การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ธนคารสยามไทย จำกัด มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ถนนรัชดา กรุงเทพมหานคร ธนาคารสยามไทย จำกัด มีสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในเดือนมกราคม 2550 ธนาคารสยามไทย จำกัด ได้ไปเปิดสาขาที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา การเปิดธนาคารสาขาแห่งใหม่นี้ทางสำนักงานใหญ่ได้ส่งนายเสกสรรซึ่งเป้นพนักงานของธนาคารไปเป็นผู้จัดการธนาคารสาขาแคลิฟอร์เนีย เกี่ยวกับเงินเดือนของนายเสกสรรทางสำนักงานใหญ่ได้ส่งเงินเดือนไปให้นายเสกสรรที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทุกเดือน สำหรับสาขาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นายเสกสรรได้จ้างนางสาวกรุณาซึ่งเป็นคนไทยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาเป้นพนักงานของธนาคารสำหรับบริการลูกค้าที่เป็นคนไทย โดยธนาคารสาขาในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้แก่นางสาวกรุณาทุกเดือน
ดังนี้ อยากทราบว่า เงินเดือนของนายเสกสรรและของนางสาวกรุณาจะต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 41 วรรคแรก ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ
วินิจฉัย
โดยหลัก ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้นเกิดเนื่องจาก
1 หน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย หรือ
2 กิจการที่ทำในประเทศไทย หรือ
3 กิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือ
4 ทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย
การที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารสยามไทย จำกัด (มหาชน) ได้ส่งนายเสกสรรซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารไปเป็นผู้จัดการธนาคารสาขาแคลิฟอร์เนีย และทางสำนักงานใหญ่ได้ส่งเงินเดือนไปให้นายเสกสรรทุกเดือน ถือว่าเงินเดือนที่นายเสกสรรได้รับเป็นเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคแรก นายเสกสรรจึงต้องมีหน้าที่ต้องนำเงินเดือนที่ได้จากสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย มาเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงว่านายเสกสรรจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ และไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม
สำหรับนางสาวกรุณา นายเสกสรรได้จ้างนางสาวกรุณา ซึ่งเป็นคนไทยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นพนักงานของธนาคารโดยธนาคารสาขาเป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้แก่นางสาวกรุณาทุกเดือน กรณีนี้นางสาวกรุณาไม่ต้องเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย เพราะสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยมิได้เป็นผู้จ่ายเงินเดือน และธนาคารสาขาในต่างประเทศก็เป็นกิจการนอกประเทศของสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย ฉะนั้นเงินเดือนที่นางสาวกรุณาได้รับจึงเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศมิใช่เงินได้เนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย เมื่อนางสาวกรุณามิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย และมิได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย จึงไม่ต้องเสียภาษี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคแรก
สรุป
เงินเดือนของนายเสกสรรต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย ส่วนนางสาวกรุณาไม่ต้องนำเงินเดือนมาเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย
ข้อ 2 บริษัทไทยพาณิชยนาวี จำกัด เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการขนส่งทางทะเลทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปรากฏว่า ในรอบระยะเวลาบัญชี 2550 บริษัทฯมีรายได้จากการขนส่งสินค้าจากประเทศอินเดียและประเทศจีนเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 700 ล้านบาท
ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า บริษัทไทยพาณิชยนาวี จำกัด ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรจากรายได้ดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 66 วรรคแรก บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในประเทศไทย ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้
วินิจฉัย
โดยหลัก บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย จะต้องนำรายได้ทั่วโลก (Worldwide Income Basis) มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากร โดยรวมทั้งสาขาในต่างประเทศทุกสาขา
บริษัทไทยพาณิชยนาวี จำกัด เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันถือว่าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย ดังนั้นในรอบระยะเวลาบัญชี 2550 บริษัทไทยพาณิชยนาวี จำกัด ต้องนำรายได้จากการขนส่งสินค้า 700 ล้านบาท มาคำนวณกำไรสุทธิเมื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 66 วรรคแรก
