การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2545
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน จำนวน 3 ข้อ
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามหนังสือกู้จำนวน 500,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้กู้เพียง 400,000 บาท แต่โจทก์ขอให้ทำหนังสือกู้ 500,000 บาท มิฉะนั้นจะไม่ยอมให้กู้ จำเลยจึงยอมทำหนังสือสัญญากู้ 500,000 บาท ฉะนั้น จำเลยขอชำระหนี้ให้เพียง 400,000 บาท
ถ้าท่านเป็นศาลในคดีนี้ ท่านจะจัดให้ดำเนินการสืบพยานในประเด็นใดหรือไม่ เพราะเหตุใด ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน
ธงคำตอบ
มาตรา 94 เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก
แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (2) แห่งมาตรา 93 และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้ คือ
1 กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น
2 พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม
3 พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน
4 สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์
5 คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้จำนวน 500,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่ากู้เพียง 400,000 บาท แต่โจทก์ขอให้ทำหนังสือกู้ 500,000 บาท มิฉะนั้นจะไม่ยอมให้กู้ ดังนี้ ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องเรียกเงินกู้จำนวน 500,000 บาท ตามสัญญากู้เงินในกรณีดังกล่าว ถือว่าจำเลยยอมรับการเป็นหนี้และความถูกต้องแห่งเอกสาร ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเด็นข้อพิพาทในการกู้เงินหรือไม่จึงเป็นอันยุติลง
ส่วนจำนวนเงินที่โต้เถียงกันอยู่ เมื่อปรากฏหลักฐานกู้เงินเป็นจำนวน 500,000 บาท จึงเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง (ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคแรก) จำเลยย่อมจะขอนำสืบพยานบุคคลว่าความจริงรับเงินไปเพียง 400,000 บาท ผิดแผกไปจากที่ปรากฏในเอกสารไม่ได้ เพราะเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94(ข) ทั้งกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามวรรคสองแต่อย่างใด ดังนั้น หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 500,000 บาท โดยไม่ต้องสืบพยาน (เทียบ ฎ. 108/2516 (ประชุมใหญ่))
สรุป หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 500,000 บาท โดยไม่ต้องสืบพยาน
หมายเหตุ ข้อเท็จจริงนี้จำเลยต่อสู้แต่เพียงว่าได้รับเงินไปเพียง 400,000 บาท ไม่ได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าอีก 100,000 บาท จำเลยยังไม่ได้รับอันจะทำให้สัญญากู้ไม่สมบูรณ์ซึ่งสามารถนำพยานบุคคลมานำสืบหักล้างเอกสารได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 วรรคท้าย (ฎ. 4674/2543 ฎ. 5348/2540)
ข้อ 2 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง โจทก์ประสงค์จะขอนำสืบพยานเอกสารจำนวน 50 รายการ และพยานบุคคลอีก 10 คน ปรากฏว่า หลังจากการยื่นบัญชีระบุพยาน โจทก์จัดทำรายการเอกสารขาดไป 15 รายการ และจำเป็นต้องสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก 5 คน อยากทราบว่าในกรณีนี้ โจทก์จะดำเนินการอย่างไร และมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยื่นบัญชีระบุพยานอย่างไรบ้าง จงอธิบาย (โจทก์ทราบเรื่องการจัดทำพยานไม่ครบหลังจากวันสืบพยาน 7 วัน)
ธงคำตอบ
มาตรา 88 วรรคแรกและวรรคสอง เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใดหรือคำเบิกความของพยานคนใด หรือมีความจำนงที่จะให้ศาลตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ หรืออ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง เพื่อเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้าง หรือข้อเถียงของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันซึ่งบัญชีระบุพยานโดยแสดงหรือสภาพของเอกสารที่จะอ้าง และรายชื่อที่อยู่ของบุคคล วัตถุ หรือสถานที่ซึ่งคู่ความฝ่ายนั้นระบุอ้างเป็นพยาน หรือขอให้ศาลไปตรวจ หรือขอให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญแล้วแต่กรณี พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอ เพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล
ถ้าคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงจะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ให้ยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและสำเนาบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมดังกล่าวได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันสืบพยาน
วินิจฉัย
