การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2546
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน จำนวน 3 ข้อ
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่นา ส.ค.1 จากจำเลย อ้างว่าเป็นมรดกของปู่โจทก์ ซึ่งตกได้แก่โจทก์และจำเลยร่วมกัน และได้ครอบครองร่วมกันมา จำเลยให้การว่าปู่ของโจทก์ยกที่นาพิพาทให้แก่บิดาของจำเลยก่อนตาย จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาประมาณ 30 ปีแล้ว อีกทั้งโจทก์และบิดาโจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องด้วยเลย ดังนี้ให้นักศึกษาพิจารณาว่าคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างไรบ้าง และฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบ จงอธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน
ธงคำตอบ
มาตรา 84 วรรคแรก ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง
(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1369 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน
มาตรา 1372 สิทธิซึ่งผู้ครอบครองใช้ในทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสิทธิซึ่งผู้ครอบครองมีตามกฎหมาย
วินิจฉัย
ประเด็นข้อพิพาท หมายถึง ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท
การที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่พิพาทดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดถึงตน พร้อมกับขอแบ่งที่พิพาทดังกล่าว จึงเท่ากับว่า โจทก์กล่าวอ้างในฐานะที่ตนมีสิทธิในที่ดินมรดก และจากที่จำเลยให้การถึงการที่ได้รับที่นา และมีการครอบครองมาโดยตลอดเป็นเวลาประมาณ 30 ปี จึงเท่ากับว่า จำเลยปฏิเสธว่าที่พิพาทไม่ใช่มรดก ดังนี้ ประเด็นข้อพิพาทที่ว่า ที่นาพิพาทเป็นมรดกหรือไม่
สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (ปัจจุบันคือ มาตรา 84/1) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ที่นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า (ส.ค.1) และจำเลยครอบครองอยู่ กรณีเช่นนี้ จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1369 และมาตรา 1372 ที่บัญญัติว่า เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง เมื่อโจทก์กล่าวอ้างที่นา ส.ค.1 เป็นมรดก โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าที่นาพิพาทเป็นมรดกดังโจทก์อ้าง เพราะจำเลยให้การปฏิเสธ (ฎ. 376/2525 ฎ. 3059 – 3060/2516)
สรุป คดีมีประเด็นข้อพิพาท คือ ที่นาพิพาทดังกล่าวเป็นมรดกหรือไม่ และหน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์
หมายเหตุ กรณีที่จะปรับเข้าข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ได้นั้น เฉพาะกรณีที่พิพาทกันว่าใครมีสิทธิดีกว่ากันในที่ดินที่มีโฉนดหรือที่ดินที่มี น.ส. 3 หรือ น.ส.3 ก. เท่านั้น (ฏ. 3565/2538) ส่วนที่ดิน ส.ค.1 ไม่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 แต่ในกรณีเช่นนี้ถือว่าผู้ที่ครอบครองที่ดินอยู่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามมาตรา 1369 และ 1372 ที่ว่า ผู้ที่ยึดถืออยู่นั้นเป็นการยึดถือเพื่อตนและมีสิทธิครอบครอง (ฎ. 2550/2543)
ข้อ 2 โจทก์จำเลยพิพาทกันว่าที่งอกริมตลิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย การพิจารณาของศาลชั้นต้นได้สั่งให้มีการเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทดังกล่าว ในประเด็นที่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่พิพาท แล้ววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการเดินเผชิญสืบว่าที่พิพาทดังกล่าวไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของทั้งโจทก์และจำเลย แต่เป็นที่ชายเลนน้ำท่วมถึงจะเป็นที่ชายตลิ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง อยากทราบว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าววินิจฉัยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 86 เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ก็ดี หรือเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ แต่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้ศาลปฏิเสธไม่รับพยานหลักฐานนั้นไว้
เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดฟุ่มเฟือยเกินสมควร หรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวแก่ประเด็น ให้ศาลมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น หรือพยานหลักฐานอื่นต่อไป
เมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นการจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติม ให้ศาลทำการสืบพยานหลักฐานต่อไป ซึ่งอาจรวมทั้งการที่จะเรียกพยานที่สืบแล้วมาสืบใหม่ด้วย โดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ
มาตรา 87 ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่
(1) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ และ
(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 แต่ถ้าศาลเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การที่ศาลจะรับฟังพยานหลักฐาน กรณีย่อมจะต้องเป็นพยานหลักฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 86 และมาตรา 87 กล่าวคือ จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี หรือประเด็นข้อพิพาทและจะต้องเป็นข้อเท็จจริงตามข้ออ้างข้อเถียงในคำฟ้องหรือคำให้การ มิฉะนั้น ย่อมจะถือเป็นการนอกฟ้อง นอกคำให้การหรือนอกประเด็น