สรุป บริษัทไทยพาณิชยนาวี จำกัด ต้องนำรายได้ 700 ล้านบาท มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
ข้อ 3 นายวินิจมีบุตรชาย 1 คน อายุ 23 ปี กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโทอยู่ในประเทศอังกฤษส่วนภรรยาเสียชีวิตแล้ว ในปีภาษี 2550 นายวินิจได้รับเงินได้พึงประเมินจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 3 ล้านบาท เงินส่วนแบ่งกำไรจากการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญจำนวน 5 ล้านบาท เงินได้จากการขายรถยนต์ซึ่งซื้อมาใช้ส่วนตัวจำนวน 1 ล้านบาท และได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยจากการประกันอัคคีภัยบ้านที่ให้เช่าจำนวน 2 ล้านบาท
ดังนี้ อยากทราบว่า นายวินิจต้องนำเงินได้พึงประเมินทุกจำนวนไปยื่นแบบรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ และมีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับบุตรและการศึกษาบุตรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 42 เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
(9) การขายสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร แต่ไม่รวมถึงเรือกำปั่น เรือที่มีระวางตั้งแต่หกตันขึ้นไปเรือกลไฟ
(13) ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด เงินที่ได้จากการประกันภัยหรือการฌาปนกิจสงเคราะห์
(14) เงินส่วนแบ่งของกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ แต่ไม่รวมถึงเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกองทุนรวม
มาตรา 47 เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิถึงมาตรา 46 แล้ว เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี ให้หักลดหย่อนภาษีได้อีกดังต่อไปนี้
(1) ลดหย่อนให้สำหรับ
(ค) บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้รวมทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ด้วย คนละ 15,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกินสามคน
การหักลดหย่อนสำหรับบุตร ให้หักได้เฉพาะบุตรซึ่งมีอายุไม่เกินยี่สิบปีและยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษา หรือซึ่งเป็นผู้เยาว์ หรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ในอุปการะเลี้ยงดู แต่มิให้หักลดหย่อนสำหรับบุตรดังกล่าวที่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป โดยเงินได้พึงประเมินนั้นไม่เข้าลักษณะตามมาตรา 42
(ฉ) บุตรของผู้มีเงินได้ซึ่งมีสิทธิหักลดหย่อนตามเงื่อนไข (ค) และยังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาของทางราชการ สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันศึกษาเอกชนหรือโรงเรียนราษฎร์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนราษฎร์ ให้หักลดหย่อนเพื่อการศึกษาได้อีกคนละ 2,000 บาท
วินิจฉัย
เงินส่วนแบ่งกำไรจากการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ จำนวน 15 ล้านบาท ของนายวินิจเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(14) เนื่องจากห้างหุ้นส่วนสามัญจะต้องนำเงินได้ของห้างหุ้นส่วนไปเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมาแล้ว ส่วนแบ่งกำไรดังกล่าวจึงไม่ต้องเสียภาษีอีก ส่วนเงินได้จากการขายรถยนต์ซึ่งซื้อมาใช้ส่วนตัว จำนวน 1 ล้านบาท เป็นเงินได้เนื่องจากการขายสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9) และค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยจากการประกันอัคคีภัยบ้านที่ให้เช่าจำนวน 2 ล้านบาท ก็เป็นเงินได้จากการประกันภัยที่ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(13) เช่นเดียวกัน ดังนั้น นายวินิจจึงมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินเฉพาะเงินได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์จำนวน 3 ล้านบาท ไปยื่นแบบรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น
สำหรับบุตรของนายวินิจซึ่งมีอายุ 23 ปี และกำลังศึกษาในระดับปริญญาโทซึ่งถือว่าเป็นชั้นอุดมศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ ก็ย่อมมีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับบุตรจำนวน 15,000 บาท ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47(1)(ค) วรรคแรกและวรรคสี่ แต่การหักลดหย่อนสำหรับการศึกษาบุตรจำนวน 2,000 บาทนั้น เนื่องจากบุตรของนายวินิจไม่ได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาของทางราชการ สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันเอกชนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47(1)(ฉ) นายวินิจจึงไม่มีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับการศึกษาบุตรในส่วนนี้
