การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 บริษัท เอ จำกัด ในประเทศเยอรมัน ได้ส่งสินค้ามาขายให้บริษัท ก จำกัด ในประเทศไทย ตามที่บริษัท ก จำกัด สั่งซื้อ คิดเป้นราคารวม 100,000 มาร์คเยอรมัน กำหนดชำระราคาด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีของบริษัท เอ จำกัด ในประเทศเยอรมัน
ต่อมาระหว่างที่กำหนดเวลาชำระค่าสินค้ายังไม่ถึงกำหนด ปรากฏว่าประเทศเยอรมันได้ประกาศยกเลิกเงินสกุลมาร์คเยอรมันของตน และใช้เงินสกุลยูโรแทน เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว ปรากฏว่า บริษัท ก จำกัด ผิดนัด ไม่ชำระราคาสินค้าตามที่ตกลงกัน บริษัท เอ จำกัด จึงมายื่นฟ้องเรียกค่าสินค้าในศาลไทย บริษัท ก จำกัด ต่อสู้คดีอ้างว่า เนื่องจากไม่มีสกุลเงินมาร์คเยอรมันอยู่ในสารบบสกุลเงินของโลกแล้ว
จึงถือได้ว่า การชำระหนี้เงินค่าสินค้าเป็นพ้นวิสัย โดยไม่ใช่ความรับผิดชอบของตน บริษัท ก จำกัด จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าอีกต่อไป และบริษัท เอ จำกัด ต้องฟ้องร้องรัฐบาลเยอรมันที่เป็นผู้ประกาศยกเลิกสกุลเงินมาร์ค ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของบริษัท ก จำกัด รับฟังได้หรือไม่ เพียงใด และเพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 197 ถ้าหนี้เงินจะพึงส่งใช้ด้วยเงินตราชนิดหนึ่งชนิดใดโดยเฉพาะ อันเป็นชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้กันแล้วในเวลาที่จะต้องส่งเงินใช้หนี้ไซร้ การส่งใช้เงินท่านว่าให้ถือเสมือนหนึ่งว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดนั้น
มาตรา 219 วรรคแรก ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น
วินิจฉัย
ในกรณีที่เป็นหนี้เงินซึ่งเงินตราชนิดนั้นยกเลิกไม่ใช้กันแล้ว ในเวลาที่จะต้องส่งเงิน กฎหมายให้ถือเสมือนว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดที่ถูกยกเลิกไปแล้วนั้น ดังนั้นลูกหนี้จึงยังต้องส่งใช้เงินชนิดที่ยังใช้อยู่ต่อไป เพราะไม่เป็นเหตุระงับแห่งหนี้
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ข้อต่อสู้ของบริษัท ก จำกัด รับฟังได้หรือไม่ เห็นว่า หนี้ค่าสินค้าของบริษัท ก จำกัด ในคดีนี้เป็นหนี้เงินตราต่างประเทศสกุลมาร์คเยอรมัน อันเป็นเงินตราของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งอยู่ในทวีปยุโรปที่มีการจัดตั้งสหภาพยุโรปขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเวลาใช้เงินจริง เงินมาร์คเยอรมันเป็นเงินตราที่ยกเลิกไม่ใช้แล้ว กรณีเช่นนี้บทบัญญัติมาตรา 197 ให้ถือเสมือนว่าคู่สัญญามิได้ตกลงระบุให้ใช้เงินมาร์คเยอรมันที่ถูกยกเลิกไปแล้วนั้น และเมื่อมีการใช้เงินสกุลยูโรแทนเงินมาร์คเยอรมัน บริษัท ก จำกัดต้องชำระหนี้ค่าสินค้าด้วยเงินยูโรซึ่งเป็นเงินสกุลที่ใช้แทนเงินมาร์คเยอรมันที่มีมูลค่าเท่ากับจำนวนหนี้ต้นเงินมาร์คเยอรมัน พร้อมดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด ทั้งนี้ โดยการคำนวณเปลี่ยนจำนวนหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยที่เป็นเงินมาร์คเยอรมันเป็นเงินยูโรนั้นด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ วันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเงินมาร์คเยอรมันเป็นเงินสกุลยูโรสามารถแลกเปลี่ยนได้ในขณะหรือก่อนเวลาใช้เงินจริง (ฎ. 568/2548, ฎ. 583/2548)
ดังนั้นข้อต่อสู้ของบริษัท ก จำกัดที่ว่าไม่มีเงินสกุลมาร์คเยอรมันอยู่ในสารบบเงินของโลกแล้ว จึงถือได้ว่าการชำระหนี้เงินค่าสินค้าเป็นพ้นวิสัยโดยไม่ใช่ความผิดของตนตามมาตรา 219 วรรคแรก บริษัท ก จำกัด จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าอีกต่อไปจึงฟังไม่ขึ้น เนื่องจากการชำระหนี้ด้วยเงินนั้นไม่ใช่การชำระหนี้ โอน หรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ทั้งกฎหมายก็ได้บัญญัติไว้โดยแจ้งชัดแล้วโดยให้ถือว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดที่ถูกยกเลิกไปแล้ว บริษัท ก จำกัดลูกหนี้จึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 219 วรรคแรก บริษัท เอ จำกัด สามารถฟ้องบริษัท ก จำกัดให้รับผิดชำระหนี้ตามสัญญาได้
สรุป ข้อต่อสู้ของบริษัท ก จำกัด รับฟังไม่ได้
ข้อ 2 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2551 นายเอก ได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินจากนายโท 100,000 บาท โดยนายโทตกลงไม่คิดดอกเบี้ย กำหนดชำระเงินกู้คืนในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ต่อมาเมื่อถึงวันกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว นายเอกได้นำเงินไปชำระให้แก่นายโทที่บ้านของนายโท แต่นายโทคิดในใจว่า อยากจะได้ดอกเบี้ยจากนายเอกบ้าง
