การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 นายดำขอซื้อไม้แปรรูปจากนายแดงเป็นเงิน 100,000 บาท มาใช้ทำตู้เสื้อผ้าจำหน่าย แต่นายดำไม่มีเงิน จึงของผัดผ่อนยังไม่ชำระค่าไม้แปรรูป และขอยืมเงินจากนายแดงอีก 10,000 บาท มาซื้ออุปกรณ์ นายแดงตกลงขายไม้แปรรูปและให้นายดำกู้ยืมเงินตามขอ
โดยกำหนดเวลาชำระเงินยืมคืนภายในวันที่ 1 มีนาคม 2550 ส่วนค่าไม้แปรรูปให้ชำระเมื่อขายตู้เสื้อผ้าได้แล้ว ครั้นเมื่อถึงวันที่ 1 มีนาคม 2550 นายดำยังขายตู้เสื้อผ้าไม่ได้ จึงไม่ชำระหนี้แก่นายแดง วันที่ 10 มีนาคม 2550 นายแดงมีหนังสือทวงถามถึงนายดำให้ชำระหนี้ทั้งสองรายการภายในวันที่ 20 มีนคม 2550 ปรากฏว่าในวันที่ 15 มีนาคม 2550 นายดำขายตู้เสื้อผ้าได้เงินมา 200,000 บาท แต่ก็ไม่นำมาชำระหนี้ให้แก่นายแดงจนพ้นกำหนดดังกล่าว
ให้วินิจฉัยว่า ถ้านายแดงจะฟ้องให้นายดำชำระหนี้ดังกล่าวทั้งสองรายการแก่นายแดง นายแดงจะเรียกให้นายดำชำระดอกเบี้ยให้แก่นายแดงได้หรือไม่ ในอัตราเท่าไร และตั้งแต่วันใด
ธงคำตอบ
มาตรา 204 ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้น เจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว
ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย
มาตรา 224 วรรคแรก หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น
วินิจฉัย
สำหรับหนี้ค่าไม้แปรรูปเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระตามวันปฏิทิน นายดำจะตกเป็นผู้ผิดนัดก็ต่อเมื่อนายแดงได้เตือนแล้วนายดำไม่ชำระหนี้ เมื่อนายแดงมีหนังสือทวงถามให้นายดำชำระหนี้ค่าไม้แปรรูปภายในวันที่ 20 มีนาคม 2550 นายดำไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 20 มีนคม 2550 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคแรก นายแดงมีสิทธิเรียกให้นายดำชำระดอกได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 100,000 บาท นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่นายแดงตามมาตรา 224 วรรคแรก
ส่วนหนี้เงินกู้ตกลงกันไว้ว่าจะชำระคืนภายในวันที่ 1 มีนาคม 2550 จึงเป็นหนี้ที่มีกำหนดชำระตามวันปฏิทิน นายดำย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2550 โดยไม่ต้องมีการเตือนก่อนตามมาตรา 204 วรรคสอง เมื่อนายดำไม่ชำระหนี้ นายแดงจึงมีสิทธิเรียกให้นายดำชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 10,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่นายแดงตามมาตรา 224 วรรคแรก
สรุป นายแดงสามารถเรียกให้นายดำชำระดอกเบี้ยได้ทั้งสองกรณีในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีโดยหนี้ค่าไม้แปรรูป เรียกได้ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2550 ส่วนหนี้เงินกู้ เรียกได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จ ตามมาตรา 224 วรรคแรก
ข้อ 2 นายกรได้เอาเงินของตนให้บริษัท เค จำกัด กู้จำนวนหนึ่งล้านบาท เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ บริษัท เค จำกัด ได้รับเงินกู้ไปจากนายกรครบแล้ว และนายกรได้ตกลงกับนายเอก กรรมการของบริษัท เค จำกัด ให้นายเอกสั่งจ่ายเช็คส่วนตัวของนายเอกเองมอบให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด
เซีย ซึ่งเป็นห้างที่นายกรเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการอยู่ เป็นผู้รับเงินตามเช็ค เพื่อรับชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว แล้วนายกรจึงจะเบิกเงินจากบัญชีของห้างกลับคืนมาในภายหลง ต่อมาเมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด เซีย นำเช็คฉบับดังกล่าวเข้าบัญชีของห้างเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค
แต่ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน นายกรจึงฟ้องบริษัท เค จำกัด เรียกเงินกู้ตามสัญญากู้ที่ทำกันไว้ บริษัท เค จำกัด ให้การต่อสู้ว่าการชำระหนี้ด้วยเช็คของนายเอก ทำให้หนี้เงินกู้ระงับไปแล้ว และนายกรจะเป็นโจทก์ฟ้องบริษัท เค จำกัดไม่ได้ เพราะเมื่อหนี้ระงับ
