสมเดช สาวิตรีกลัวสมเดชยิงจึงขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจตาย ดังนี้ สาวิตรีและสมเดชต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 67 ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้
ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
วินิจฉัย
ตามปัญหา สมเดชคนร้ายใช้ปืนจี้สาวิตรีบังคับให้ขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สาวิตรีกลัวสมเดชยิงจึงขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สาวิตรีกระทำโดยเจตนาตาม มาตรา 59 วรรคสอง สาวิตรีรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่สาวิตรีกระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถ หลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ และกระทำไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ สาวิตรีจึงไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67(1) ส่วนสมเดชได้ก่อให้สาวิตรีกระทำความผิดโดยการบังคับ สมเดชต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด และความผิดนั้นได้กระทำตามที่ก่อ สมเดชจึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา 84
สรุป สาวิตรีต้องรับผิดทางอาญาเพราะกระทำโดยเจตนาแต่ไม่ต้องรับโทษ ส่วนสมเดชต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้
ข้อ 2 เชิดชายต้องการฆ่าชายน้อย เชิดชายแอบอยู่หลังรถยนต์บรรทุกของสมควรเพื่อดักยิงชายน้อย พอชายน้อยเดินมาเชิดชายยกปืนเล็งไปที่ชายน้อย ชายน้อยเห็นเข้าพอดีจึงใช้ปืนของตนยิงไปที่เชิดชายกระสุนถูกเชิดชายบาดเจ็บ ถูกรถยนต์บรรทุกของสมควรเสียหาย และกระสุนปืนยังถูกสมควรซึ่งนอนอยู่ในรถตายด้วย ดังนี้ ชายน้อยต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
วินิจฉัย
ตามปัญหา เชิดชายยกปืนเล็งไปที่ชายน้อย ชายน้อยเห็นเข้าพอดีจึงใช้ปืนยิงไปที่เชิดชายกระสุนปืนถูกเชิดชายบาดเจ็บ ถูกรถยนต์บรรทุกสมควรเสียหาย และกระสุนปืนยังถูกสมควรซึ่งนอนอยู่ในรถตายด้วย ชายน้อยกระทำต่อเชิดชายโดยเจตนาประสงค์ต่อผล และกระทำต่อทรัพย์ของสมควรโดยเจตนา ย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคสอง ส่วนผลที่เกิดกับสมควรเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปตามมาตรา 60 ถือว่าชายน้อยเจตนากระทำต่อสมควรด้วย แต่การกระทำของชายน้อยทำเพื่อป้องกันตนเอง เพราะเชิดชายยกปืนเล็งไปที่ชายน้อยเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ชายน้อยจึงต้องป้องกันสิทธิของตนและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุตามมาตรา 68
สรุป
1 ชายน้อยกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล (เชิดชาย) ชายน้อยกระทำเพื่อป้องกันตนเอง ชายน้อยไม่ต้องรับผิด
2 ชายน้อยกระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล (ทรัพย์ของสมควร) กระทำเพื่อป้องกันตนเอง ชายน้อยไม่ต้องรับผิด กรณีนี้ไม่ถือว่ากระทำความผิดด้วยความจำเป็น (ตามมาตรา 67(2)) เพราะว่าเชิดชายไปแอบอยู่หลังรถยนต์บรรทุก รถยนต์บรรทุกจึงเป็นเครื่องมือในการก่อภยันตราย การกระทำต่อทรัพย์ก็เท่ากับกระทำต่อผู้ก่อภัยโดยตรงจึงถือเป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
3 ชายน้อยเจตนากระทำต่อสมควรเพราะผลที่เกิดกับสมควรเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป เมื่อเจตนาตอนแรกของชายน้อยเป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปก็เป็นผลที่เกิดจากการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย ชายน้อยไม่ต้องรับผิดต่อสมควร
ข้อ 3 ยรรยงต้องการฆ่าบรรจง ยรรยงชักปืนออกมายังไม่ทันยกขึ้นเล็งไปที่บรรจง คันศรได้วิ่งออกมาปัดปืนเพื่อช่วยบรรจง กระสุนลั่นไปถูกสามารถตาย ดังนี้ ยรรยงและคันศรต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสี่ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
วินิจฉัย
ตามปัญหา ตามที่ยรรยงชักปืนออกมาแต่ยังไม่ได้ยกขึ้นเล็งไปที่บรรจง ยรรยงยังไม่ได้ลงมือกระทำ ยรรยงจึงไม่ได้กระทำโดยประสงค์ต่อผลและย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคสอง แต่การชักปืนออกมา ปืนเป็นอาวุธร้ายแรงจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ การชักปืนออกมาในลักษณะเพื่อจะยิงจึงเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังในภาวะเช่นว่านั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จึงถือว่ายรรยงกระทำโดยประมาท ตามมาตรา 59 วรรคสี่ ผลที่เกิดขึ้นกับสามารถจึงมิใช่ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปตามมาตรา 60 เพราะยรรยงมิได้กระทำโดยเจตนาต่อบรรจง ส่วนคันศรกระทำไปเพื่อช่วยบรรจง คันศรมิได้ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผล คันศรไม่มีเจตนาและในภาวะเช่นว่านั้นคันศรได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอแล้ว ไม่ถือว่าคันศรกระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่
สรุป ยรรยงต้องรับผิดทางอาญา เพราะกระทำโดยประมาท ส่วนคันศรไม่ต้องรับผิด เพราะไม่มีเจตนาและไม่ประมาท
ข้อ 4 เฉลิมต้องการฆ่าสนั่น เฉลิมไปดักยิงสนั่น ยงยุธทราบว่าเฉลิมจะมายิงสนั่น ยงยุธอยากให้สนั่นตายยงยุธเห็นสนั่นจะเดินไปทางอื่นคนละทางกับที่เฉลิมดักรออยู่ ยงยุธจึงบอกสนั่นให้เดินไปทางที่เฉลิมดักยิง เฉลิมยิงสนั่นตาย ดังนี้ ยงยุธต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น
วินิจฉัย
ตามปัญหา ยงยุธได้ช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกเฉลิมกระทำความผิด คือ ยงยุธบอกสนั่นให้เดินไปทางที่เฉลิมดักยิง ยงยุธจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 ต้องรับโทษสองในสามส่วน ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น และยงยุธก็ไม่เป็นตัวการตามมาตรา 83 เพราะเฉลิมไม่รู้เรื่องเจตนาของยงยุธจึงไม่ถือว่ามีเจตนาร่วมกันขณะกระทำความผิด
สรุป ยงยุธรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน