RAM1112 ภาษาและวัฒนธรรมอังกฤษ
การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2567
Part I: Language Focus
Direction: Choose the best answer.
1. Sam _________ start a new project next month.
1. is going to 2. shall
3. had 4. has
ตอบ 1
ถามการใช้รูปอนาคต Future Simple Tense = will + V1 = will graduate แสดงเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต มักจะมีคำบอกเวลาเช่น tomorrow, soon, tonight, next (year/week/month), in + เวลา เช่น in (half an hour, a few minutes) เป็นต้น ถ้าในตัวเลือกไม่มีให้ใช้ be going to + V1 (กำลังจะ) แทนอนาคตได้ โดย be going to ใช้ในกรณีที่เป็นเรื่องที่วางแผนหรือตั้งใจที่จะทำ ก่อนที่จะมาบอกกล่าวกัน ณ ตอนนี้ และใช้ในการคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยมีสถานการณ์แวดล้อมประกอบ ซึ่งได้ตัดสินใจว่าจะทำในอนาคต เทียบตัวอย่าง
1. The train will come soon. (มีคำบอกเวลา soon ในไม่ช้าใช้อนาคต will come)
2. We are going to have fun at the party. (พวกเราจะไปสนุกกันในงานปาร์ตี้ใช้ are going to)
ตัวอย่างล่างนี้เทียบคล้ายกับโจทย์ให้มา
– Sam is going to start a new project next month. จะเห็นท้ายโจทย์มีคำบอกเวลา next month (เดือนหน้า) เป็นอนาคต ให้ตอบ will start (สำหรับตัวเลือก shall ไม่นิยมใช้กับชื่อคนบุคคลที่ 3 แต่ shall นิยมใช้กับประธานเช่น I, shall) ดังนั้นจึงตอบ is going to + V1 (start) แทนได้เลย
2. Jane forgot her pencil, so I _________ give her one.
1. are going to 2. would be
3. will 4. may be
ตอบ 3
ถามเกี่ยวกับการใช้กริยาช่วย เพื่อแสดงความตั้งใจหรือการตัดสินใจในสถานการณ์ปัจจุบัน
1. are going to ผิดเพราะประธาน “I” ควรใช้ am going to
2. would be ส่วนใหญ่ใช้กับโครงสร้างเช่น การใช้ “If” ที่บอกเงื่อนไข
3. will ถูกต้องแสดงเจตนาในขณะพูดหรือตัดสินใจ ณ ตอนนั้น เช่น “เจนลืมดินสอ ดังนั้นฉันจะให้เธอหนึ่งแท่ง” จึงตอบ will give
4. may be “อาจจะเป็น” ไม่ใช้โครงสร้างที่จะมาต่อกับกริยา give เพราะหลัง be ปกติจะตามด้วย be + V3 แต่จะตามด้วย give (V1) ไม่ถูกต้อง
3. Sorry, I can’t join you. I _________ watch a movie with my sister.
1. should be 2. could be
3. would be 4. am going to
ตอบ 4
จากโจทย์เป็นเหตุการณ์ที่พูดในปัจจุบันและบอกแผนในอนาคต ว่า “ขอโทษนะ ฉันไปร่วมด้วยไม่ได้ ฉัน______ดูหนังกับน้องสาว) ซึ่งใช้ am going to แทนอนาคตได้จากที่อธิบายในข้อ 1 ที่ผ่านมา
1. should be “ควรจะ” แสดงการแนะนำ ไม่ได้วางแผน
2. could be “อาจจะเป็นไปได้” ไม่เข้ากับโจทย์
3. would be มักใช้ในเงื่อนไขเช่น เรื่อง “If”
4. We _________ play soccer tomorrow afternoon.
1. could be 2. would be
3. are going to 4. is going to
ตอบ 3
ดูคำอธิบายข้อ 1 ประกอบ มีคำบอกเวลาอนาคต tomorrow afternoon (พรุ่งนี้บ่าย) จึงตอบ will be ไม่มีก็ตอบ are going to ได้เลย (ประธาน We ใช้กริยา are)
5. _________ shoes that match your outfit perfectly.