สรุป นายวินิจมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินเฉพาะเงินได้จากการให้อสังหาริมทรัพย์ไปยื่นแบบรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น ส่วนเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนบุตร นายวินิจมีสิทธิหักลดหย่อนจำนวน 15,000 บาท แต่ไม่มีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับการศึกษา
ข้อ 4 นายสมัคร อดีตข้าราชการ อายุวัย 65 ในปี 2550 ได้รับการติดต่อจากบริษัทริชชี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศมาเลเซีย ไม่มีสำนักงานสาขาในประเทศไทย ว่าจ้างให้นายสมัครทำหน้าที่เป็นผู้แทนของบริษัทริชชี่ จำกัด ในการลงนามขายสินค้ามูลค่า 500 ล้านบาทให้แก่ บริษัทไทยแท้ จำกัด ผู้ซื้อซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศไทย ทั้งนี้การลงนามสัญญามีขึ้นที่กรุงเทพมหานคร จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จงวินิจฉัยพร้องปรับบทบัญญัติแห่งกฎหมายเพื่อตอบคำถามดังต่อไปนี้
(ก) บริษัทริชชี่ จำกัด มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด
(ข) หากบริษัทริชชี่ จำกัด มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าวแล้ว หน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีในประเทศไทยเป็นหน้าที่ของผู้ใด
(ค) หากบริษัทริชชี่ จำกัด มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าวแล้ว แต่ไม่ประสงค์จะเสียภาษีจากกำไรสุทธิในอัตราร้อยละ 30 จะมีเหตุใดตามกฎหมายที่ทำให้เสียภาษีในอัตราที่ลดลง และเป็นอัตราใด
ธงคำตอบ
มาตรา 71 ในกรณีที่
(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด ไม่ยื่นรายการซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ หรือมิได้ทำบัญชีหรือทำไม่ครบตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 17 หรือมาตรา 68 ทวิ หรือไม่นำบัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 หรือมาตรา 23 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใดๆของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า ถ้ายอดรายรับก่อนกักรายจ่ายหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายดังกล่าว ไม่ปรากฏเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินโดยอาศัยเทียบเคียงกับยอดในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนนั้นขึ้นไป ถ้ายอดในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนนั้นขึ้นไปไม่ปรากฏให้ประเมินได้ตามที่เห็นสมควร
มาตรา 76 ทวิ วรรคแรก บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มีลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อ ในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทยและให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล เป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว
ในกรณีที่กล่าวในวรรคแรก ถ้าบุคคลผู้มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ได้ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษี ตามมาตรา 71(1) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
วินิจฉัย
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และไม่มีสาขาในประเทศไทย หากมีลักษณะตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ วรรคแรก กำหนดไว้ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
2 มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย
3 ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินหรือผลกำไรในประเทศไทย
(ก) บริษัทริชชี่ จำกัด มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าว เนื่องจากเป็นบริษัทต่างประเทศจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศมาเลเซีย และมีนายสมัครเป็นผู้ทำการแทนในการขายสินค้าในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ วรรคแรก
(ข) เป็นหน้าที่ของนายสมัคร เนื่องจากนายสมัครเป็นผู้ทำการแทนของบริษัทต่างประเทศ คือ บริษัทริชชี่ จำกัด ในการขายสินค้าในประเทศไทย วึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ วรรคแรก
(ค) นายสมัครซึ่งเป็นผู้ทำการแทนของบริษัทต่างประเทศ คือ บริษัทริชชี่ จำกัด ในการขายสินค้าในประเทศไทยซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย อาจร้องขอต่อกรมสรรพากรว่าไม่สามารถคำนวณกำไรสุทธิได้ จึงขอเสียจากยอดขายก่อนหักค่าใช้จ่าย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1) คือ ในอัตราภาษีร้อยละ 5 จากยอดขาย 500 ล้านบาท ทั้งนี้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ วรรคสอง
สรุป
(ก) บริษัทริชชี่ จำกัด มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทย
(ข) เป็นหน้าที่ของนายสมัครผู้ทำการแทน
(ค) นายสมัครอาจร้องขอต่อกรมสรรพากรว่าไม่สามารถคำนวณกำไรสุทธิได้ โดยขอเสียจากยอดขายก่อนหักค่าใช้จ่าย