การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
นักศึกษาที่ลงทะเบียนกระบวนวิชา LA 401 (รหัส 52… เป็นต้นไป) ให้ทำข้อ 1 – 3
นักศึกษาที่ลงทะเบียนกระบวนวิชา LW 406 (รหัส 51…ลงไป) ให้ทำข้อ 1 – 4
ข้อ 1 บริษัท เหลืองแดงเขียว จำกัด ได้ทำสัญญาว่าจ้างนายเหลืองซึ่งมีสัญชาติไทยให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยทางบริษัทฯได้โอนเงินค่าจ้างไปเข้าบัญชีของนายเหลืองในต่างประเทศ และในขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้ว่าจ้างนางเขียวซึ่งมีสัญชาติมาเลเซียให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ ที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยบริษัทฯ ได้โอนเงินค่าจ้างไปยังประเทศมาเลเซีย
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ตกลงจ้างนางสาวแดงซึ่งเป็นนายหน้าอิสระสัญชาติไทย (ไม่ได้เป็นลูกจ้างของบริษัทฯ) ให้ทำหน้าที่นายหน้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแก่บริษัท โดยบริษัท ตกลงจะโอนเงินให้นางสาวแดงที่ประเทศไทย หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า นอกจากนางเขียวกรณีนายเหลืองและนางสาวแดงไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีที่เกิดเงินได้แต่อย่างใด จงวินิจฉัยว่าทั้งสามคนนี้มีภาระภาษีเงินได้ในประเทศไทยหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 41 ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ
ผู้อยู่ในประเทศไทย มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้ เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย
ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้น เกิดเนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในประเทศไทย หรือกิจการที่ทำในประเทศไทยหรือกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย (มาตรา 41 วรรคแรก)
ส่วนในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นนอกประเทศ ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยต่อเมื่อผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย และมีเงินได้พึงประเมิน เนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในต่างประเทศหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศหรือทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ และได้นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับปีที่อยู่ในประเทศไทย (มาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม)
การที่บริษัท เหลืองแดงเขียว จำกัด ได้ทำสัญญาว่าจ้างนายเหลืองให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยทางบริษัทฯ ได้โอนเงินค่าจ้างไปเข้าบัญชีของนายเหลืองยังต่างประเทศ กรณีถือว่าเงินค่าจ้างที่นายเหลืองได้รับเป็นเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคแรก นายเหลืองจึงต้องมีหน้าที่ต้องนำเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย ทั้งนี้ โดยไม่ต้องคำนึงว่านายเหลืองจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ และไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม
สำหรับนางเขียว ซึ่งบริษัทฯได้ว่าจ้างนางเขียวซึ่งมีสัญชาติมาเลเซียทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ ที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยบริษัทฯ ได้โอนเงินค่าจ้างไปยังประเทศมาเลเซีย กรณีถือว่าเงินค่าจ้างที่นางเขียวได้รับเป็นเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นเนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรมาตรา 41 วรรคแรก นางเขียวจึงมีหน้าที่ต้องนำเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทยเช่นกัน ทั้งนี้ ไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม
ส่วนนางสาวแดงที่ได้รับค่าจ้างจากการเป็นนายหน้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแก่บริษัทฯ ถือเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคสอง นางสาวแดงไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีให้กับประเทศไทย เพราะแม้บริษัทฯ ได้โอนให้นางสาวแดงที่ประเทศไทย แต่เมื่อนางสาวแดงไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีที่เกิดเงินได้ นางสาวแดงจึงไม่ต้องนำจำนวนเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย เพราะไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม
สรุป นายเหลืองและนางเขียวมีภาระภาษีในประเทศไทย ส่วนนางสาวแดงไม่มีภาระต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทย เพราะนางสาวแดงไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
