การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นายโก๋ออกไปล่าสัตว์ในป่ากับนายเก๋า หลังจากแยกย้ายกันไปล่าสัตว์ได้พักใหญ่ นายโก๋มานั่งพักอยู่ที่จุดนัดพบคอยนายเก๋า ระหว่างนั้นนายโก๋ได้ยินเสียงพุ่มไม้ไหว นายโก๋คิดว่าเป็นหมูป่าโดยไม่คิดว่าเป็นนายเก๋า ทั้งๆที่ปกตินายเก๋ามักจะชอบล้อเล่นแบบนี้อยู่เสมอ ด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี นายโก๋ตัดสินใจใช้ปืนยิงไปหลังพุ่มไม้นั้น ปรากฏว่าหลังพุ่มไม้เป็นนายเก๋า นายเก๋าถูกกระสุนปืนของนายโก๋ถึงแก่ความตาย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายโก๋
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
มาตรา 62 วรรคสอง ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท
วินิจฉัย
บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำโดยเจตนา ยกเว้นการกระทำบางอย่างแม้ไม่มีเจตนาก็เป็นความผิดได้ ถ้ามีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด เช่น การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย หรือประมาทเป็นเหตุให้เพลิงไหม้ ตามมาตรา 291 หรือมาตรา 225 นอกจากนั้น มาตรา 59 ยังบัญญัติว่าการกระทำบางอย่างแม้ไม่มีเจตนา ไม่ประมาท แต่ถ้ามีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งให้ตองรับผิดก็มีความผิดทางอาญาได้ เช่น ความผิดลหุโทษบางมาตรา
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโก๋ใช้ปืนยิงไปหลังพุ่มไม้นั้นถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกแล้ว ถือว่านายโก๋มีการกระทำทางอาญา แต่การที่นายโก๋ยิงไปหลังพุ่มไม้นั้นโดยเข้าใจว่าเป็นหมูป่า จึงเป็นกรณีที่นายโก๋ไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด (ความผิดฐานฆ่าคนตายมีองค์ประกอบของความผิดคือ 1 ฆ่า 2 ผู้อื่น (ต้องมีบุคคลมารองรับการกระทำ) ซึ่งนายโก๋มิได้ประสงค์ต่อผล คือ ให้นายเก๋าถึงแก่ความตาย และก็ไม่ได้เล็งเห็นผลว่าจะเกิดผลเช่นว่านั้นกับนายเก๋า เช่นนี้ จึงถือว่านายโก๋ไม่มีเจตนากระทำต่อนายเก๋า ตามมาตรา 59 วรรคสองและวรรคสาม นายโก๋จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา ตามมาตรา 59 วรรคแรก
อย่างไรก็ตาม หากความไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว เกิดขึ้นเพราะความประมาทของผู้กระทำ ตามมาตรา 62 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้กระทำต้องรับผิดในฐานประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด แม้จะได้กระทำโดยประมาท ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายโก๋ยิงไปด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี หากเดินเข้าไปใกล้ๆหรือหากดูให้ดีก็จะรู้ว่าสิ่งที่อยู่หลังพุ่มไม้เป็นเก๋า มิใช่หมูป่า จึงเป็นกรณีที่ความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดของนายโก๋ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาท ปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่นายโก๋อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาใช้ให้เพียงพอไม่ ตามมาตรา 59 วรรคสี่ นายโก๋จึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 59 วรรคแรก เพราะการกระทำนั้นมีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดแม้จะได้กระทำโดยประมาท ตามมาตรา 62 วรรคสอง
สรุป นายโก๋ไม่มีเจตนากระทำต่อนายเก๋า จึงไม่ต้องรับผิดฐานกระทำโดยเจตนา แต่ต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาท ตามมาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสี่ประกอบมาตรา 62 วรรคสอง
ข้อ 2 นายแดงต้องการฆ่านายดำ วันหนึ่งนายแดงเห็นนายดำนั่งรับประทานอาหารอยู่กับนางขาว นายแดงจึงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดำ กระสุนถูกนายดำได้รับบาดเจ็บ และบางส่วนของกระสุนถูกนางขาวถึงแก่ความตาย นอกจากนั้นกระสุนยังแผ่ไปถูกนายม่วงซึ่งเป็นบิดาของนายแดงที่นั่งอยู่ห่างไกลออกไปได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อีกทั้งเศษกระสุนบางส่วนยังเลยไปโดนกระจกรถยนต์ของนายฟ้าที่จอดอยู่ไกลออกไปแตกเสียหายอีกด้วย จงวินิจฉัยความผิดทางอาญาของนายแดง
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
วินิจฉัย
ความรับผิดของนายแดงต่อนายดำ
