การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 นายเมฆซึ่งเป็นชาวไร่มันสำปะหลังได้กู้ยืมเงินจากนายหมอกเพื่อนสนิทของตน 100,000 บาท เพื่อใช้เป็นทุนในการเพาะปลูกมันสำปะหลังและได้ทำสัญญาเงินกู้ยืมไว้เป็นหลักฐาน แต่เนื่องจากในขณะทำสัญญานายเมฆยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถชำระหนี้แก่นายหมอกได้เมื่อใด คู่สัญญาจึงตกลงให้เว้นว่างในช่องกำหนดเวลาชำระหนี้เงินกู้คืนไว้ก่อน ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 2554
นายเมฆได้ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงนายหมอกแจ้งว่า จะชำระหนี้เงินกู้ให้นายหมอกเมื่อขายมันสำปะหลังได้มากพอ ขณะนี้กำลังรวบรวมเงินอยู่ นายหมอกได้รับทราบข้อความในจดหมายดังกล่าวแล้วแต่ไม่ได้ตอบกลับ ปรากฏว่าช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2554 เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วไปหมดทั้งจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของนายเมฆกับนายหมอก
ทรัพย์สินต่างๆและผลผลิตมันสำปะหลังของนายเมฆได้รับความเสียหายหมด จนกระทั่งวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 นายหมอกได้ให้ทนายความยื่นฟ้องเรียกเงินกู้จำนวนดังกล่าวคืนจากนายเมฆ พร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ทำสัญญากู้ยืมเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ นายเมฆได้ให้การต่อสู้ว่า หนี้เงินกู้รายนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระเพราะไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ก่อนฟ้อง
นายหมอกไม่เคยทวงถามก่อนจึงไม่มีอำนาจฟ้อง นอกจากนี้นายเมฆได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม ทรัพย์สินเสียหายและผลผลิตก็ถูกน้ำท่วมเสียหายหมดการชำระหนี้จึงตกเป็นพ้นวิสัย นายเมฆจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้แล้ว ในส่วนของดอกเบี้ยนั้นเมื่อไม่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา นายหมอกจึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง ถ้านักศึกษาเป็นผู้พิพากษา นักศึกษาจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 7 ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
มาตรา 203 วรรคแรก ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน
มาตรา 204 วรรคแรก ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้น เจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว
มาตรา 219 วรรคหนึ่ง ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น
มาตรา 224 วรรคแรก หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาจะวินิจฉัยคดีดังนี้ การที่นายเมฆทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายหมอก โดยมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้นั้นแม้ต่อมานายเมฆจะส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงนายหมอกว่าหากขายมันสำปะหลังได้มากพอจะชำระหนี้เงินกู้คืนให้นายหมอก ก็ถือไม่ได้ว่าคู่สัญญาได้ตกลงในเรื่องกำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอนกันอย่างไร ทั้งจะอนุมานจากพฤติการณ์ก็ไม่อาจทราบกำหนดเวลาชำระหนี้ได้ เพราะไม่อาจรู้ได้ว่านายเมฆจะขายผลผลิตและรวบรวมเงินได้พอแก่การชำระหนี้เมื่อใด ดังนั้นนายหมอกเจ้าหนี้จึงสามารถเรียกให้นายเมฆลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และให้ถือว่าหนี้รายนี้ถึงกำหนดชำระแล้วตามมาตรา 203 วรรคแรก (ฎ. 248/2509) กล่าวคือ นายหมอกมีอำนาจฟ้องให้นายเมฆชำระหนี้ได้โดยไม่จำต้องทวงถามก่อน
ส่วนกรณีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่จนทรัพย์สินและผลผลิตของนายเมฆเสียหายหมดนั้น แม้จะทำให้นายเมฆไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ในเวลานี้ แต่ก็เป็นเหตุที่ยังไม่อาจถือได้ว่าทำให้การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยตามมาตรา 219 นายเมฆจึงยังไม่หลุดพ้นจากการชำระหนี้
สำหรับกรณีดอกเบี้ยนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าในสัญญากู้ยืมได้กล่าวถึงหรือแสดงให้เห็นว่าคู่สัญญามีเจตนาจะให้ดอกเบี้ยแก่กัน นายหมอกผู้ให้กู้จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากนายเมฆตั้งแต่วันทำสัญญากู้ กรณีไม่ต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 7
แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายหมอกให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลเรียกให้นายเมฆชำระหนี้เงินกู้รายนี้ ย่อมถือได้ว่า การฟ้องคดีเป็นการทวงถามให้ชำระหนี้แล้ว เมื่อนายเมฆไม่ยอมชำระหนี้ จึงถือว่านายเมฆผิดนัดชำระหนี้ตามมาตรา 204 วรรคแรก ดังนั้น นายหมอกจึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่นายเมฆผิดนัดคือนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่านายเมฆจะชำระหนี้เสร็จตามมาตรา 224 วรรคแรก
สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษา ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยคดีนี้ดังที่ได้กล่าวข้างต้น
ข้อ 2 นายเอกเป็นผู้ให้เช่าห้องพักรายเดือน นายโทได้ทำสัญญาเช่าห้องพักดังกล่าวเป็นเวลา 12 เดือน ค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท ตกลงกันด้วยว่า นายโทจะต้องโอนเงินผ่านระบบธนาคารเข้าบัญชีของนายเอกในวันที่ 5 ของเดือนถัดไป เมื่อเข้าพักในห้องเช่าแล้ว
นายโทคิดต้องการจะประหยัดค่าธรรมเนียมธนาคารในการที่ต้องโอนเงินค่าเช่าทุกเดือน จึงรอจนเวลาผ่านไป 3 เดือน จึงไปโอนเงินค่าเช่า 6,000 บาทเข้าบัญชีให้เอก และเมื่อผ่านไปอีก 3 เดือนก็ทำเช่นเดิมอีก นายเอกได้มาปรึกษานักศึกษาซึ่งเป็นทนายความว่าจะถือว่านายโทผิดสัญญาเช่าและเลิกสัญญาได้หรือไม่ นักศึกษาจะให้คำปรึกษาแนะนำนายเอกในเรื่องนี้อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 204 วรรคสอง ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว
มาตรา 208 วรรคแรก การชำระหนี้จะให้สำเร็จผลเป็นอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง
มาตรา 215 เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้ของมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแนะนำแก่นายเอกดังนี้ การที่นายโทได้ทำสัญญาเช่าห้องพักจากนายเอกเป็นเวลา 12 เดือน โดยตกลงโอนเงินค่าเช่าห้องพักเป็นรายเดือนผ่านระบบธนาคารเข้าบัญชีของนายเอกภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไปนั้น ย่อมถือว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินตามมาตรา 204 วรรคสอง นายโทจึงต้องชำระหนี้ตามวันที่กำหนด คือ ทุกวันที่ 5 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญาเช่า
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายโทรอจนเวลาผ่านไป 3 เดือน จึงรวมเงินค่าเช่าไปโอนเข้าบัญชีให้นายเอกครั้งหนึ่ง และเมื่อผ่านไปอีก 3 เดือน ก็ทำเช่นเดิมอีก ดังนี้ ย่อมถือว่านายโทผิดสัญญาเช่าและผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่เดือนแรกแล้ว เพราะไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ตามมาตรา 204 วรรคสอง
และการที่นายโทรวมค่าเช่าหลายเดือนจึงไปโอนเงินครั้งหนึ่งนั้น ยังถือเป็นการชำระหนี้ที่ไม่ถูกต้องตามความประสงค์แท้จริงแห่งมูลหนี้ (มาตรา 215) เพราะการชำระหนี้ของผู้เช่าจะสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้เช่าก็ด้วยการชำระค่าเช่าตามกำหนดเป็นรายเดือนทุกเดือน ผู้เช่าจึงต้องชำระหนี้ต่อผู้ให้เช่าให้เป็นไปตามนั้นโดยตรงตามมาตรา 208 วรรคแรก ดังนั้น นายเอกจึงมีสิทธิเลิกสัญญาเช่าได้
สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแนะนำนายเอกดังที่ได้กล่าวข้างต้น
ข้อ 3 หนึ่งเป็นเจ้าหนี้ โดยมีสองเป็นลูกหนี้ ในหนี้เงินกู้ยืมห้าแสนบาท เพื่อมิให้หนึ่งได้รับการชำระหนี้ สองจึงได้โอนขายบ้านพร้อมที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ให้แก่สามในราคาห้าแสนบาท สามรับซื้อไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นการโอนขายเพื่อหนีหนี้อันเป็นทางให้หนึ่งเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ ต่อมาในวันที่ 10 มกราคม 2555 สามได้โอนขายบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวนี้ให้แก่สี่อีกทอดหนึ่งในราคาห้าแสนบาท