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าววินิจฉัยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์และจำเลยพิพาทกันดังกล่าว ประเด็นข้อพิพาทในคดีจึงมีเพียงว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยเท่านั้น ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งหรือไม่ ดังนั้นการที่ศาลพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากการเดินเผชิญสืบว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลย แล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน กรณีจึงถือเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 ที่ศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ชายตลิ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง นอกประเด็น คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎ. 3415/2535)
สรุป คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าววินิจฉัยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 3 แดงกู้เงินเขียวโดยแดงได้ทำหนังสือกู้เงินจำนวน 300,000 บาท ให้เขียว โดยที่เขียวมิได้ลงลายมือชื่อ คงมีแต่แดงผู้เดียวและมิได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ต่อกัน ต่อมาปรากฏว่าแดงลงทุนค้าขายขาดทุนมาก เขียวเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินกู้คืน จึงฟ้องแดงขอให้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน และขอนำเหลืองเป็นพยานบุคคลมาสืบให้เห็นว่าแดงเป็นผู้กู้เงินจากเขียวจริง ดังนี้อยากทราบว่าเขียวมีสิทธินำเหลืองเข้าสืบได้หรือไม่ และแดงจะต้องชำระหนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราเท่าใดหรือไม่ เพราะเหตุใดจงอธิบายพร้อมหลักกฎหมาย
ธงคำตอบ
มาตรา 94 เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น
มาตรา 653 วรรคแรก การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
วินิจฉัย
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคแรก กำหนดว่า การกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาท ขึ้นไปนั้น กฎหมายบังคับว่า ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด ซึ่งก็คือ ผู้กู้ เป็นสำคัญเท่านั้นจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ กฎหมายหาได้บัญญัติให้ผู้ให้กู้ลงลายมือชื่อด้วยแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น สัญญากู้ยืมเงินที่มีแดงผู้กู้แต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อ ย่อมถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคแรกแล้ว ย่อมฟ้องร้องบังคับคดีได้ (ฎ. 6930/2537) ส่วนในกรณีที่มิได้กำหนดวันชำระหนี้เงินกู้คืนไว้เขียวก็ย่อมมีสิทธิเรียกให้แดงทำการชำระหนี้ได้โดยพลัน นับแต่วันที่แดงผู้กู้ได้รับมอบเงินกู้จากเขียว (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคแรก) ส่วนดอกเบี้ยจากหนี้เงินกู้นั้น โดยหลักแล้ว เขียวจะเรียกดอกเบี้ยจากแดงไม่ได้เพราะคู่สัญญาไม่มีเจตนาจะเรียกดอกเบี้ยแก่กัน กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 7 ที่ว่า “ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน” ซึ่งหมายความเฉพาะกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันหรือมีเจตนาที่จะเรียกดอกเบี้ยจากกัน แต่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้เท่านั้น เขียวจึงเรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากแดงในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 7 ไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม การที่เขียวฟ้องแดงให้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย ถือว่าการฟ้องคดีต่อศาลเป็นการบอกกล่าวทวงถามไปในตัว กรณีนี้ถือว่าลูกหนี้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วในวันฟ้อง (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 204 วรรคแรก) เขียวจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีได้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคแรก (ฎ. 1137/2540)
ส่วนการที่เขียวขอนำเหลืองพยานบุคคลมาสืบอธิบายให้เห็นว่า เขียวได้มีการให้แดงกู้เงินตามสัญญากู้ ก็ไม่ถือเป็นการนำสืบเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารอันจะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94(ข) แต่อย่างใด เขียวจึงขอนำนายเหลืองพยานบุคคลมาสืบได้ (ฎ. 1302/2535)
สรุป เขียวมีสิทธินำเหลืองเข้าสืบได้ และแดงจะต้องชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคแรก
หมายเหตุ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ผู้จัดทำเห็นว่ายังมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่อีกหลายประการ จึงนำเสนอเพื่อประโยชน์แก่นักศึกษาโดยสังเขปดังนี้
1 เมื่อหลักฐานการกู้ยืมไม่ได้ระบุเวลาชำระหนี้ไว้ ถือเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ จะนำสืบพยานบุคคลว่ามีกำหนดเวลาชำระโดยตกลงให้ผ่อนชำระหนี้เป็นงวดๆ ไม่ได้ เป็นการสืบเพิ่มเติมข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94(ข) (ฎ. 1962/2525 ฎ. 1124/2511)
2 สัญญากู้ยืมไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ ต้องฟังว่าสัญญากู้ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้จะนำสืบพยานบุคคลไม่ได้ (ฎ. 9866/2544)
3 ถ้าสัญญากู้ยืมระบุว่าแดงกู้ยืมเงินของผู้ให้กู้ โดยมิได้ระบุชื่อเขียวว่าเป็นผู้ให้กู้ เขียวนำพยานบุคคลมาสืบ อธิบายให้เห็นว่าเขียวเป็นผู้ให้แดงกู้ยืมเงินได้ ไม่เป็นการสืบเพิ่มเติมเอกสารตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94(ข) (ฎ. 1302/2535)