1. Select 2. To select
3. Selected 4. Selecting
ตอบ 1
จำออกสอบแบบนี้จะออกข้อสอบมา 1 ข้อทุกเทอม ให้สังเกตให้ตอบขึ้นต้นประโยค ให้ตอบเป็นกริยาช่องที่ 1 เป็นประโยคคำสั่ง ขอร้อง ตักเตือน แนะนำ ชักชวน ซึ่งเราส่วนที่ตามมาจะไม่มีกริยาเลย เพราะต้องการให้เราต้องขึ้นต้นประโยคเป็นกริยาช่องที่ 1 เทียบดูตัวอย่างอื่น เช่น
– Stop crying. (หยุดร้องไห้นะ)
– Water this plant twice a week. (รดน้ำต้นไม้นี้สัปดาห์ละสองครั้งนะ) water โจทย์นี้ใช้เป็นคำกริยา
– Sit down (นั่งลง)
– Select shoes that match your outfit perfectly. โดย Select เป็นกริยาแท้ในรูปคำสั่ง ว่า “เลือก” (เลือกรองเท้าที่เข้ากับชุดของคุณอย่างสมบูรณ์แบบ
6. You d’ better _________ early if you want to catch the bus.
1. leave 2. to leave
3. left 4. leaving
ตอบ 1
กลุ่มคำที่ให้คำแนะนำ ให้ตามด้วยกริยาช่องที่ 1 ได้แก่
(had better ตัวย่อ ‘d better / would rather ตัวย่อ ‘d rather / should / ought to) + V1
จากโจทย์ ‘d better มาจาก had better ตอบด้วยกริยาช่องที่ 1 จึงตอบ leave
7. Why don’t you _________ your friends to the picnic tomorrow?
1. invite 2. to invite
3. invited 4. inviting
ตอบ 1
เป็นประโยคคำถาม? รูปแบบคำถามต้องดูว่าโจทย์ให้อะไรมา สำหรับข้อนี้มีกริยาช่วย Verb to do (do, does, did หรือตัวย่อ don’t รูปปฏิเสธ) ยกมาไว้หน้าประธานแล้ว กริยาเมื่อใช้ Verb to do มาช่วยแล้วให้ตามด้วยกริยาช่องที่ 1 เสมอ นั่นคือ ตัวเลือกที่ 1 invite (V1) ดูตัวอย่างรูปแบบการทำประโยคคำถามที่ใช้ Verb to be, Verb to do, Verb to have, หรือกริยาช่วยต่าง ๆ เพิ่มเติม
– Is Tom busy? ถ้าใช้ Is กริยาตามด้วยคุณศัพท์ (busy) ส่วนขยายหรือคำนามได้
– Does John play bridge? ใช้ Does แล้วตามด้วยกริยาช่องที่ 1 เสมอก็คือ play ไว้หลังประธาน
– Don’t you hear the bell? ใช้ Don’t แล้วตามด้วยกริยาช่องที่ 1 คือ hear เทียบข้อนี้เช่นกันเมื่อใช้ don’t ตามด้วย V1 คือ explore
– Haven’t we met each other before? ถ้าใช้ Haven’t ตามด้วยกริยาช่องที่ 3 คือ met (V3)
– Can you swim? ถ้าใช้ Can ตามด้วยกริยาช่องที่ 1 คือ swim เป็นต้น
– Why don’t you invite your friends to the picnic tomorrow? (ออกทุกเทอมรูปแบบนี้ตอบ V1)
8. How about _________ dinner together after work?
1. cook 2. to cook
3. cooked 4. cooking
ตอบ 4
การขึ้นต้นด้วย How about….? (เป็นอย่างไร) ใช้กับการแนะนะ ถามความคิดเห็นหรือให้ข้อเสนอแนะบางอย่าง ขึ้นต้นด้วย How about + Ving..? หรือ How about + ส่วนขยาย? เทียบตัวอย่าง
– How about going out for lunch? (เราออกไปทานอาหารกลางวันกันดีไหม?)
– How about watching Frozen 2 tonight? (คืนนี้เราไปดูโพรเซ่น 2 กันมั้ย?)
– How about a movie? (ไปดูหนังกันดีมั้ย?)
