การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2546
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 เฮืองเหงียนถิเกิดที่จังหวัดนครพนม เมื่อปี พ.ศ.2493 จากบิดาญวนอพยพ เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและมารดาผู้มีสัญชาติไทย เฮืองอยู่กินกับนายแดงคนไทยโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสเกิดบุตรในประเทศไทย 2 คน เมื่อปี พ.ศ.2518 และ 2520 ตามลำดับ บุตร 2 คนได้สัญชาติไทยหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด
(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย
พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7 บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด
(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย
มาตรา 10 บทบัญญัติมาตรา 7(1) แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย
ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337
ข้อ 1 ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น
(3) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเพียงชั่วคราว
ข้อ 2 บุคคลตามข้อ 1 ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว ไม่ได้สัญชาติไทย เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น
วินิจฉัย
บุตรทั้ง 2 คนได้สัญชาติไทยหรือไม่ เห็นว่า เฮืองเหงียนถิเกิดที่จังหวัดนครพนม เมื่อปี พ.ศ.2493 จากบิดาญวนอพยพและมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย กรณีถือว่าเฮอืงเหงียนถิเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ย่อมได้รับสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7(3)
ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2515 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 มีผลใช้บังคับเฮืองเหงียนถิจึงถูกถอนสัญชาติไทย เพราะเป็นบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว และในขณะเกิดนั้น บิดาเป็นผู้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1(3) เฮืองเหงียนถิจึงมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
การที่เฮืองเหงียนถิอยู่กินกับนายแดง คนไทยโดยไม่จดทะเบียนสมรสและเกิดบุตรในประเทศไทย 2 คน เมื่อปี พ.ศ.2518 และ พ.ศ. 2520 ตามลำดับ กรณีถือว่าบุตรทั้ง 2 คน เกิดในขณะที่ประกาศคณะปฏิวัติมีผลใช้บังคับ จึงไม่ได้รับสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3) เพราะเข้าข้อยกเว้นตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 2 และข้อ 1(3) กล่าวคือ เป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยมารดาเป็นคนต่างด้าวแต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะที่เกิด มารดาเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
อย่างไรก็ตามเมื่อ พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มีผลใช้บังคับ (มีผลใช้บังคับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535) เฮืองเหงียนถิกลับได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7(1) ที่กำหนดให้บุคคลผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ทั้งนี้โดยผลของมาตรา 10 ข้อง พ.ร.บ. ดังกล่าว ก็ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา 7(1) มาใช้บังคับย้อนหลังกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 อันเป็นวันที่ พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ใช้บังคับด้วย ดังนั้น เมื่องเฮืองเหงียนถิกลับได้สัญชาติไทยย่อมทำให้บุตรทั้ง 2 คนกลับได้สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 โดยผลของมาตรา 10 ดังกล่าวด้วย เพราะมารดา คือเฮืองเหงียนถิเป็นผู้มีสัญชาติไทย ทั้งนี้ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่เกิด
สรุป บุตรทั้ง 2 คนได้สัญชาติไทย ตามหลักสายโลหิตตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7(1) โดยผลของมาตรา 10 เพราะเกิดโดยมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย
ข้อ 2 นายไตรรงค์คนสัญชาติไทยทำสัญญาซื้อกำไลข้อมือทองคำจากนายซิงส์คนสัญชาติอินเดียและขณะทำสัญญากำไลข้อมือนั้นก็อยู่ที่อินเดีย นายไตรรงค์และนายซิงส์ตกลงกันว่าหากกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญานี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย กฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายของอินเดียกำหนดว่าแบบของสัญญาให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่สัญญานั้นทำขึ้น และกฎหมายภายในของอินเดียกำหนดว่าการซื้อขายเครื่องประดับด้วยทองคำแท้หรือเพชรต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นเป็นโมฆะ ปรากฏว่าการซื้อขายรายนี้ทำเป็นหนังสือ แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมานายไตรรงค์ผิดสัญญาไม่ยอมชำระราคาและรับมอบกำไลข้อมือนั้น นายซิงส์จึงฟ้องนายไตรรงค์ต่อศาลไทยเรียกค่าเสียหายเพราะผิดสัญญา นายไตรรงค์ต่อสู้ว่าสัญญาเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตนจึงไม่ผูกพันหรือต้องรับผิดตามสัญญา ให้ท่านวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายรายนี้เป็นโมฆะหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 9 วรรคแรก นอกจากจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นใดแห่งประเทศสยาม ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรมย่อมเป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้นได้ทำขึ้น
มาตรา 13 วรรคแรกและวรรคท้าย ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้ ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น
สัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะ ถ้าได้ทำถูกต้องตามแบบอันกำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผลแห่งสัญญานั้น
วินิจฉัย
นายไตรรงค์คนสัญชาติไทยทำสัญญาซื้อกำไลข้อมือทองคำแท้จากนายซิงส์ คนสัญชาติอินเดีย และขณะทำสัญญา นายไตรรงค์และนายซิงส์ตกลงกันว่าหากกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญานี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย กรณีเช่นนี้แม้ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 9 วรรคแรก จะกำหนดให้ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรมให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้นได้ทำขึ้นก็ตาม แต่อย่างไรก็ดี ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 13 วรรคท้าย กำหนดว่าสัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะ หากได้ทำถูกต้องตามแบบอันกำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผลของสัญญา ในกรณีนี้กฎหมายที่ใช้บังคับแก่ผลของสัญญาจึงได้แก่ กฎหมายไทยตามเจตนาของคู่กรณีตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 13 วรรคแรก
สำหรับกรณีนี้แม้การซื้อขายกำไลข้อมือดังกล่าวจะได้ทำเป็นหนังสือแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่โดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย มิได้มีบทมาตราใดบังคับว่าการซื้อขายเครื่องประดับด้วยทองคำแท้หรือเพชร ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่ตกลงด้วยวาจาก็มีผลใช้บังคับได้แล้ว
ดังนั้น สัญญาซื้อขายระหว่างนายไตรรงค์และนายซิงส์จึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่ตกเป็นโมฆะ การที่นายซิงส์ได้มาฟ้องนายไตรรงค์ต่อศาลไทยเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุผิดสัญญา นายไตรรงค์สู้ว่าสัญญาเป็นโมฆะ ข้อต่อสู้ของนายไตรรงค์จึงฟังไม่ขึ้น นายไตรรงค์ต้องรับผิดตามสัญญา
สรุป สัญญาซื้อขายกำไลข้อมือทองคำแท้รายนี้สมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่เป็นโมฆะ
ข้อ 3 เครื่องบินสายการบิน AAA เป็นเครื่องบินจดทะเบียนประเทศออสเตรเลีย ขณะที่เครื่องกำลังบินอยู่เหนือทะเลหลวงเพื่อไปยังประเทศฝรั่งเศส นายอเล็กซานเดอร์คนสัญชาติกรีซได้ขู่ว่ามีระเบิดพลาสติกติดตัวขึ้นมาบนเครื่องและจะทำการระเบิดเครื่องบินหากนักบินไม่นำเครื่องไปลงจอดที่ประเทศกรีซเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารนักบินจึงทำตามที่นายอเล็กซานเดอร์ขู่ แต่เมื่อเครื่องแล่นลงที่ประเทศกรีซ นายอเล็กซานเดอร์ก็ถูกตำรวจจับกุมไว้ได้ทันที กรณีนี้ถือว่านายอเล็กซานเดอร์กระทำความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่ จงอธิบาย และตามอนุสัญญากรุงโตเกียวว่าด้วยการกระทำผิดบนอากาศยาน ค.ศ.1963 หากประเทศกรีซปฏิเสธที่จะยอมรับดำเนินคดีกับนายอเล็กซานเดอร์ ประเทศกรีซสามารถส่งตัวนายอเล็กซานเดอร์ข้ามแดนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
วินิจฉัย
อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 มาตรา 1 ได้บัญญัติถึงลักษณะของการจี้เครื่องบินอันเป็นการกระทำความผิดฐานสลัดอากาศว่า เป็นการกระทำโดย
(1) บุคคลที่อยู่ในเครื่องบินนั้น
(2) การกระทำนั้นเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งได้กระทำต่อเครื่องบินลำนั้นเอง