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการยื่นบัญชีระบุพยานไว้ว่า ในการยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก ต้องยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน โดยยื่นพร้อมสำเนาบัญชีระบุพยานเพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล (ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคแรก)
และในส่วนการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ต้องยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันสืบพยาน โดยยื่นเป็นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม และสำเนาบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม (ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสอง)
เมื่อได้ความว่าภายหลังจากที่โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานในครั้งแรกแล้ว โจทก์จัดทำรายการเอกสารขาดไป 15 รายการ และมีความจำเป็นต้องสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก 5 คน ดังนั้น เมื่อโจทก์มีความประสงค์จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม และปรากฏว่ายังอยู่ภายในระยะ 15 วัน นับแต่วันสืบพยานโจทก์ โจทก์จึงชอบที่จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมโดยทำเป็นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและสำเนาบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสอง
สรุป เมื่อโจทก์มีความประสงค์จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม โจทก์ก็ชอบที่จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมโดยทำเป็นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและสำเนาบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องคดีอาญาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นอันตรายสาหัส จำเลยรับว่าทำร้ายร่างกายโจทก์จริง แต่เนื่องจากโจทก์มีอาวุธปืน และจำเลยอยู่ในภาวะคับขัน จำเลยจึงใช้มีดฟันเพื่อให้ตนเองปลอดภัย ดังนี้ คดีนี้ใครมีหน้าที่นำสืบอย่างไร และหากทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยาน ศาลจะพิพากษาคดีอย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 84 วรรคแรก ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง
มาตรา 15 วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้
มาตรา 227 ให้ศาลใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
วินิจฉัย
เนื่องจากในคดีอาญา ป.วิ.อ. ไม่ได้บัญญัติเรื่องหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ไว้ จึงอาศัย ป.วิ.อ. มาตรา 15 นำ ป.วิ.พ. มาตรา 84 (ปัจจุบันคือ มาตรา 84/1) มาใช้ กล่าวโดยสรุปคือ ในคดีอาญานั้น บุคคลทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาว่าเขาเป็นผู้กระทำความผิด (ป.วิ.อ. มาตรา 227) ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิด ถ้าจำเลยให้การปฏิเสธ หรือแม้จะไม่ให้การเลย หน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ย่อมตกอยู่แก่โจทก์ ยกเว้นใน 2 กรณี คือ
1 จำเลยให้การยอมรับตามฟ้องโจทก์ แต่อ้างเหตุยกเว้นโทษ
2 มีกฎหมายสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด ทั้งสองกรณีนี้ภาระการพิสูจน์ย่อมตกอยู่แก่จำเลย
การที่จำเลยรับว่าได้ทำร้ายร่างกายโจทก์จริง แต่เนื่องจากโจทก์มีอาวุธปืนและจำเลยอยู่ในภาวะคับขันจึงใช้มีดฟันเพื่อให้ตนเองปลอดภัย กรณีจึงเป็นการที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68 จำเลยไม่มีความผิด กรณีจึงเท่ากับว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบว่าจำเลยทำร้ายโจทก์โดยเจตนา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 84 (ปัจจุบันคือ มาตรา 84/1) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 (ฎ. 943/2508 ฎ. 2019/2514)
และหากทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยาน ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ เพราะการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 68 ถือว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด ทั้งนี้ เพราะการป้องกันเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย
สรุป โจทก์มีหน้าที่นำสืบ และหากทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยาน ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้
หมายเหตุ ป.วิ.อ. มาตรา 174 ไม่ใช่บทบัญญัติเรื่องหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ในคดีอาญา เป็นเพียงบทกำหนดหน้าที่นำสืบก่อนหรือกำหนดลำดับนำพยานเข้าสืบในคดีอาญาว่าโจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบก่อนเสมอ จะให้จำเลยนำสืบก่อนไม่ได้ (ฎ. 1217/2503) ส่วนหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ก็เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (ปัจจุบันคือมาตรา 84/1) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ดังที่กล่าวถึงข้างต้น (ฎ. 3146/2543)