สรุปขึ้นต้นด้วย How about ตอบตามด้วย Ving ก็คือ cooking
9. Which of the following is a simple sentence?
1. When the sun sets, we light the candles.
2. She enjoys painting in her free time.
3. They danced, and we clapped.
4. I washed the dishes, but he didn’t clean the floor.
ตอบ 2
วิธีง่าย ๆ ในการดูโครงสร้างประโยคใจความเดียว ดังนี้
1. Simple Sentence คือ ประโยคใจความเดียว คือ เจอประธานตัวเดียวกริยาตัวเดียว
2. Compound Sentence คือ ประโยคความรวม มีสองประโยคมาเชื่อมเข้าด้วยกันโดยใช้คำเชื่อมเช่น and, but, or, so, nor, yet
3. Complex Sentence คือ ประโยคความซ้อน ที่มีอนุประโยคตั้งแต่ 2 ประโยคหรือมากกว่านั้นมารวมกัน หรือวิธีสังเกตง่าย ๆ เราเจอคำเชื่อม เช่น because, however, therefore, before, after, until, furthermore, in addition to, although, when, who, which, where, what, whose, how, that เป็นต้น
ข้อ 1. มี When แสดงว่าเป็นประโยคความซ้อน (complex sentence)
ข้อ 2. มีประธานคือ She และมีกริยาแท้ตัวเดียวคือ enjoys ตามด้วยส่วนขยาย เป็น simple sentence
ข้อ 3. มีคำเชื่อม and เป็นประโยคความรวม (compound sentence)
ข้อ 4. มีคำเชื่อม but เป็นประโยคความรวม (compound sentence)
10. Which of the following is a compound sentence?
1. I visited my cousin last weekend.
2. He tried his best because he wanted to win.
3. She studied hard, and she passed the test.
4. They walked home when the bus didn’t come.
ตอบ 3
ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ ข้อ 1. เป็นประโยคใจความเดียว
ข้อ 2. มีคำเชื่อม because แสดงเหตุและผล เป็นประโยคความซ้อน
ข้อ 3. มีคำเชื่อม and เป็นประโยคความรวม compound sentence
ข้อ 4. มีคำเชื่อม when เป็นประโยคความซ้อน
11. Which of the following is a complex sentence?
1. Mike and Joe cleaned the house.
2. They played cards, and we watched a movie.
3. I called her, but she didn’t answer.
4. I took a nap after I finished my homework.
ตอบ 4
ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ
ข้อ 1. เป็นประโยคใจความเดียวประธานเป็นพหูพจน์สองคน (Mike and Joe) มีกริยาตัวเดียวคือ cleaned
ข้อ 2. มีคำเชื่อม and เป็นประโยคความรวม
ข้อ 3. มีคำเชื่อม but เป็นประโยคความรวม
ข้อ 4. มีคำเชื่อม after เป็นประโยคความซ้อน (complex sentence) หากเราเห็นประโยคที่มีคำเชื่อมบอกลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง (before, after, when, while, where, who, whose, which, because, although, however ล้วนเป็นประโยคความซ้อน
12. Which of the following is NOT a simple sentence?
1. He reads books every night.
2. Emma plays piano.
3. John cleaned the room, and Lisa cooked dinner.
4. They bake cookies during holidays.
ตอบ 3
ข้อ 1. มีประธาน He และกริยาตัวเดียวคือ reads เป็น simple sentence
ข้อ 2. มีประธาน Emma และมีกริยาตัวเดียวคือ plays เป็น simple sentence
ข้อ 3. มีคำเชื่อม “and” และมีสองประโยค จึงไม่ใช่ประโยคใจความเดียว
ข้อ 4. มีประธาน They และกริยาตัวเดียวคือ bake จึงเป็น simple sentence
13. That was the _________ movie I’ve ever seen.
1. entertaining
2. more entertaining
3. most entertaining
4. entertainest
ตอบ 3
เป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ (Adj.) ซึ่งมี 3 ขั้น ดังนี้
1. ขั้นธรรมดาเปรียบเทียบเท่ากัน ใช้ as ………as ไม่เท่ากันใส่ not เป็น not as/so………as
2. ขั้นกว่า เปรียบเทียบ 2 อย่าง 2 คน 2 สิ่ง หรือ เจอ than ตอบขั้นกว่าได้เลย
3. ขั้นสุด เปรียบเทียบ 3 อย่างหรือมากกว่า 3 ขึ้นไป อาจเจอคำว่า of all, in + สถานที่ ที่สุดในนั้น อาจเดาจากโจทย์มักมี “the” อยู่ก่อนให้เติมในช่องว่าง เช่นมีคำว่า I’ve ever seen = เท่าที่เคยเห็นมา, in the world = ในโลก, of my life = ตลอดชีวิตของฉัน เป็นต้น ให้ตอบขั้นสุดได้เลย ออกสอบหลายข้อสำหรับขั้นสุด อย่างโจทย์ข้อนี้มี I’ve ever seen หรือ ข้างหน้าให้เติมมี “the” แสดงว่าตอบขั้นสุด แล้วดูตัวเลือก ว่าให้คุณศัพท์ตัวไหนมา ต้องผันให้ถูกต้องด้วย ตัวเดิมคือ entertaining มี 4 พยางค์ให้ใส่ most นำหน้าคุณศัพท์นั้น จึงเป็น the most entertaining
