การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4008 กฎหมายที่ดิน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นายสง่าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงหนึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2496 โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิ ใน พ.ศ. 2528 นายสง่าได้ยกที่ดินแปลงนั้นตีใช้หนี้ให้แก่นายบุญชูโดยมอบที่ดินให้นายบุญชูครอบครอง นายบุญชูได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา ขณะนี้นายบุญชูมีความจำเป็นจึงไปขอออกโฉนดที่ดิน ดังนี้ อยากทราบว่านายบุญชูจะนำที่ดินแปลงนั้นไปขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 27 ตรี เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศกำหนดท้องที่และวันเริ่มต้นของการสำรวจตามมาตรา 58 วรรคสอง ผู้ครองครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน และมิได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 หรือผู้ซึ่งรอคำสั่งผ่อนผันจากผู้ว่าราชการจังหวัดตามมาตรา 27 ทวิ แต่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินนั้นติดต่อมาจนถึงวันทำการสำรวจรังวัดหรือพิสูจน์สอบสวน ถ้าประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินนั้น ให้แจ้งการครอบครองที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ณ ที่ดินนั้นตั้งอยู่ภายในกำหนดเวลาสามสิบวันนับแต่วันปิดประกาศ ถ้ามิได้แจ้งการครอบครองภายในกำหนดเวลาดังกล่าว แต่ได้นำมาหรือส่งตัวแทนมานำพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสำรวจรังวัดตามวันและเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศกำหนด ให้ถือว่ายังประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินนั้น
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากบุคคลดังกล่าวด้วย
มาตรา 59 ทวิ ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิ์ที่ดินและมิได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 แต่ไม่รวมถึงผู้ซึ่งมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 ตรี ถ้ามีความจำเป็นจะขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควรให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วแต่กรณี ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด แต่ต้องไม่เกินห้าสิบไร่ ถ้าเกินห้าสิบไร่จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งนี้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากบุคคลดังกล่าวด้วย
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 ทวิ ได้กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับผู้ที่จะขอออกโฉนดที่ดินแบบเฉพาะรายไว้ดังนี้
1) จะต้องเป็นผู้ครอบครองก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และมิได้แจ้งการครอบครองตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ ฯ มาตรา 5 และรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องจากบุคคลดังกล่าวด้วย
2) ต้องไม่ใช่ผู้ซึ่งไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 ตรี กล่าวคือ ผู้ซึ่งมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 ตรี จะขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะราย ตามมาตรา 59 ทวิ ไม่ได้
3) มีความจำเป็นต้องขอออกโฉนดที่ดิน และพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นสมควร และต้องมีเนื้อที่ไม่เกิน 50 ไร่ ถ้าเกิน 50 ไร่ จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด
นายบุญชูจะนำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ เห็นว่า นายสง่าได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงหนึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2496 โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิ กรณีเช่นนี้ ถือว่านายสง่าเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ (ก่อนวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2497) โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิ์ในที่ดิน และไม่ได้แจ้งการครอบครองตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 5 (ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายสง่าได้มีการแจ้งการครอบครอง)
ต่อมาได้ความว่า ในปี พ.ศ. 2528 นายสง่าได้ยกที่ดินแปลงนั้นตีใช้หนี้ให้นายบุญชู และนายบุญชูได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา กรณีจึงถือว่านายบุญชูเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ต่อเนื่องมาจากนายสง่า ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 วรรคสอง
และข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าในท้องที่ดังกล่าว เคยมีประกาศตามมาตรา 58 มาก่อนแต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุที่ผู้ครอบครองที่ดินจะต้องปฏิบัติ ตามมาตรา 27 ตรี นายบุญชูจึงไม่ใช่ผู้ซึ่งมิได้ปฏิบัติ ตามมาตรา 27 ตรี
ฉะนั้นแล้ว ในขณะนี้นายบุญชูมีความจำเป็นที่จะไปขอออกโฉนด นายบุญชูก็สามารถนำที่ดินแปลงนั้นไปขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะรายได้ ตามมาตรา 59 ทวิ วรรคแรก เพราะนายบุญชูเป็นบุคคลตามมาตรา 59 ทวิ วรรคสอง แต่ทั้งนี้เนื้อที่ต้องไม่เกิน 50 ไร่ ถ้าเกิน 50 ไร่ จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด
สรุป นายบุญชูขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะรายได้