เพราะได้กำไรดีกว่าเมื่อเอาไปฝากไว้กับธนาคาร จึงไม่ยอมรับเงินไว้ แล้วอ้างว่าจะต้องรีบออกไปธุระต่างจังหวัด นายเอกจึงไม่ได้ชำระหนี้เงินกู้แก่นายโท ต่อมานายโทเห็นว่านายเอกหายหน้าไปตั้งแต่วันนั้น ดังนั้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 นายโทจึงรีบยื่นฟ้องคดีต่อศาลเรียกเงินกู้กับดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2551
ถึงวันฟ้องนายเอกให้การต่อสู้ว่านายโทเป็นฝ่ายผิดนัดและสัญญากู้ไม่ได้ตกลงให้คิดดอกเบี้ย นายโทจึงเรียกดอกเบี้ยจากตนไม่ได้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่านายเอกต้องชำระหนี้เงินกู้คืนนายโทพร้อมดอกเบี้ยตามที่ขอด้วยหรือไม่ เพียงใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 204 วรรคสอง ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว
มาตรา 207 ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด
มาตรา 221 หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่
มาตรา 224 วรรคแรก หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ หนี้เงินกู้ยืมระหว่างนายเอกและนายโทตกลงกันไม่มีการคิดดอกเบี้ย นายโทเจ้าหนี้จึงไม่อาจเรียกดอกเบี้ยในหนี้เงินโดยอาศัยสัญญากู้ยืมได้ และหนี้รายนี้เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินตามมาตรา 204 วรรคสอง นายเอกจึงต้องชำระหนี้ตามวันที่กำหนด คือ วันที่ 1 ตุลาคม 2551 แต่เนื่องจากเมื่อนายเอกนำเงินต้นไปชำระครบถ้วนตามกำหนดที่ภูมิลำเนาของนายโทเจ้าหนี้อันถือว่าลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว การที่นายโทเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้โดยอ้างว่าจะต้องรีบออกไปธุระต่างจังหวัดเพราะอยากได้ดอกเบี้ยจากนายเอกเนื่องจากเห็นว่าได้กำไรดีกว่าเอาไปฝากไว้กับธนาคาร ถือได้ว่าเป็นข้ออ้างที่ปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ นายโทเจ้าหนี้ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207
โดยที่หนี้ระหว่างนายเอกและนายโทเป็นหนี้เงิน ซึ่งตามปกติถ้าลูกหนี้ผิดนัด ลูกหนี้ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีตามมาตรา 224 วรรคแรก แต่กรณีนี้เมื่อถือว่านายโทเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดเสียเอง โดยลูกหนี้คือ นายเอกมิได้เป็นฝ่ายผิดนัด ผลจึงต้องบังคับตามมาตรา 221 คือ หนี้เงินอันจะต้องเสียดอกเบี้ยนั้น จะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดไม่ได้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่หนี้ถึงกำหนดชำระและนายโทเจ้าหนี้ผิดนัดจนถึงวันฟ้อง นายโทจะคิดดอกเบี้ยจากนายเอกไม่ได้ ทั้งจะเรียกดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่กู้คือวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ก็ไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้ตกลงกันคิดดอกเบี้ยกันมาตั้งแต่ต้น
สรุป นายเอกต้องชำระหนี้เงินต้นแก่นายโท แต่ไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตามที่นายโทเรียกร้อง
ข้อ 3 จันทร์เป็นเจ้าหนี้และอังคารเป็นลูกหนี้ในหนี้เงิน 100,000 บาท โดยมีพุธและพฤหัสเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าวนี้ ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ อังคาร (ลูกหนี้ ผิดนัด จันทร์จึงเรียกให้พุธผู้ค้ำประกันชำระหนี้ พุธนำเงิน 100,000 บาท ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ แต่ปรากฏว่าจันทร์บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้
พุธจึงนำเงิน 100,000 บาทนั้นไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่จันทร์ ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า พฤหัสยังต้องรับผิดต่อจันทร์ในหนี้รายดังกล่าวนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 207 ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด
มาตรา 292 วรรคแรก การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใดๆ อันพึงกระทำแทนชำระหนี้ วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย
มาตรา 331 ถ้าเจ้าหนี้บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ก็ดีหรือไม่สามารถจะรับชำระหนี้ได้ก็ดี หากบุคคลผู้ชำระหนี้วางทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว ก็ย่อมจะเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ได้ ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่บุคคลผู้ชำระหนี้ไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิ หรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ได้แน่นอนโดยมิใช่ความผิดของตน
