การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 ก กู้เงิน ข หนึ่งล้านบาท มีกำหนดเวลาสาปี ก ได้นำที่ดินของตนจำนองประกันหนี้ไว้และมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองมีข้อความระบุว่า หากบังคับจำนองได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระเท่าใด ลูกหนี้จะรับผิดชอบจนครบจำนวน ข้อเท็จจริงหลังจากกู้ไปได้หกเดือน ก ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย ข เห็นว่าหนี้ยังไม่ถึงกำหนด จึงไม่ได้เรียกมิได้บังคับชำระหนี้ เมื่อครบกำหนดตามสัญญา ข บังคับชำระหนี้เอากับ ค ทายาท ค ต่อสู้ว่าตนไม่ต้องชำระหนี้และคดีขาดอายุความ ข้อต่อสู้ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 193/27 ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนำ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง จำนำ หรือที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้
มาตรา 203 ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน
ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้
มาตรา 1754 วรรคสาม ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 193/27 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้หนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
วินิจฉัย
ตามมาตรา 1754 วรรคสาม ได้กำหนดให้เจ้าหนี้ของเจ้ามรดกต้องฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ของตนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เจ้าหนี้ได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก แม้สิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้นั้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระก็ตาม มิฉะนั้นจะขาดอายุความ
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก กู้เงิน ข โดยมีกำหนดเวลา 3 ปี หลังจากกู้ไปได้ 6 เดือน ก ลูกหนี้ได้ถึงแก่ความตาย ซึ่ง ข เจ้าหนี้ได้รู้ถึงความตายของ ก ลูกหนี้ ดังนี้ แม้ว่าหนี้เงินกู้ระหว่าง ก และ ข จะยังไม่ถึงกำหนดชำระ ซึ่งปกติแล้วเจ้าหนี้จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระไม่ได้ตามมาตรา 203 วรรคสอง แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ลูกหนี้ตายก่อนกำหนด ดังนั้นเจ้าหนี้จึงต้องฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เจ้าหนี้รู้ว่าลูกหนี้ตายตามมาตรา 1754 วรรคสาม เมื่อ ข เจ้าหนี้ไม่ได้บังคับให้ชำระหนี้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ ก ลูกหนี้ตาย หนี้เงินกู้ดังกล่าวจึงขาดอายุความ ข เจ้าหนี้จะบังคับชำระหนี้เอาจาก ค ทายาท ของลูกหนี้ไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 1754 วรรคสาม จะอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 193/27 ซึ่งได้บัญญัติให้ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนำ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงหรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง จำนำ หรือที่ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องในหนี้ส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม
และข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่ ก กู้เงิน ข นั้น ก ได้นำที่ดินของตนจำนองประกันหนี้ไว้ ดังนั้น แม้ว่าสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความแล้วตามมาตรา 1754 วรรคสาม แต่กฎหมายมาตรา 193/27 ก็ยังให้สิทธิแก่ ข ผู้รับจำนองยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ตนรับจำนองไว้ได้ แต่ไม่มีสิทธิที่จะไปบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอื่นของ ก
สรุป ข้อต่อสู้ของ ค ที่ว่าคดีขาดอายุความนั้นฟังขึ้น แต่ ข เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่รับจำนองไว้ได้ แม้หนี้ประธานจะขาดอายุความแล้ว
ข้อ 2 หลังจากหย่ากันแล้ว จตุพรผู้สามีก็จากไปปล่อยให้ภริยาเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์สามคนอยู่ฝ่ายเดียว จตุพรไม่เคยมาดูดำดูดีบุตรและภริยาเลย เมื่อภริยาขอให้ศาลบังคับเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากอดีตสามี จตุพรขอให้ศาลยกฟ้อง อ้างว่าการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิของบุตรที่จะเรียกไม่ใช่สิทธิของภริยา และผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ ข้ออ้างของจตุพรฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 226 วรรคแรก บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันเหตุแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง
มาตรา 229 การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ
(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้ มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น และเข้าใช้หนี้นั้น
มาตรา 291 ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง
มาตรา 296 ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนท่าๆกัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้ ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร ลูกหนี้คนอื่นๆ ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้ แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใด เจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป
มาตรา 1490 หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้
(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ
มาตรา 1562 ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้
มาตรา 1564 วรรคแรก บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์
มาตรา 1565 การร้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหรือขอให้บุตรได้รับการอุปการะเลี้ยงดูโดยประการอื่น นอกจากอัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวตามมาตรา 1562 แล้ว บิดาหรือมารดาจะนำคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้
วินิจฉัย
โดยหลัก กฎหมายให้สิทธิบุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้นและเข้าใช้หนี้นั้น สามารถเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ และใช้สิทธิที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง (มาตรา 226 ประกอบมาตรา 229(3))