ข้อ 2 นายเอกได้รับอนุญาตให้จับจองที่ดินโดยรัฐจัดที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยให้แก่ประชาชนและรัฐช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภคและอื่นๆด้วย ทางราชการออกใบจองให้ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2543 ใน พ.ศ. 2547 ได้มีประกาศของทางราชการเพื่อเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินในท้องที่นั้น นายเอกไม่ได้นำพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสำรวจรังวัดที่ดินจึงไม่ได้รับโฉนดที่ดิน ใน พ.ศ. 2550 นายเอกได้ขายที่ดินให้แก่นายโทและนายโทเข้าครอบครองและทำประโยชน์ต่อมา ขณะนี้นายโททำประโยชน์แล้วเสร็จเต็มเนื้อที่แล้วจึงได้ไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน ดังนี้ อยากทราบว่านายโทจะขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 59 ในกรณีที่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายไม่ว่าจะได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา 58 แล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควร ให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วแต่กรณี ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากผู้ซึ่งมีหลักฐานการแจ้งการครอบครองด้วย
มาตรา 59 ทวิ ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิ์ที่ดินและมิได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 แต่ไม่รวมถึงผู้ซึ่งมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 ตรี ถ้ามีความจำเป็นจะขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควรให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วแต่กรณี ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด แต่ต้องไม่เกินห้าสิบไร่ ถ้าเกินห้าสิบไร่จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งนี้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากบุคคลดังกล่าวด้วย
พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคสอง ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้จับจองแต่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ผู้ได้รับอนุญาตจะโอนไปไม่ได้เว้นแต่จะตกทอดโดยทางมรดก
วินิจฉัย
นายโทจะขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ เห็นว่า นายเอกได้รับอนุญาตให้จับจองที่ดินโดยรัฐจัดที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยให้ ซึ่งทางราชการออกใบจองให้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2543 กรณีถือว่านายเอกเป็นผู้ครอบครองที่ดินที่มีใบจอง ซึ่งที่ดินที่มีใบจองเป็นที่ดินที่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว นายเอกจึงโอนให้ใครไม่ได้ เว้นแต่จะตกทอดโดยมรดกตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 8 วรรคสอง
ต่อมาได้ความว่า ในปี พ.ศ. 2550 นายเอกได้ขายที่ดินให้แก่นายโท ซึ่งการขายที่ดินดังกล่าวไม่ใช่เป็นการตกทอดโดยทางมรดก ดังนั้น การโอนดังกล่าวจึงฝ่าฝืน พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 8 วรรคสอง ในกรณีนี้แม้นายโทจะเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องตลอดมา ก็ไม่ทำให้นายโทเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน แต่อย่างไรก็ตามการที่นายเอกส่งมอบการครอบครองให้แก่นายโท ย่อมมีผลทำให้นายโทเป็นผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ เมื่อในขณะนี้นายโทประสงค์จะขอออกโฉนดที่ดิน แต่ไม่ปรากฏว่ามีประกาศของทางราชการเพื่อจะออกโฉนด (แบบทั้งตำบล) ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 จึงต้องพิจารณาการออกโฉนดที่ดินแบบเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 และมาตรา 59 ทวิ
สำหรับการออกโฉนดแบบเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 ผู้ที่จะขอออกโฉนดที่ดินได้ จะต้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน กล่าวคือ เป็นเจ้าของที่ดินที่มีหนังสือแสดงสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อนายโทเป็นเพียงผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน เนื่องจากการโอนดังกล่าวฝ่าฝืน พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 8 วรรคสอง นายโทจึงขอออกโฉนดที่ดินแบบเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 วรรคแรกไม่ได้ อีกทั้ง ในกรณีดังกล่าวนี้ นายโทก็จะอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองต่อเนื่อง ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 วรรคสอง ไม่ได้เช่นกัน เพราะนายโทมิใช่ผู้ครอบครองต่อเนื่องจากผู้ซึ่งมีหลักฐานการแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1)
ส่วนผู้ที่จะขอออกโฉนดที่ดินแบบเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 ทวิได้นั้น กฎหมายกำหนดว่า จะต้องเป็นผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน และมิได้แจ้งการครอบครองตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 5 เท่านั้น เมื่อได้ความว่า นายโทเป็นผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ (ภายหลังวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2497) จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ดังกล่าว ดังนั้น นายโทจึงไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 ทวิ ได้เช่นกัน
สรุป นายโทเป็นผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จึงขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 และมาตรา 59 ทวิ ไม่ได้เลย