ข้อ 2 นายแดงทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินของบริษัท อุปกรณ์การแพทย์ จำกัด ได้รับเงินเดือนๆละ 20,000 บาท นายแดงได้นำรถยนต์ส่วนตัวของตนมาใช้ในกิจการของบริษัทฯ และบริษัทฯได้จ่ายค่าน้ำมันรถยนต์แบบเหมาจ่ายให้แก่นายแดงเดือนละ 4,000 บาท โดยมิได้คำนึงว่านายแดงจะได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นหรือไม่ และไม่ต้องนำใบเสร็จมาแสดงแก่บริษัทฯแต่อย่างใด ในปีภาษี 2551 นายแดงได้รับเงินค่าน้ำมันจากบริษัทฯ เป็นเงินรวมตลอดทั้งปีจำนวน 48,000 บาท ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2551 รถยนต์ของนายแดงถูกนายเขียวขับชนโดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์ของนายแดงได้รับความเสียหาย แต่นายแดงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย นายแดงจึงเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการทำละมิดของนายเขียวเพื่อเป็นค่าซ่อมรถยนต์และค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินจำนวน 40,000 บาท ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินได้ที่นายแดงได้รับทั้งสองจำนวนจะต้องนำมารวมคำนวณกับเงินเดือนเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 40 เงินได้พึงประเมินนั้น คือ เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว ไม่ว่าในทอดใด
(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน
มาตรา 42 เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
(1) ค่าเบี้ยเลี้ยงหรือพาหนะ ซึ่งลูกจ้างหรือผู้รับหน้าที่หรือตำแหน่งงานหรือผู้รับทำงานให้ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น
(13) ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด เงินที่ได้จากการประกันภัยหรือการฌาปนกิจสงเคราะห์
วินิจฉัย
โดยหลักแล้วเงินค่าพาหนะซึ่งลูกจ้างได้รับจากนายจ้างอันจะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(1) จะต้องเป็นค่าพาหนะซึ่งลูกจ้างได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ค่าน้ำมันรถยนต์ที่บริษัทฯจ่ายให้นายแดงซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ ที่นำรถยนต์ส่วนตัวของตนมาใช้ในกิจการของบริษัทฯ มีลักษณะเป็นการเหมาจ่าย โดยมิได้คำนึงว่าจะจ่ายไปหมดในการนั้นหรือไม่ เงินค่าน้ำมันรถยนต์ที่บริษัทเหมาจ่ายให้แก่นายแดงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นมาตรา 42(1) (ฎ.5330/2537)
ดังนั้น นายแดงจึงต้องนำเงินค่าน้ำมันรถยนต์จำนวน 48,000 บาท ไปรวมคำนวณกับเงินเดือนเพื่อนำไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ส่วนเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน 40,000 บาท ที่นายแดงได้รับจากนายเขียวเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด จึงได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(13) ดังนั้น นายแดงจึงไม่ต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สรุป นายแดงต้องนำเงินค่าน้ำมันรถยนต์จำนวน 48,000 บาท ไปรวมคำนวณกับเงินเดือนเพื่อนำไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น ส่วนเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน 40,000 บาท ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ข้อ 3 ในรอบระยะเวลาบัญชี 2552 บริษัท ไทยวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) ได้เช่ารถยกตีนตะขาบ (Crawler Crane) พร้อมอุปกรณ์จากบริษัท โตโย จำกัด ผู้ให้เช่าในประเทศญี่ปุ่นและได้ซื้ออุปกรณ์กำเนิดกำลัง (Generator) พร้อมอุปกรณ์จากบริษัท เยาเส็ง จำกัด ผู้ขายในประเทศสิงคโปร์ เพื่อนำมาใช้ในโครงการขยายโรงกลั่นของบริษัท ปิโตรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทฯผู้ให้เช่าและบริษัทฯ ผู้ขายทั้งสองเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์ มิได้ประกอบกิจการหรือมีตัวแทนหรือสถานประกอบการถาวร (Permanent Establishment) ใดๆในประเทศไทยจงวินิจฉัยว่า บริษัท โตโย จำกัด และบริษัท เยาเส็ง จำกัด ต้องมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ อย่างไร (ไม่ต้องพิจารณาเรื่องอนุสัญญาว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้ำซ้อน)
ธงคำตอบ
มาตรา 40 เงินได้พึงประเมินนั้น คือ เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว ไม่ว่าในทอดใด
(5) เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจาก
(ก) การให้เช่าทรัพย์สิน
(8) เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (7) แล้ว
มาตรา 70 วรรคแรก บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น ทั้งนี้ให้นำมาตรา 54 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
วินิจฉัย
การหักภาษี ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 วรรคแรก ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1 ผู้รับเงินจะต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ
2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวจะต้องมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย และ