มาตรา 682 วรรคสอง ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่พุธและพฤหัสเข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ 1 แสนบาท ที่มีอังคารเป็นลูกหนี้ ย่อมเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา 682 วรรคสอง ซึ่งตามมาตรา 296 ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง ในทางกลับกันลูกหนี้ร่วมกันแต่คนใดคนหนึ่งจะชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหนี้ก็ได้ (มาตรา 291)
เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ อังคาร (ลูกหนี้) ตกเป็นผู้ผิด จันทร์จึงเรียกให้พุธผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน (มาตรา 680 ประกอบมาตรา 686) การที่พุธชำระหนี้โดยนำเงิน 1 แสนบาท ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ แต่ปรากฏว่าจันทร์เจ้าหนี้บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ กรณีเช่นนี้ถือว่าจันทร์เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 พุธมีสิทธิวางทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ที่สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ได้ตามมาตรา 331 ซึ่งผลแห่งการนี้ทำให้พุธหลุดพ้นจากหนี้นั้นไป
เมื่อพุธและพฤหัสอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน การที่พุธลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งวางทรัพย์สินแทนชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย ดังนั้นกรณีนี้พฤหัสย่อมหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้นไปด้วย กล่าวคือ พฤหัสไม่ต้องรับผิดต่อจันทร์เจ้าหนี้ในหนี้รายดังกล่าวนี้ตามมาตรา 292 วรรคแรก
สรุป พฤหัสไม่ต้องรับผิดต่อจันทร์ในหนี้รายดังกล่าวนี้
ข้อ 4 หนึ่งเป็นเจ้าหนี้สอง 90,000 บาท ต่อมาหนึ่งได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้รายดังกล่าวนี้ให้แก่สามในวันที่ 10 มกราคม 2552 ปรากฏว่าในวันที่ 20 มกราคม 2552 สองได้เอาสร้อยคอทองคำตีใช้หนี้แทนเงิน 90,000 บาท ให้แก่หนึ่ง ซึ่งหนึ่งยอมรับเอาไว้ หลังจากนั้นในวันที่ 30 มกราคม 2552 สองได้รับหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวนั้นจากสาม ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า สามจะมีสิทธิเรียกให้สองชำระหนี้อีกหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 306 วรรคสอง ถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงิน หรือด้วยประการอื่นเสียแต่ก่อนได้รับบอกกล่าว หรือก่อนได้ตกลงให้โอนไซร้ ลูกหนี้นั้นก็เป็นอันหลุดพ้นจากหนี้
มาตรา 321 วรรคแรก ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป
วินิจฉัย
ตามมาตรา 306 วรรคสองดังกล่าวนั้น หมายความว่า ถ้าก่อนลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวหรือก่อนลูกหนี้ได้ตกลงด้วยในการโอนสิทธิเรียกร้อง ลูกหนี้ได้ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ผู้โอนไปแล้วหรือกระทำประการใดจนเป็นที่พอใจของเจ้าหนี้ เช่น นำทรัพย์สินไปตีใช้หนี้ให้เจ้าหนี้ หนี้เป็นอันระงับไปแล้ว ลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นความรับผิด ผู้รับโอนจะฟ้องเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้อีกไม่ได้ แต่ถ้าภายหลังได้รับคำบอกกล่าวการโอนหรือภายหลังที่ลูกหนี้ยินยอมด้วยแล้ว ถือว่าเจ้าหนี้ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้แล้ว ถ้าลูกหนี้ไปชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ หนี้ไม่ระงับผู้รับโอนเรียกให้ชำระหนี้ได้อีก
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า สามจะมีสิทธิเรียกให้สองชำระหนี้อีกหรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่สองลูกหนี้จะได้รับหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องตามมาตรา 306 วรรคแรก สองได้เอาสร้อยคอทองคำตีใช้หนี้แก่หนึ่งผู้โอนไปแล้ว กรณีเช่นนี้จึงเป็นการที่สองลูกหนี้ทำให้พอใจแก่หนึ่งผู้โอนด้วยการชำระหนี้ด้วยประการอื่นและเจ้าหนี้ยอมรับตามมาตรา 321 วรรคแรก หนี้จำนวนดังกล่าวจึงเป็นอันระงับไป สองลูกหนี้จึงเป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้ ดังนั้น สองลูกหนี้จึงไม่ต้องชำระหนี้ให้สามอีกตามมาตรา 306 วรรคสอง สามไม่มีสิทธิเรียกให้สองชำระหนี้อีก
สรุป สามไม่มีสิทธิเรียกให้สองชำระหนี้อีก