โดยการชำระหนี้ด้วยเช็คของนายเอกแล้ว ห้างหุ้นส่วนจำกัด เซีย ซึ่งเป็นผู้รับชำระหนี้และถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงเป็นเจ้าหนี้ตามเช็คเป็นผู้มีอำนาจที่ต้องฟ้องนายเอกเองไม่ใช่นายกร
ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของบริษัท เค จำกัด ทั้งหมดรับฟังได้หรือไม่ อย่างไร โดยใครจะต้องเป็นผู้ฟ้องร้องเรียกเงินกู้หนึ่งล้านบาทและฟ้องใครเป็นจำเลย
ธงคำตอบ
มาตรา 194 ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ อนึ่งการชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้
มาตรา 314 อันการชำระหนี้นั้น ท่านว่า บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ชำระก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้บุคคลภายนอกชำระ หรือจะขัดกับเจตนาอันคู่กรณีได้แสดงไว้
บุคคลผู้ไม่มีส่วนได้เสียด้วยในการชำระหนี้นั้น จะเข้าชำระหนี้โดยขืนใจลูกหนี้หาได้ไม่
มาตรา 315 อันการชำระหนี้นั้น ต้องทำให้แก่ตัวเจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ การชำระหนี้ทำให้แก่บุคคลผู้ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้นั้น ถ้าเจ้าหนี้ให้สัตยาบันก็นับว่าสมบูรณ์
มาตรา 321 ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป
ถ้าเพื่อที่จะทำให้พอใจแก่เจ้าหนี้นั้น ลูกหนี้รับภาระเป็นหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นใหม่ต่อเจ้าหนี้ไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ท่านมิให้สันนิษฐานว่าลูกหนี้ได้ก่อหนี้นั้นขึ้นแทนการชำระหนี้
ถ้าชำระหนี้ด้วยออก – ด้วยโอน – หรือด้วยสลักหลังตั๋วเงินหรือประทวนสินค้า ท่านว่าหนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินหรือประทวนสินค้านั้นได้ใช้เงินแล้ว
วินิจฉัย
การที่บริษัท เค จำกัด ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายกรตามมาตรา 194 และตามปกติ บริษัทฯ ย่อมเป็นผู้ต้องชำระหนี้ตามสัญญาเอง อย่างไรก็ตาม จากข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่านายกรเจ้าหนี้ตกลงให้นายเอกบุคคลภายนอกเป็นผู้ชำระหนี้แทนบริษัท เค จำกัด ลูกหนี้ซึ่งสามารถทำได้ตามมาตรา 314 วรรคแรก ส่วนการชำระหนี้ด้วยเช็คของนายเอกนั้น ถือว่านายกรเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ด้วยเงินสด ตามมาตรา 321 วรรคแรก ข้อเท็จจริงปรากฏต่อไปว่าการชำระหนี้ด้วยเช็คฉบับนี้เป็นการสั่งจ่ายชำระแก่บุคคลที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เซีย แต่ก็ปรากฏว่า นายกรเจ้าหนี้เป็นผู้มอบหมายให้ห้างนี้เป็นผู้ชำระหนี้แทนตน ดังนั้น การชำระหนี้ในกรณีตามปัญหานี้จึงเป็นการชำระหนี้แก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระแทนนายกรเจ้าหนี้ตามมาตรา 315 ผลของการชำระหนี้ด้วยการออกเช็ค (ตั๋วเงิน) จึงเป็นว่าหนี้เงินกู้จะระงับไปต่อเมื่อมีการใช้เงินตามเช็คนั้นแล้ว ทั้งนี้ตามมาตรา 321 วรรคท้าย เมื่อเช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เท่ากับยังไม่มีการชำระหนี้ หนี้เงินกู้ยังไม่ระงับ นายกรเจ้าหนี้จึงเป็นโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ดังกล่าวได้ส่วนผู้ที่จะต้องถูกฟ้องตามสัญญาเงินกู้ คือ บริษัท เค จำกัด
สรุป ข้อต่อสู้ของบริษัท เค จำกัด รับฟังไม่ได้ทั้งหมด และนายกรเป็นโจทก์ฟ้องบริษัท เค จำกัด เป็นจำเลยได้
ข้อ 3 จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคารอยู่ห้าแสนบาท แต่อังคารไม่มีทรัพย์สินใดๆเลย อังคารมีอาชีพรับจ้างมีรายได้เพียงเดือนละสามพันบาท ต่อมาปรากฏว่าอังคารได้จดทะเบียนรับรองว่าพุธเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของตน ซึ่งเป็นผลทำให้อังคารจะมีภาระจำต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าใช้จ่ายในการให้การศึกษาแก่พุธผู้เป็นบุตร
ทำให้ทรัพย์สินของอังคารต้องหมดเปลืองและลดน้อยลงยิ่งขึ้นอีก ดังนี้ จันทร์จะใช้สิทธิเพิกถอนการรับรองบุตรดังกล่าวนั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 237 เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้
บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน
วินิจฉัย
ตามมาตรา 237 การเพิกถอนการฉ้อฉลนี้ กฎหมายบัญญัติขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหาในกรณีที่เจ้าหนี้กำลังจะบังคับชำระหนี้เอาแก่ลูกหนี้ แต่ทรัพย์สินของลูกหนี้ไม่มีเหลืออยู่ หรือมีเหลือแต่ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ เนื่องจากลูกหนี้ได้โอนไปให้ผู้อื่นเสียแล้ว กฎหมายจึงให้อำนาจเจ้าหนี้ที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมใดๆ ที่ลูกหนี้ได้ทำไปโดยฉ้อฉล และเมื่อศาลเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวแล้ว ก็มีผลเท่ากับว่าลูกหนี้ไม่เคยทำนิติกรรมฉ้อฉลนั้นเลย ทรัพย์สินดังกล่าวก็คงกลับเข้ามาอยู่ที่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ดังเดิม
หลักเกณฑ์การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ประกอบด้วย
1 ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล หมายถึง นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งก็คือ นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง แต่ถ้าลูกหนี้ทำนิติกรรมไปแล้วแต่ยังมีทรัพย์สินอีกมากมายที่จะชำระหนี้ได้ ดังนี้ย่อมไม่ถือว่าเจ้าหนี้เสียเปรียบ
2 การทำนิติกรรมของลูกหนี้นั้น ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบถ้าไม่รู้ก็ย่อมไม่ถือเป็นการฉ้อฉล
3 นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ ถ้าทำโดยมิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้) ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้ (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)
4 หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้ (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)
5 การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น จะไม่นำมาใช้กับนิติกรรมใดๆ อันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน
ตามปัญหา การรับรองบุตรเป็นนิติกรรมที่ไม่เกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน (มิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน) จันทร์จึงขอให้เพิกถอนการรับรองบุตรดังกล่าวนั้นไม่ได้ ตามมาตรา 237 วรรคสอง
สรุป จันทร์จะใช้สิทธิเพิกถอนการรับรองบุตรดังกล่าวไม่ได้
ข้อ 4 หนึ่งเป็นเจ้าหนี้และสองเป็นลูกหนี้ ในหนี้เงิน 100,000 บาท โดยมีสามและสี่เป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าวนี้ ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ สอง (ลูกหนี้) ผิดนัด แต่ต่อมาปรากฏว่า หนึ่งปลดหนี้ให้สามเพียงคนเดียว ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า สี่ยังคงต้องรับผิดต่อหนึ่ง หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 293 การปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้นย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆ เพียงเท่าส่วนของลูกหนี้ที่ได้ปลดไว้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น
มาตรา 296 ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกันเว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้ ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร ลูกหนี้คนอื่นๆซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้ แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใด เจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป
มาตรา 682 วรรคสอง ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน
วินิจฉัย
สามและสี่ต้องมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 682 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อหนึ่งปลดหนี้ให้แก่สามเพียงคนเดียว สามย่อมหลุดพ้นจากหนี้ไป และการปลดหนี้นั้นเป็นประโยชน์แก่สี่ด้วยเพียงเท่าส่วนของสามที่ได้รับการปลดหนี้ให้คือห้าหมื่นบาท สี่จึงยังคงต้องรับผิดต่อหนึ่งเพียงห้าหมื่นบาทเท่านั้นตามมาตรา 293 ประกอบมาตรา 296
สรุป สี่ยังคงต้องรับผิดต่อหนึ่ง ในหนี้เงินอีกห้าหมื่น