การที่นายแดงต้องการฆ่านายดำจึงยกปืนขึ้นยิงนายดำนั้น การกระทำดังกล่าวของนายแดงถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้จิตสำนึกและมีการประสงค์ต่อตัวนายดำ กรณีเช่นนี้ จึงถือว่านายแดงได้กระทำโดยมีเจตนาฆ่านายดำแล้ว ตามมาตรา 59 วรรคสองและวรรคสาม เมื่อได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำดังกล่าวไม่บรรลุผล คือ นายดำไม่ถึงแก่ความตาย กรณีนี้นายแดงจึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายดำ ตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80
ความรับผิดของนายแดงต่อนางขาว
นายแดงต้องการฆ่านายดำไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลต่อตัวนางขาว แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายแดงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดำโดยที่มีนางขาวนั่งรับประทานอาหารอยู่ใกล้ๆนั้น นายแดงย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนลูกซองอาจถูกนางขาวได้ เมื่อกระสุนปืนถูกนางขาวถึงแก่ความตาย จึงถือเป็นการกระทำโดยเจตนาเล็งเห็นผลต่อนางขาว ตามมาตรา 59 วรรคสองและวรรคสาม นายแดงจึงต้องรับผิดฐานฆ่านางขาวตายโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคแรก
ความรับผิดของนายแดงต่อนายม่วง
การที่นายแดงยิงไปที่นายดำ แล้วกระสุนปืนได้เลยไปถูกนายม่วงตายด้วยนั้น เป็นกรณีที่นายแดงกระทำโดยเจตนาต่อนายดำแต่ผลร้ายไปเกิดแก่นายม่วงโดยพลาดไป เช่นนี้ ให้ถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาแก่นายม่วงบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นด้วย ตามมาตรา 60 และกรณีนี้แม้ว่านายม่วงจะเป็นบิดาตามกฎหมายของนายแดงก็ตาม แต่ตามมาตรา 60 ตอนท้าย กำหนดมิให้นำความสัมพันธ์ของบุคคลมาใช้บังคับแก่การกระทำโดยพลาด ดังนั้น กรณีนี้เมื่อนายม่วงไม่ถึงแก่ความตาย นายแดงจึงต้องรับผิดเพียงฐานพยายามฆ่าบุคคลธรรมดาคือ นายม่วงตายโดยเจตนาโดยพลาดเท่านั้น ตามมาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง ประกอบมาตรา 60 และมารา 80 ไม่ต้องรับผิดฐานฆ่าบุพการี
ความรับผิดของนายแดงต่อนายฟ้า
การที่นายแดงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดำ เศษกระสุนบางส่วนได้เลยไปโดนกระจกรถยนต์ของนายฟ้าที่จอดอยู่ กรณีเช่นนี้ นายแดงไม่ต้องรับผิดต่อนายฟ้า เพราะการกระทำของนายแดงไม่ใช่การกระทำโดยพลาด เนื่องจากการกระทำโดยพลาดต้องเป็นเจตนาประเภทเดียวกัน ซึ่งในกรณีนี้ เจตนาแรกของนายแดงเป็นเจตนาประสงค์ต่อชีวิตไม่ใช่เจตนาทำให้เสียทรัพย์ จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 60 เทียบฎีกาที่ 1086/2521
และแม้นายแดงจะยิงนายดำโดยไม่ดูให้ดีว่ามีรถยนต์จอดอยู่ อันเป็นกรณีของการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาท ตามมาตรา 59 วรรคสี่ก็ตาม นายแดงก็ไม่ต้องรับผิดต่อนายฟ้าตามมาตรา 59 วรรคแรกเช่นกัน เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดในกรณีที่ประมาททำให้เสียทรัพย์
สรุป
นายแดงต้องรับผิดต่อนายดำฐานพยายามฆ่านายดำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล
นายแดงต้องรับผิดต่อนางขาวฐานเจตนาฆ่านางขาวโดยเจนาเล็งเห็นผล
นายแดงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายม่วงโดยพลาด แต่ไม่ต้องรับโทษฐานฆ่าบุพการี
นายแดงไม่ต้องรับผิดต่อนายฟ้า เพราะไม่ใช่การกระทำโดยพลาด แม้จะประมาทก็ไม่ต้องรับผิดเพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดในกรณีประมาททำให้เสียทรัพย์
ข้อ 3 บุญจงต้องการทำร้ายสมหมาย บุญจงได้บอกสุทินให้ตีหัวสมหมาย ถ้าไม่ตีจะระเบิดตึกราคา 10 ล้านบาทของสมหมาย ซึ่งบุญจงได้วางระเบิดไว้แล้ว สุทินกลัวบุญจงระเบิดตึกของตนจึงใช้ไม้ตีไปที่หัวของสมหมาย สมหมายหลบและล้มลง สุทินเงื้อไม้ขึ้นตีซ้ำ แมนบุตรของสมหมายเห็นจึงผลักสุทินล้มลงได้รับบาดเจ็บ สมหมายลุกขึ้นได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าของสุทิน ดังนี้ บุญจง สุทิน สมหมาย และแมนต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
มาตรา 67 ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้
ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
มาตรา 72 ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
วินิจฉัย
ความรับผิดของบุญจง
บุญจงต้องการฆ่าสมหมาย บุญจงได้บอกให้สุทินตีหัวสมหมายหากไม่ตีจะระเบิดตึกของสุทิน กรณีเช่นนี้ถือว่าบุญจงได้มีเจตนาก่อให้สุทินกระทำความผิดด้วยวิธีการบังคับ และเมื่อสุทินได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว บุญจงจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ตามมาตรา 84
