การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2548
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1. รัฐ ก. และรัฐ ข. ได้ตกลงทำสนธิสัญญาแบบย่อ และกำหนดให้สนธิสัญญามีผลบังคับทันทีเมื่อได้ลงนามกันเรียบร้อยแล้ว ต่อมารัฐ ก. ไม่ยอมปฏิบัติตามสนธิสัญญา โดยอ้างว่าสนธิสัญญาไม่สมบูรณ์เพราะว่าไม่ได้นำไปจดทะเบียน ดังนั้นรัฐ ข. จะฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อบังคับรัฐ ก. ให้ปฏิบัติตามสนธิสัญญาได้หรือไม่อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย
กฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 102 กำหนดว่า “สนธิสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศ ทุกฉบับซึ่งสมาชิกใด ๆ แห่งสหประชาชาติได้เข้าเป็นภาคี ภายหลังที่กฎบัตรฉบับปัจจุบันได้ใช้บังคับ (24 ต.ค. 1945) จะต้องจดทะเบียนไว้กับสำนักเลขาธิการโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะได้จัดพิมพ์ขึ้นโดยสำนักงานนี้
ภาคีแห่งสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศเช่นว่าใด ๆ ซึ่งมิได้จดทะเบียนไว้ตามบทบัญญัติในวรรคหนึ่งแห่งมาตรานี้ ไม่อาจยกเอาสนธิสัญญาหรือความตกลงนั้น ๆ ขึ้นกล่าวอ้างต่อองค์กรใด ๆ ของสหประชาชาติ
วินิจฉัย
กฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 102 ได้กำหนดให้สนธิสัญญาทุกฉบับต้องนำไปจดทะเบียนต่อองค์การสหประชาชาติเพื่อองค์การสหประชาชาติจะได้จัดพิมพ์เผยแพร่ให้ประเทศต่าง ๆ ทราบ
แต่ถ้าสนธิสัญญาไม่ได้นำไปจดทะเบียน สนธิสัญญานั้นก็ยังสมบูรณ์อยู่ แต่จะนำมาอ้างต่อ องค์การสหประชาชาติและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่ได้
ดังนั้น 1. สนธิสัญญามีความสมบูรณ์
2. รัฐ ข. จะนำมาฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่ได้ เพราะศาลจะไม่ยอมรับรู้ เนื่องจากไม่จดทะเบียนต่อองค์การสหประชาชาติ
ข้อ 2. การที่นักนิติศาสตร์บางท่านกล่าวว่า กฎหมายระหว่างประเทศเป็นเพียงศีลธรรมระหว่างประเทศนั้น มีเหตุผลอย่างไรที่นำมากล่าวอ้าง และเป็นความจริงเพียงใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
นักนิติศาสตร์บางท่านกล่าวว่า กฎหมายระหว่างประเทศเป็นเพียงศีลธรรมระหว่างประเทศถ้าจะเป็นกฎหมายแล้วจะต้องมีองค์ประกอบคือจะต้องมี
1. องค์กรในการบัญญัติกฎหมาย
2. ผู้คอยตรวจตราให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย
3. ศาลเพี่อบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย
ทั้งนี้ นักนิติศาสตร์ที่มีความเห็นดังกล่าว อ้างเหตุผลสนับสนุนความคิดของตนว่า
1. กฎหมายระหว่างประเทศไม่มีองค์กรท่าหน้าที่ในการร่างกฎหมายเหมือนเช่นกฎหมายภายใน
2. กฎหมายระหว่างประเทศไม่มีองค์กรทำหน้าที่บังคับให้กฎหมายระหว่างประเทศมี ผลบังคับอย่างแท้จริง