หลังจากสี่รับโอนไว้เรียบร้อยแล้วในวันที่ 20 มกราคม 2555 สี่จึงได้ทราบความจริงว่าสองต้องการฉ้อฉลเจ้าหนี้ ปรากฏว่าในวันที่ 30 มกราคม 2555 หนึ่งได้เป็นโจทย์ฟ้อง ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายบ้านพร้อมที่ดินระหว่างสองกับสาม และระหว่างสามกับสี่ด้วย ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า ศาลจะเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายระหว่างสามกับสี่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 237 เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้
มาตรา 238 การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้น ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอก อันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน
อนึ่งความที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าสิทธินั้นได้มาโดยเสน่หา
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สองลูกหนี้ได้โอนขายบ้านพร้อมที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ให้แก่สามนั้น ถือเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ จึงเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้ และเมื่อสามผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นรู้อยู่ว่าเป็นการโอนขายเพื่อหนีหนี้ โดยหลักแล้ว หนึ่งเจ้าหนี้ย่อมสามารถฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายบ้านพร้อมที่ดินระหว่างสองกับสามได้ ตามมาตรา 237 วรรคแรก
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อต่อมาปรากฏว่าสามได้โอนขายบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวให้แก่สี่อีกทอดหนึ่ง โดยสี่ได้รับการโอนขายบ้านพร้อมที่ดินมาโดยเสียค่าตอบแทน และได้รับโอนมาโดยสุจริต กล่าวคือ ในขณะที่สี่รับโอนมานั้นสี่ไม่รู้ว่ามีการฉ้อฉลเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งสี่ได้รับการโอนขายมาก่อนที่หนึ่งผู้เป็นเจ้าหนี้จะยื่นฟ้องคดีขอเพิกถอน ดังนั้น สี่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 238 ศาลจึงเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายระหว่างสามกับสี่ไม่ได้
สรุป ศาลจะเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายระหว่างสามกับสี่ไม่ได้
ข้อ 4 จันทร์และอังคารเป็นลูกหนี้ร่วม กู้เงินของพุธไปสองแสนบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระหนี้วันที่ 15 มกราคม 2555 ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ จันทร์แต่ผู้เดียวนำเงินสองแสนบาทพร้อมดอกเบี้ยไปขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อพุธโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่พุธปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้โดยไม่มีเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นับแต่วันที่พุธปฏิเสธไม่รับชำระหนี้จากจันทร์ พุธจะเรียกดอกเบี้ยจากอังคารต่อไปได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 207 ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด
มาตรา 221 หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่
มาตรา 294 การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์นำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยไปขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อพุธโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่พุธปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้โดยไม่มีเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ย่อมถือว่าพุธเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดต่อจันทร์ตามมาตรา 207 และมีผลทำให้พุธไม่สามารถคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากจันทร์ได้ในระหว่างที่ตนผิดนัด คือนับแต่วันที่ 15 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ตามมาตรา 221
และเมื่อจันทร์เป็นลูกหนี้ร่วมกับอังคาร ซึ่งตามมาตรา 294 ได้กำหนดไว้ว่า หากเจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย ดังนั้น อังคารจึงได้ประโยชน์จากการผิดนัดของพุธเจ้าหนี้ด้วย พุธจึงเรียกดอกเบี้ยจากอังคารในระหว่างที่ตนผิดนัดไม่ได้เช่นกัน
สรุป นับแต่วันที่พุธปฏิเสธไม่รับชำระหนี้จากจันทร์ พุธจะเรียกดอกเบี้ยจากอังคารต่อไปไม่ได้