(3) การกระทำนั้นเกิดในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว การกระทำของนายอเล็กซานเดอร์เป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานสลัดอากาศ ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ.1970 เนื่องจากเป็นการกระทำของบุคคลที่อยู่ในเครื่องบินลำนั้น ซึ่งการที่นายอเล็กซานเดอร์ขู่ว่าจะระเบิดเครื่องบินก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งได้กระทำต่อเครื่องบินลำนั้น และการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่
ส่วนในกรณีเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ตามอนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน ค.ศ. 1963 นั้น มีบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเอาไว้ในมาตรา 14 ซึ่งโดยผลแห่งมาตรานี้ จึงอาจมีการส่งผู้ก่อการร้ายฐานจี้เครื่องบินให้รัฐอื่นได้ ในกรณีที่ปรากฏว่าบุคคลที่กระทำการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ไม่ประสงค์ที่จะเดินทางต่อไปหรือไม่สามารถที่จะเดินทางต่อไปได้อีก และรัฐซึ่งเครื่องบินนั้นแล่นลง ปฏิเสธที่จะยอมรับบุคคลที่ก่อการร้ายนั้น รัฐนั้นๆก็สามารถที่จะส่งตัวผู้กระทำความผิดนั้นคืนไปยังรัฐที่ผู้กระทำความผิดนั้นมีสัญชาติ หรือรัฐซึ่งผู้กระทำความผิดมีถิ่นที่อยู่ประจำ หรืออาจส่งไปยังรัฐซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเดินทางทางอากาศของผู้กระทำผิดนั้น แต่ทั้งนี้บุคคลผู้กระทำความผิดที่อาจส่งตัวข้ามแดนนี้จะต้องไม่ใช่บุคคลในสัญชาติหรือบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่เป็นประจำในรัฐที่เครื่องบินนั้นแล่นลง
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว ปัญหามีว่า ประเทศกรีซซึ่งเป็นประเทศที่เครื่องบินนั้นแล่นลงจะปฏิเสธที่จะยอมรับดำเนินคดีกับนายอเล็กซานเดอร์ได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาตามอนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน ค.ศ. 1963 มาตรา 14 ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ประเทศกรีซย่อมไม่สามารถปฏิเสธที่จะดำเนินคดีกับนายอเล็กซานเดอร์และส่งข้ามแดนได้ เนื่องจากนายอเล็กซานเดอร์ได้ทำการจี้เครื่องบินมาลงที่ประเทศกรีซซึ่งเป็นประเทศที่ตนมีสัญชาติอยู่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นายอเล็กซานเดอร์เป็นบุคคลในสัญชาติของรัฐที่เครื่องบินนั้นแล่นลงนั้นเอง
สรุป การกระทำของนายอเล็กซานเดอร์เป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานสลัดอากาศ ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 และประเทศกรีซไม่สามารถปฏิเสธที่จะดำเนินคดีกับนายอเล็กซานเดอร์ได้
ข้อ 4 นายทักทายเป็นคนสัญชาติไทย แต่ไปพักอาศัยและทำธุรกิจอยู่ที่ประเทศลาว ต่อมาได้ร่วมมือกับกลุ่มเพื่อนทหารทำการปฏิวัติล้มรัฐบาลไทย มีผลให้มีการล้มตายและบาดเจ็บมากมาย แต่ทำการปฏิวัติไม่สำเร็จ หลังจากนั้นรัฐบาลไทยจึงได้ทำคำร้องขอไปยังรัฐบาลลาวให้ส่งตัวนายทักทายกลับมารับโทษในประเทศไทย ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
อยากทราบว่าในกรณีดังกล่าวข้างต้นนี้ รัฐบาลลาวจะตัดสินใจส่งตัวนายทักทายให้รัฐบาลไทยตามคำขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้หรือไม่ และเพราะหลักกฎหมายใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
วินิจฉัย
หลักในการพิจารณาคดีการเมืองของประเทศฝรั่งเศสนั้น เป็นไปตามหลักว่าด้วยการกระทำที่กระทบกระเทือนต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศ ซึ่งหมายถึง การกระทำความผิดที่ส่งผลกระทบต่อรัฐธรรมนูญการปกครอง หรือส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของรัฐอันประกอบไปด้วยอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการและอำนาจบริหาร รวมทั้งรัฐบาลด้วย โดยมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างระบบการปกครองของประเทศในหลักใหญ่
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว การที่นายทักทายร่วมมือกับกลุ่มนายทหารทำการปฏิวัติล้มรัฐบาลไทย การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบกระเทือนต่ออำนาจในการปกครองของประเทศ โดยมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างระบบการปกครองของประเทศในหลักใหญ่ อันถือว่าเป็นความผิดทางการเมืองตามหลักของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งประเทศลาวได้ยึดถือในการพิจารณาคดีการเมืองซึ่งห้ามส่งข้ามแดนโดยเด็ดขาดอีกด้วย
สรุป รัฐบาลลาวจึงไม่สามารถส่งนายทักทายในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนให้กับรัฐบาลไทยตามคำขอได้ เพราะเป็นความผิดทางการเมือง