ความรับผิดของสุทิน
การที่สุทินกลัวบุญจงจะระเบิดตึกของตนจึงใช้ไม้ตีหัวของสมหมาย การกระทำของสุทินดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผล คือ ความตายของสมหมาย กรณีเช่นนี้ถือว่าสุทินกระทำโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสองและวรรคสาม และต้องรับผิดทางอาญา ตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่สุทินไม่ต้องรับโทษเพราะขณะกระทำสุทินอยู่ภายใต้อำนาจบังคับของบุญจง สุทินไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อได้กระทำโดยไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของสุทินจึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น ตามมาตรา 67(1) สุทินจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายสมหมาย แต่ไม่ต้องรับโทษ
ความรับผิดของสมหมาย
การที่สมหมายถูกสุทินใช้ไม้ตีและล้มลงแล้วสมหมายลุกขึ้นได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าของสุทิน การกระทำของสมหมายดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผล คือ อาการบาดเจ็บของสุทิน กรณีเช่นนี้จึงถือว่า สมหมายได้กระทำต่อสุทินโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง และวรรคสาม และต้องรับผิดทางอาญา ตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่อย่างไรก็ตาม การที่สมหมายทำร้ายสุทินดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากที่ตนถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม อันถือว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามมาตรา 72 สมหมายย่อมสามารถอ้างเหตุดังกล่าวนี้มาเป็นเหตุลดโทษได้
ความรับผิดของแมน
เมื่อแมนบุตรของสมหมายเห็นว่าสุทินเงื้อไม้ขึ้นจะตีสมหมาย จึงได้ผลักสุทินล้มลง กรณีถือว่า แมนได้กระทำโดยเจตนาต่อสุทิน ตามมาตรา 59 วรรคสองและวรรคสาม แต่การกระทำดังกล่าวของสุทินได้กระทำไปเพื่อให้นายสมหมายหลุดพ้นจากภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุการณ์กระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 68 แมนย่อมไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายสมหมาย
สรุป
บุญจงรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนเป็นตัวการ
สุทินมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะกระทำความผิดด้วยความจำเป็น
สมหมายต้องรับผิดทางอาญา แต่รับโทษน้อยเพียงใดก็ได้ เพราะกระทำโดยบันดาลโทสะ
แมนไม่ต้องรับผิดทางอาญา
ข้อ 4 ประชากับสมเดชร่วมกันวางแผนฆ่าชุมพล โดยตกลงกันให้ประชาไปหลอกชุมพลออกจากบ้านมาให้สมเดชยิง อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพลและทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืน อรสาได้ฝากอาวุธปืนแก่วันรบมาให้สมเดช โดยสมเดชไม่ทราบว่าเป็นอาวุธปืนของอรสา ระหว่างที่ประชาเดินทางไปที่บ้านชุมพล สมเดชพบชุมพลโดยบังเอิญจึงยิงชุมพลตายเสียก่อนที่ประชาจะพบชุมพล ดังนี้ ประชา และอรสาต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น
วินิจฉัย
ความรับผิดของประชา
ประชากับสมเดชร่วมกันวางแผนฆ่าชุมพล โดยตกลงกันให้ประชาไปหลอกชุมพลออกมาจากบ้านให้สมเดชเป็นคนยิง ต่อมาเมื่อสมเดชพบชุมพลโดยบังเอิญเสียก่อนจึงได้ยิงชุมพลตาย กรณีเช่นนี้ สมเดชย่อมมีความรับผิดทางอาญาฐานเจตนาฆ่า ตามมาตรา 59 แต่ในส่วนของประชานั้น ในขณะที่สมเดชยิงชุมพลประชายังไม่ได้เข้าร่วมในขณะหรือระหว่างที่กระทำความผิดด้วย ทั้งมิได้อยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะพร้อมที่จะช่วยเหลือพรรคพวกได้ทันท่วงที ประชาจึงไม่ใช่ตัวการร่วม ตามมาตรา 83
แต่อย่างไรก็ตาม การที่ประชาได้ร่วมกับสมเดชวางแผนมาแล้วตั้งแต่ต้น กรณีจึงถือว่าประชาได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่สมเดชผู้กระทำความผิดแล้ว ประชาจึงเป็นผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86
ความรับผิดของอรสา
การที่อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพลและทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืน อรสาจึงได้ฝากอาวุธปืนแก่วันรบมาให้สมเดช กรณีเช่นนี้ แม้สมเดชจะไม่ทราบว่าเป็นปืนของอรสา แต่เมื่ออรสามีเจตนาที่จะช่วยเหลือสมเดชก่อนที่จะกระทำความผิดแล้ว อรสาจึงเป็นผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86
สรุป ประชาและอรสาต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86