3 เงินได้ที่จ่ายจะต้องเป็นเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหือในประเทศไทยเท่านั้น
บริษัท ไทยวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) จ่ายเงินค่าเช่ารถยกและค่าซื้อเครื่องกำเนิดกำลัง ให้แก่บริษัท โตโย จำกัด ผู้ให้เช่าในประเทศญี่ปุ่นและบริษัท เยาเส็ง จำกัด ผู้ขายในประเทศสิงคโปร์ โดยผู้ให้เช่าและผู้ขายมิได้ประกอบกิจการหรือมีตัวแทนหรือสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย จะมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ดังนี้
1 กรณีบริษัท โตโย จำกัด ได้รับค่าเช่าอันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(5) จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 โดยบริษัทไทยวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) ต้องหักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ของยอดเงินได้พึงประเมินที่จ่าย
2 กรณีบริษัท เยาเส็ง จำกัด ได้รับเงินจากการขายสินค้า อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(8) จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามประมวลรัษฎากรมาตรา 70 ที่บังคับเฉพาะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) – (6) เท่านั้น
สรุป บริษัท โตโย จำกัด จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทย ส่วนบริษัทเยาเส็ง จำกัด ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ข้อ 4 Marine Shipping & Transportation Corporation (Marine Corp) เป็นบริษัทซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ประกอบกิจการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยทางเรือ มีสาขาตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย บริษัท ไทยนำสินฟู้ด โปรดักส์ จำกัด (ไทยนำสิน) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งตามกฎหมายไทย ตั้งอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายอาหารฮาลาล ไทยนำสินได้ขายสินค้าอาหารให้แก่ผู้ซื้อในประเทศกาตาร์ จึงได้ว่าจ้างให้ Marine Corp สาขามาเลเซียขนส่งสินค้าดังกล่าวไปยังประเทศกาตาร์ โดยไทยนำสินได้ขนสินค้าดังกล่าวทางรถบรรทุกไปส่งมอบให้แก่ Marine Corp ในประเทศมาเลเซีย Marine Corp ได้คิดค่าบริการในการขนสินค้าดังกล่าวจำนวน 10 ล้านบาท อยากทราบว่า Marine Corp ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายของค่าบริการรับขนของตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 66 วรรคสอง บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งในประเทศไทย ให้เสียภาษีในกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในประเทศไทยในรอบระยะเวลาบัญชีและการคำนวณกำไรสุทธิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับมาตรา 65 และมาตรา 65 ทวิ แต่ถ้าไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิดังกล่าวแล้วได้ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษีตามมาตรา 71(1) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 67 การเสียภาษีตามความในส่วนนี้ ให้เสียตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวดนี้ เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 66 วรรคสอง กระทำกิจการขนส่งผ่านประเทศต่างๆให้เสียภาษีเฉพาะกิจการขนส่งตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(2) ในกรณีรับขนของ ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 3 ของค่าระวางค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บ ไม่ว่าในหรือนอกประเทศไทยก่อนหักรายจ่ายใดๆ เนื่องจากในการรับขนของออกจากประเทศไทยนั้น
วินิจฉัย
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลยอดรายรับค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บไม่ว่าในหรือนอกประเทศไทยก่อนหักรายจ่ายใดๆ เนื่องในการรับขนของออกจากประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 67(2) นั้นจะต้องเป็นกรณีที่บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งประเทศไทย กล่าวคือ ต้องมีการกระทำกิจการในประเทศไทยและเป็นการประกอบกิจการขนส่งผ่านประเทศต่างๆด้วย (มาตรา 66 วรรคสองประกอบมาตรา 67)
เมื่อ Marine Corp มีสาขาอยู่ในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียโดยไม่ปรากฏว่ามีสาขาหรือกระทำกิจการอยู่ในประเทศไทย Marine Corp จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากค่าบริการรับขนของดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อ Marine Corp ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าวแล้ว กรณีจึงไม่ต้องพิจารณาว่าค่าบริการที่ Marine Corp ได้รับเป็นกรณีเนื่องจากการรับขนของออกไปจากประเทศไทยหรือไม่
สรุป Marine Corp ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าว