คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ยุทธเวทหนุ่มไทยไปทำมาหากินในประเทศลาว ได้นางพันแสนคำสาวลาวเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เกิดบุตรในประเทศลาวห้าคน บุตรทั้งห้าคนได้สัญชาติไทยหรือไม่ ถ้าหากจะให้บุตรและภรรยาได้สัญชาติไทยท่านจะแนะนำยุทธเวทอย่างไร อธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน
ธงคำตอบ
พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 9 หญิงซึ่งเป็นคนต่างด้าวและได้สมรสกับผู้มีสัญชาติไทยถ้าประสงค์จะได้สัญชาติไทย ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
การอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ได้สัญชาติไทยให้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรี
พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7 บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด
(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักร
พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 7 วรรคสอง คำว่าบิดาตาม (1) ให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นบิดาของผู้เกิดตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง แม้ผู้นั้นจะมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เกิด และมิได้จดทะเบียนรับรองผู้เกิดเป็นบุตรก็ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร
มาตรา 1557 การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1547 ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงเวลาที่บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้
วินิจฉัย
บุตรทั้ง 5 คนที่เกิดในประเทศลาวจากยุทธเวทบิดาซึ่งมีสัญชาติไทยและนางพันแสนคำมารดาซึ่งมีสัญชาติลาว โดยบิดาและมารดานั้นไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน กรณีเช่นนี้ถือว่าบุตรทั้ง 5 คน เกิดในขณะที่ยุทธเวทเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ได้เกิดในราชอาญาจักรไทย ดังนั้นบุตรทั้ง 5 คน จึงไม่ได้รับสัญชาติไทย ไม่ว่าตามหลักดินแดน หรือหลักสายโลหิตตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7(1)
แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. สัญชาติฯ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวนั้นให้นำไปใช้กับผู้ที่เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมนั้นใช้บังคับด้วย ดังนั้นหากยุทธเวทต้องการให้บุตรทั้ง 5 คน อาจได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด ข้าพเจ้าจะแนะนำยุทเวทว่าสามารถทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งใน 2 วิธีดังนี้
1 ให้ดำเนินการพิสูจน์ตามวิธีการที่กำหนดในกฎหกระทรวงว่ายุทเวทเป็นบิดาของบุตรทั้ง 5 คนตามสายโลหิตจริง ตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 7 วรรคสอง ซึ่งจะต้องดำเนินการพิสูจน์กับบุตรทุกคน เมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่าบุตรทั้ง 5 คนเป็นบุตรของยุทธเวทจริง บุตรนั้นก็จะกลับได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิตตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7(1) ทั้งนี้ แม้ยุทเวทจะมิได้จดทะเบียนสมรสกับนางพันแสนคำ และมิได้จดทะเบียนรับรองบุตรเหล่านั้นก็ตาม หรือ
2 ให้ยุทเวทจดทะเบียนสมรสกับนางพันแสนคำ หรือจดทะเบียนรับรองบุตรเหล่านั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายหรือขอให้ศาลพิพากษาว่าบุตรเหล่านั้นเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1547 ทั้งนี้เนื่องจากบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1557 ที่แก้ไขใหม่นั้นได้กำหนดให้ “การเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1547 ให้มีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่เด็กเกิด” ซึ่งผลของการเป้นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ย่อมทำให้บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่เดิมนั้นกลายเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายด้วย เมื่อเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงทำให้บุตรทั้ง 5 คน กลับได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิตตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7(1) เช่นกัน
สำหรับนางพันแสนคำซึ่งมีสัญชาติลาวและได้จดทะเบียนสมรสกับผู้มีสัญชาติไทยนั้น หากต้องการมีสัญชาติไทย ก็อาจจะขอมีสัญชาติโดยการสมรสได้ตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 9 โดยให้ต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้การอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ได้สัญชาติไทยเป็นดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