ข้อ 3 นายอาทิตย์ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากนางเดือนโดยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อกันที่บ้านของนางเดือน นายอาทิตย์ได้เข้าไปปลูกบ้านในที่ดินนั้นและได้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วนแล้ว แต่นางเดือนไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้ นายอาทิตย์ได้ปรึกษาทนายความว่าจะฟ้องนางเดือนโอนที่ดินให้ แต่ก่อนฟ้องนายอาทิตย์ได้ไปขออายัดที่ดินไว้เพราะกลัวว่านางเดือนจะขายที่ดินให้แก่บุคคลอื่นเสียก่อน ดังนี้ อยากทราบว่านายอาทิตย์จะขออายัดที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 83 ผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินใดอันอาจจะฟ้องบังคับให้มีการจดทะเบียน หรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ มีความประสงค์จะขออายัดที่ดิน ให้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 71
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนเอกสารหลักฐานที่ผู้ขอได้นำมาแสดงแล้ว ถ้าเห็นสมควรเชื่อถือก็ให้รับอายัดไว้มีกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่สั่งรับอายัด เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าการอายัดสิ้นสุดลง และผู้นั้นจะขออายัดซ้ำในกรณีเดียวกันอีกไม่ได้
ถ้าผู้มีส่วนได้เสียคัดค้านว่า การอายัดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสอบสวนพยานหลักฐานเท่าที่จำเป็น เมื่อเป็นที่เชื่อได้ว่าได้รับอายัดไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ยกเลิกการอายัดนั้น และแจ้งให้ผู้ขออายัดทราบ
วินิจฉัย
การอายัด หมายถึง การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินไว้เป็นการชั่วคราวเพื่อไปดำเนินการทางศาล ดังนั้น ถ้าที่ดินแปลงใดถูกอายัดจะมีการจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะเป็นการจดทะเบียนที่เป็นการปลดเปลื้องภาระผูกพัน เช่น ที่ดินถูกอายัด แต่จะมีการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง ไถ่ถอนขายฝาก กรณีเช่นนี้ ยอมให้จดทะเบียนได้ เพราะเป็นการทำให้ที่ดินปลอดจากภาระผูกพัน
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 83 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการอายัดไว้ดังนี้
1 ผู้ขออายัดจะต้องมีส่วนได้เสียในที่ดินโดยตรงอันอาจฟ้องบังคับให้มีการจดทะเบียนหรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินได้
2 พนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งรับอายัดไว้ได้มีกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่สั่งรับอายัด
3 เมื่อครบกำหนด 30 วันแล้วผู้ขออายัดยังไม่ได้ฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งอายัดที่ดินให้ถือว่าการอายัดสิ้นสุดลง ผู้นั้นจะขออายัดซ้ำในกรณีเดียวกันอีกไม่ได้
นายอาทิตย์จะขออายัดที่ดินได้หรือไม่ เห็นว่า นายอาทิตย์ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากนางเดือนและได้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว แต่นางเดือนไม่ยอมจดทะเบียนโอนให้ ในกรณีดังกล่าวนี้ โดยหลักแล้วนายอาทิตย์สามารถฟ้องบังคับให้นางเดือนไปจดทะเบียนโอนที่ดินที่เช่าซื้อให้แก่ตนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ดังนั้น จึงถือว่านายอาทิตย์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินอันอาจจะฟ้องบังคับให้มีการจดทะเบียนหรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 83 นายอาทิตย์จึงขออายัดที่ดินได้
สรุป นายอาทิตย์ขออายัดที่ดินได้
ข้อ 4 นางพลอยเป็นผู้จัดการมรดกของนายสำรวยโดยพินัยกรรม ขณะนี้นางพลอยต้องการจะจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกในที่ดินซึ่งเป็นมรดก ดังนี้ ให้ท่านแนะนำขั้นตอนการจดทะเบียนในกรณีดังกล่าว
ธงคำตอบ
อธิบาย
โดยหลักแล้ว การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกอาจมีได้หลายกรณี กล่าวคือ ผู้จัดการมรดกโดยคำสั่งศาล ผู้จัดการมรดกโดยพินัยกรรม และผู้จัดการมรดกโดยมติของทายาท
สำหรับกรณีนางพลอยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกโดยพินัยกรรมประสงค์จะจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกลงในโฉนดที่ดินซึ่งเป็นมรดก นางพลอยจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนการจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 82 ดังนี้
1 นางพลอยผู้จัดการมรดกต้องยื่นคำขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 71 พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานต่อไปนี้
1.1) หนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน เช่น โฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์
1.2) หลักฐานการตายของเจ้ามรดก (นายสำรวย) เช่น ใบมรณะบัตร
1.3) หลักฐานการเป็นผู้จัดการมรดก คือ พินัยกรรม
1.4) บัญชีเครือญาติ
2 พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน และในกรณีนี้นางพลอยถือเป็นผู้จัดการมรดกโดยทางอื่นนอกจากคำสั่งศาล คือ เป็นผู้จัดการมรดกโดยพินัยกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องประกาศเป็นหนังสือมีกำหนด 30 วัน (มาตรา 81 วรรคสอง ประกอบมาตรา 82 วรรคแรก)
3 เมื่อประกาศตาม ข้อ 2 แล้ว ถ้าไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนตามคำขอให้ได้เลย แต่ถ้ามีผู้โต้แย้งคัดค้านให้พนักงานเจ้าหน้าที่รอเรื่องไว้ และให้คู่กรณีไปดำเนินการทางศาล หลังจากนั้นถ้าศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุดประการใด ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการไปตามนั้น