กรณีตามอุทาหรณ์ จตุพรผู้เป็นสามีได้ทิ้งให้ภริยาของตนเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ 3 คนอยู่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งตามกฎหมายนั้นกำหนดให้บิดามารดามีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ และให้ถือว่าหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นหนี้ร่วมกันระหว่างบิดามารดาตามมาตรา 1490(1) ประกอบมาตรา 1564 วรรคแรก โดยถือว่า บิดามารดามีความผูกพันร่วมกันในการที่จะต้องชำระหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตร (ลูกหนี้ร่วม) กล่าวคือ เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิง หรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งหมดก็ยังคงต้องผูกพันจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง และในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันนั้น ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนๆเท่ากัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นตามมาตรา 229(3) ประกอบมาตรา 291 , 296
ตามข้อเท็จจริง เมื่อภริยาขอให้ศาลบังคับเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากอดีตสามีคือจตุพร แต่จตุพรขอให้ศาลยกฟ้อง โดยอ้างว่าการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิของบุตรที่จะเรียกไม่ใช่สิทธิของภริยาและผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ กรณีนี้ถึงแม้ตามกฎหมาย บุตรจะฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาไม่ได้เพราะถือว่าเป็นคดีอุทลุม (มาตรา 1562) ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าภริยาแต่ผู้เดียวได้ชำระหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่บุตรทั้งสามจึงเป็นกรณีที่ บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น(ลูกหนี้ร่วม) มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้นและเข้าใช้หนี้นั้น ดังนั้น ภริยาย่อมได้รับสิทธิของบุตรเจ้าหนี้โดยอำนาจของกฎหมายเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากจตุพรได้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 226, 229(3) , 291, 296 ประกอบมาตรา 1565 ข้ออ้างของจตุพรดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น
สรุป ข้ออ้างของจตุพรฟังไม่ขึ้น
ข้อ 3 จันทร์และอังคารเป็นลูกหนี้ร่วมตามสัญญากู้ยืมมีพุธเป็นเจ้าหนี้ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าจันทร์เข้าทำสัญญาเพราะถูกกลฉ้อฉลของพุธ อันเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 วรรคหนึ่ง ในกรณีดังกล่าวนี้อังคารจะอ้างเหตุที่จันทร์ถูกพุธใช้กลฉ้อฉลให้เข้าทำสัญญาบอกล้างสัญญาดังกล่าวนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 295 ข้อความจริงอื่นใด นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 นั้น เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง
วินิจฉัย
โดยหลัก การอันเป็นคุณหรือเป็นโทษของลูกหนี้ร่วมคนใด ย่อมถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมคนนั้น ไม่มีผลถึงลูกหนี้ร่วมคนอื่น เว้นแต่ที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 หรือปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง (มาตรา 295 วรรคแรก)
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์เข้าทำสัญญากู้ยืมเพราะถูกกลฉ้อฉลของพุธอันจะมีผลทำให้สัญญาเป็นโมฆียะนั้น ถือเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจันทร์ลูกหนี้ร่วมเพียงคนเดียว จึงมีผลแต่เฉพาะจันทร์ผู้เดียวเท่านั้นไม่มีผลถึงอังคารซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย ดังนั้น อังคารจะอ้างเหตุที่จันทร์ถูกพุธใช้กลฉ้อฉลให้เข้าทำสัญญากู้ยืมบอกล้างสัญญาดังกล่าวไม่ได้ตามมาตรา 295 วรรคแรก ให้ถือว่าการแสดงเจตนาเข้าทำสัญญากู้ยืมของอังคารมีผลสมบูรณ์
สรุป อังคารจะอ้างเหตุที่จันทร์ถูกพุธใช้กลฉ้อฉลให้เข้าทำสัญญากู้ยืมบอกล้างสัญญาดังกล่าวไม่ได้
ข้อ 4 ก กู้เงิน ข ไปสองแสนบาท แต่ไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้ ต่อมาปรากฏว่า ค ละเมิดโดยขับรถยนต์ชน ก เป็นเหตุให้ ก ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาหักทั้งสองข้าง ต้องรักษาตัวโดยผ่านการผ่าตัดหลายครั้งอยู่โรงพยาบาลและรักษาตัวต่อที่บ้านอีกหลายเดือน ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน ต้องขาดเรียนและเรียนซ้ำชั้น เป็นความทุกข์ทรมานทางกายและจิตใจ เป็นเหตุให้ ก มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่มิใช่เป็นตัวเงินในส่วนนี้จาก ค ผู้ละเมิดได้ประมาณสองแสนบาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 แต่ ก เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวนั้น ดังนี้ ข จะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของ ก ลูกหนี้ในกรณีดังกล่าวนี้ ได้อย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 233 ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้
วินิจฉัย
การที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามมาตรา 233 นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1 ลูกหนี้ขัดขืนเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง
2 ปรากฏว่าการขัดขืนหรือเพิกเฉยของลูกหนี้นั้นเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ และ
3 การที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ได้นั้นต้องปรากฏว่าไม่ใช่ข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก ลูกหนี้มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่มิใช่ตัวเงินจาก ค ผู้ทำละเมิด ได้ประมาณ 2 แสนบาท แต่ ก เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวนั้น ถือเป็นกรณีที่ลูกหนี้เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง และการเพิกเฉยของลูกหนี้นั้นเป็นเหตุให้เจ้าหนี้คือ ข ต้องเสียประโยชน์ เพราะตามข้อเท็จจริง ก ลูกหนี้ ไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้แต่อย่างใด ซึ่งโดยหลัก กฎหมายให้สิทธิเจ้าหนี้ในการควบคุมทรัพย์สินของลูกหนี้ได้
แต่อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ได้นั้น ต้องปรากฏว่าไม่ใช่ข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า สิทธิเรียกร้องดังกล่าวของ ก ถือเป็นข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้ ดังนั้น ข เจ้าหนี้จึงใช้สิทธิเรียกร้องของ ก ลูกหนี้ในการฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก ค แทนลูกหนี้ไม่ได้ เพราะกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติในมาตรา 233 ดังกล่าวข้างต้น
สรุป ข เจ้าหนี้จะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของ ก ลูกหนี้ในการฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก ค แทนลูกหนี้ในกรณีดังกล่าวไม่ได้