สรุป ข้าพเจ้าจะแนะนำให้ยุทเวทดำเนินการตามวิธีใดวิธีหนึ่งข้างต้นเพื่อให้บุตรมีสัญชาติไทยตามหลักสายโลหิต ส่วนนางพันแสนคำจะแนะนำให้ยื่นคำขอมีสัญชาติไทยโดยการสมรสก่อน และเมื่อรัฐมนตรีอนุญาตจึงจะได้สัญชาติไทย
ข้อ 2 นายกล้าคนสัญชาติไทยทำสัญญาซื้อโถประดับมุกอันเป็นวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งจากนายอาลีคนสัญชาติอินโดนีเซีย และขณะทำสัญญาโถฯ ที่ว่านี้ก็อยู่ที่อินโดนีเซียโดยนายกล้าและนายอาลีตกลงกันไว้ว่าหากกรณีมีข้อพิพาทหรือปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญาฉบับนี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย กฎหมายขัดกันของอินโดนีเซียกำหนดว่าแบบของสัญญาให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่สัญญานั้นทำขึ้น และกฎหมายภายในของอินโดนีเซีย กำหนดว่า การซื้อขายวัตถุโบราณต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นเป็นโมฆะ ปรากฏว่าการซื้อขายตามสัญญาฉบับนี้คงทำเป็นหนังสือ แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมานายกล้าผิดสัญญาไม่ยอมชำระราคาและรับมอบโถฯ ที่ว่านี้ นายอาลีจึงฟ้องนายกล้าต่อศาลไทยเรียกค่าเสียหายเพราะผิดสัญญา นายกล้าต่อสู้ว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตนจึงไม่ผูกพันหรือต้องรับผิดตามสัญญา
ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า หากท่านเป็นศาลไทยควรพิจารณาว่าสัญญาซื้อขายฉบับนี้เป็นโมฆะหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 9 วรรคแรก นอกจากจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นใดแห่งประเทศสยาม ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรมย่อมเป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้นได้ทำขึ้น
มาตรา 13 วรรคแรกและวรรคท้าย ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้ ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น
สัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะ ถ้าได้ทำถูกต้องตามแบบอันกำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผลแห่งสัญญานั้น
วินิจฉัย
นายกล้าคนสัญชาติไทยทำสัญญาซื้อโถประดับมุกอันเป็นวัตถุโบราณจากนายอาลีคนสัญชาติอินโดนีเซีย และขณะทำสัญญานายกล้าและนายอาลีตกลงกันว่า หากกรณีมีข้อพิพาทหรือปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญาฉบับนี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย กรณีเช่นนี้แม้ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 9 วรรคแรก จะกำหนดให้ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรมให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้นได้ทำขึ้นก็ตาม แต่อย่างไรก็ดีตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 13 วรรคท้าย กำหนดว่าสัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะ หากได้ทำถูกต้องตามแบบอันกำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผลของสัญญา ในกรณีนี้กฎหมายที่ใช้บังคับแก่ผลของสัญญาจึงได้แก่ กฎหมายไทยตามเจตนาของคู่กรณีตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 13 วรรคแรก
สำหรับกรณีนี้แม้การซื้อขายโถประดับมุกดังกล่าวจะได้ทำเป็นหนังสือแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่โดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยมิได้มีบทมาตราใดบังคับว่าการซื้อโถประดับมุกวัตถุโบราณซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่ตกลงด้วยวาจาก็มีผลใช้บังคับได้แล้ว ดังนั้น สัญญาซื้อขายระหว่างนายกล้าและนายอาลีจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่ตกเป็นโมฆะ การที่นายอาลีได้มาฟ้องนายกล้าต่อศาลไทยเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุผิดสัญญา นายกล้าต่อสู้ว่าสัญญาเป็นโมฆะ ข้อต่อสู้ของนายกล้าจึงฟังไม่ขึ้น นายกล้าต้องรับผิดตามสัญญา
สรุป หากข้าพเจ้าเป็นศาลไทยจะวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายรายนี้ไม่เป็นโมฆะ
ข้อ 3 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ได้มีคนร้ายจี้เครื่องบินของสายการบินแอร์โร เม็กซิโก เที่ยวบินที่ 576 พร้อมด้วยลูกเรือและผู้โดยสารที่ได้รับการยืนยัน รวม 112 ชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน ฝรั่งเศส และเม็กซิกัน มาจากเมืองตากอากาศแคนคูณ ริมทะเลแคริเบียน โดยบังคับให้กัปตันนำเครื่องไปยังกรุงเม็กซิโก ซิตี้ เพื่อขอพบกับประธานาธิบดี เฟลิเป คาลเดอเอน โดยขู่จะวางระเบิดหากไม่ทำตาม สื่อท้องถิ่นรายงานข่าวว่า เหตุดังกล่าวเกิดในวันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ.2552 เวลาประมาณ 13.40 น. ตามเวลาท้องถิ่น เครื่องได้ลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินนานาชาติ ในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ ภายหลังลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดถูกปล่อยตัวและไม่ได้รับอันตรายใดๆ ต่อมาภาพจากสื่อท้องถิ่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนำคนร้ายราว 8 คน ถูกควบคุมตัวออกจากเครื่องบินที่ลงจอดฉุกเฉินในสนามบินนานาชาติที่กรุงเม็กซิโก ซิตี้ (จากข่าวเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552 ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์)