ข้อ 3. ในขณะที่ประเทศติมอร์ตะวันออกแยกตัวออกมาจากอินโดนีเซียเป็นประเทศเอกราชได้สำเร็จ แต่ความพร้อมในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของความเป็นรัฐยังเป็นปัญหาอยู่มาก องค์การสหประชาชาติ จึงเข้ามาช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ จนปัจจุบันติมอร์ตะวันออกสามารถดำรงความเป็นรัฐได้อย่าง สมบูรณ์ ในอดีตมีการจัดการปัญหาลักษณะดังกล่าวนี้โดยการจัดให้เป็นรัฐใต้อารักขา (State under Protectorate) โดยการทำสนธิสัญญาระหว่างรัฐที่ยังไม่พร้อม ยอมให้อีกรัฐหนึ่งซึ่งมีความเข้มแข็ง มาให้ความคุ้มครองดูแลรัฐใต้อารักขาซึ่งจะต้องยอมสละอำนาจอธิปไตยส่วนหนึ่งแก่รัฐที่ให้ความอารักขาเป็นผู้กระทำการแทนรัฐใต้อารักขา ปัญหาที่นักศึกษาจะต้องวิเคราะห์คือสภาพบุคคลตาม กฎหมายระหว่างประเทศของรัฐใต้อารักขาว่ายังคงมีความเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ จงอธิบายพร้อมยกเหตุผลในการวิเคราะห์ให้ชัดเจน
ธงคำตอบ
ปัญหาเกี่ยวกับสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศของรัฐใต้อารักซา มีสองความเห็น
ความเห็นแรก เห็นว่ารัฐใต้อารักขาสูญเสียสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว
เพราะขาดอำนาจอิสระในการดำเนินกิจการภายในและภายนอกของตนเอง
ความเห็นที่สอง ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป มีความเห็นว่า รัฐใต้อารักขายังมีสภาพความเป็นรัฐ และมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่า
1. การยอมอยู่ภายใต้การอารักขาเกิดจากการใช้อำนาจอิสระของตน เป็นความสมัครใจให้ อำนาจอีกรัฐหนึ่งโดยทำสนธิสัญญาโอนอำนาจอธิปไตยบางส่วนของตนให้อีกรัฐหนึ่ง ดำเนินการ
2. ประมุขของรัฐใต้อารักขายังคงได้รับการยอมรับ และได้สิทธิต่าง ๆ เช่นประมุขของรัฐอื่น
3. บางกรณีรัฐใต้อารักขายังมีความสามารถทำสนธิสัญญาด้วยตนเองได้อยู่
4. ทางปฏิบัติดินแดนของรัฐใต้อารักขาไม่กลายเป็นดินแดนของรัฐที่ให้การอารักขา ซึ่งมี การใช้อำนาจเหนือดินแดนในขอบเขตที่จำกัด
5. พลเมืองของรัฐใต้อารักขายังมีสัญชาติของตนเองอยู่
ข้อ 4. จงอธิบายว่าการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตถือว่าเป็นวิธีการตอบโต้ที่เรียกว่า รีโพรซัล (Reprisal) หรือไม่
ธงคำตอบ
รีโพรซัลเป็นมาตรการตอบโต้การกระทำอันละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศของอีกรัฐหนึ่ง เพื่อให้รัฐนั้นเคารพในสิทธิของตนและรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งมาตรการตอบโต้นั้นเป็นการกระทำ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน แต่เป็นการกระทำเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว
การใช้มาตรการรีโพรซัลนั้นต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 4 ประการ คือ
1. การกระทำนั้นของอีกรัฐหนึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
2. ไม่สามารถตกลงได้โดยวิธีอื่น
3. รัฐที่เสียหายต้องเรียกค่าทดแทนก่อน
4. มาตรการตอบโต้ต้องพอสมเหตุสมผลกับความเสียหายที่ได้รับ
การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดต่อ กฎหมายระหว่างประเทศอย่างใด เพียงแต่มีลักษณะของการบังคับหรือกดดันอีกรัฐหนึ่งเพื่อให้รัฐนั้นเคารพในสิทธิของตน ดังนั้นจึงไม่ใช่ลักษณะของมาตรการรีโพรซัล