ดังนี้ การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใด หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
วินิจฉัย
อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 มาตรา 1 ให้นิยามของคำว่า สลัดอากาศ ว่าหมายถึงบุคคลที่อยู่ในเครื่องบินลำนั้นกระทำการอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยาน โดยใช้กำลังมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อจะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน ทั้งนี้ รวมถึงการพยายามกระทำความผิด
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว กากระทำของคนร้ายทั้ง 8 คน ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศ เนื่องจากการเรียกร้องให้นักบินเปลี่ยนทิศทางนำเครื่องบินโดยบังคับให้กัปตัน นำเครื่องไปยังกรุงเม็กซิโก ซิตี้ เป็นการกระทำอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยาน ซึ่งเป็นการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อที่จะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินปกติ ไปสู่เส้นทางการบินที่ตนต้องการ ทั้งนี้ แม้ว่าคนร้ายจะถูกจับตัวได้และไม่ได้มีการวางระเบิดตามที่ขู่ก็ตาม การกระทำดังกล่าวก็ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญาเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 มาตรา 1
สรุป การกระทำของคนร้ายทั้ง 8 คน ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดดารยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 มาตรา 1
ข้อ 4 จงอธิบายว่า ฐานะพิเศษบางประการของผู้กระทำความผิดที่จะสามารถยกขึ้นอ้างเพื่อมิให้ถูกส่งข้ามแดนนั้นมีอะไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย
ธงคำตอบ
อธิบาย
ฐานะพิเศษบางประการของผู้ที่ถูกร้องขอให้ส่งข้ามแดนมีอยู่ 4 ประการดังนี้
1 บุคคลที่ถูกสั่งให้ปล่อยตัวแล้ว กล่าวคือ ถ้าบุคคลผู้ถูกร้องขอให้ส่งตัวนั้นถูกศาลใดศาลหนึ่งพิจารณาในความผิดที่ขอให้ส่งตัวมาแล้ว และศาลได้พิพากษายกฟ้องปล่อยตัวไปแล้ว หรือศาลได้พิจารณาลงโทษและผู้นั้นได้รับโทษแล้ว ประเทศผู้รับคำขอ ย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการส่งตัวได้โดยอาศัยหลักกฎหมาย ที่ว่าบุคคลคนเดียวกันย่อมจะไม่ต้องถูกพิจารณาในความผิดนั้นเป็นสองซ้ำ ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายอาญาของไทยมาตรา 10 และมาตรา 11 ซึ่งได้บัญญัติยืนยันหลักนี้ไว้
2 มีโทษประหารชีวิตเพียงประการเดียว กล่าวคือ ตามหลักทั่วๆไปถือกันว่า ถ้าความผิดที่ขอให้ส่งตัวนั้นเป็นความผิดที่มีแต่โทษสถานเดียว คือ ประหารชีวิตแล้ว ประเทศที่รับคำขอชอบที่จะปฏิเสธการส่งตัวนั้นได้เพราะถือหลักมนุษยธรรมว่า ประเทศไม่ควรยอมเป็นเครื่องมือช่วยประเทศอื่นโดยส่งคนที่เข้ามาอยู่ในประเทศของตนไปให้ประเทศอื่นประหารชีวิตเสีย นอกจากนั้นยังละเมิดหรือฝ่าฝืนหลักศาสนาต่างๆและยังเป็นการกระทบกระเทือนต่อจิตใจของบุคคล ตัวอย่างเช่น สนธิสัญญาระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1850 ซึ่งระบุไว้ชัดแจ้งว่า สเปนจะยอมส่งคนข้ามแดนให้ก็ต่อเมื่อปรากฏว่าความผิดที่จะพิจารณาลงโทษแก่บุคคลนั้นไม่เป็นความผิดที่มีโทษหนักถึงประหารชีวิต
3 ความผิดที่ขัดกับหลักศีลธรรมของประเทศที่รับคำขออย่างร้ายแรง กล่าวคือ เป็นความผิดที่นานาประเทศไม่ให้การยอมรับ เพราะขัดกับหลักศีลธรรมอย่างร้ายแรง ตัวอย่างเช่น ประเทศ ก. (รับรองการมีทาสและมีบัญญัติกฎหมายลงโทษทาสผู้กระทำความผิด) ได้ร้องขอให้ประเทศ ข. (ซึ่งมีหลักกฎหมายบัญญัติว่า การค้าทาสละมีทาสเป้นความผิดเพราะขัดต่อหลักศีลธรรมและสิทธิเสรีภาพของมนุษย์) ส่งตัว ช. (ทาส) ผู้กระทำผิด ดังนี้ ประเทศ ข. ย่อมปฏิเสธการส่งตัว ช. ให้แก่ประเทศ ก. ได้
4 บุคคลในคณะทูต กล่าวคือ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศได้ให้หลักเอกสิทธิ์และความคุ้มกัน (Priviege and Immunity) ทางการทูต ในการที่ไม่ถูกฟ้องคดีอาญาในประเทศที่ไปประจำอยู่ฉะนั้นถ้าเกิดปัญหาว่า บุคคลในคณะทูตผู้หนึ่งไปกระทำความผิดอาญาในประเทศที่ตนไปประจำอยู่ แล้วหลบหนีไปอยู่ในประเทศที่สาม ประเทศเจ้าของท้องที่เกิดเหตุ (ประเทศที่ผู้กระทำความผิดไปประจำอยู่) จะขอให้ประเทศที่สามส่งตัวให้ไม่ได้ เพราะแม้ว่าบุคคลนั้นยังอยู่ในประเทศนั้นโดยไม่ได้หลบหนีไปประเทศที่สาม ศาลแห่งประเทศนั้น (ประเทศที่ผู้กระทำความผิดไปประจำอยู่) ก็ยังไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาอยู่แล้ว เพราะหลักเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูตดังกล่าวข้างต้น