14. Jake is the _________ player on the team.
1. good 2. better
3. best 4. bestest
ตอบ 3
สังเกตว่ามี “the” และคำว่า on the team = …ในทีม แสดงว่าตอบขั้นสุดและดูคำเดิมให้มาคือ good คำนี้ทำเป็นขั้นกว่า ขั้นสุดจะเปลี่ยนรูป ดังนี้ (ตารางเปรียบเทียบ good-better-best / bad-worse-worst / much-more-most / little-less-least / far-farther-farthest) ฉะนั้นจาก good เป็นขั้นสุดคือ best จึงตอบ the best
15. Mount Everest is the _________ mountain in the world.
1. high 2. higher
3. highest 4. most high
ตอบ 3
เดาได้เลยมี “the” มีคำว่า in the world = … ในโลก ตอบขั้นสุด และคำเดิมคือ high เป็นพยางค์เดียว ทำเป็นขั้นสุด ใส่ -est ท้ายคำ จึงตอบเป็น the highest
16. Daniel told _________ joke I’ve ever heard.
1. the funnier 2. the funniest
3. the more funny 4. the most funny
ตอบ 2
มีคำว่า I’ve ever heard = เท่าที่ฉันเคยได้ยินมา ส่วน “the” ให้ตอบในตัวเลือก คำเดิมคือ funny ทำเป็นขั้นสุดต้องเปลี่ยน y เป็น -i ก่อนแล้วจึงใส่ -est จึงเป็น the funniest
17. The students were _________ when they found out the exam was postponed.
1. surprising 2. surprised
3. surprise 4. surprisingly
ตอบ 2
ถามการใช้คุณศัพท์ (Adjective) ซึ่งทำหน้าที่หลัก 2 อย่าง คือ ตามหลัง Verb to be และนำหน้าคำนามที่ขยาย สำหรับข้อนี้ให้ตามหลัง was (ก็คือ verb to be) จึงตอบรูปคุณศัพท์ และรูปคุณศัพท์มี 2 รูปแบบคือลงท้ายด้วย -ed และ -ing มีหลักให้ดูง่ายดังนี้
– adj. ลงท้ายด้วย -ing มักใช้กับ สิ่งไม่มีชีวิตหรือสิ่งของ “น่าจะ”
– ad. ลงท้ายด้วย -ed มักใช้กับ สิ่งมีชีวิต แสดง “รู้สึก”
(ตัวอย่างในตาราง: interest -> interesting/interested, bore -> boring/bored, etc.)
เช่น – This book is interesting. It is interesting book. (หนังสือน่าสนใจ เป็นหนังสือที่น่าสนใจ)
– I am interested in this book (ฉันรู้สึกสนใจประธานเป็นคน ใช้รูป -ed)
ข้อนี้ประธานเป็นคน The students (นักศึกษา) ใช้แสดงรู้สึก จึงตอบ “surprised”
18. That book is so _________! I couldn’t stop laughing.
1. amused 2. amuse
3. amusedly 4. amusing
ตอบ 4
ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ ประธานเป็นสิ่งของ (That book = หนังสือ) จึงตอบ amusing
19. The trip to Australia was _________ . We had so much fun!
1. excite 2. excitedly
3. excited 4. exciting
ตอบ 4
ประธานเป็นสิ่งของ (The trip .. = การเดินทางไปออสเตรเลีย) น่าตื่นเต้น จึงลงท้าย -ing
20. Kate was so _________ after studying all night.
1. tire 2. tiring
3. tired 4. tiredly
ตอบ 3
ประธานเป็นคน Kate รู้สึกเหนื่อย จึงตอบลงท้าย -ed คือ tired
21. The book _________ she recommended was really inspiring.
1. who 2. which
3. where 4. whose
ตอบ 2
ให้เติมประพันธ์สรรพนาม โดยให้สังเกตจากข้างหน้าคำที่ให้เติมช่องว่างว่าเป็นคนหรือสิ่งของ หรือสถานที่ เราดูคำนามข้างหน้าก่อนว่าเป็นอะไร ถ้าเป็น
– คน who + verb (คำกริยา) ในที่นี้คือ plays
– คน whose + คำนาม + V
– คน whom + S + Verb คำว่า S มักเป็นคำสรรพนามเช่น I saw, you met
– สิ่งของ which + Verb หรือ which + S + V.
– สถานที่ where + S + V. เช่น where I live
– เวลา when + S + V
– the reason why + S + V
ประธาน The book (หนังสือ เป็นสิ่งของ) ตอบ which ใช้แทนสิ่งของได้เลย
22. The day _________ we left for Paris was very cold.
1. whose 2. where
3. when 4. who
ตอบ 3
ประธานเป็น The day เกี่ยวกับวัน เวลา เดือน ปี ตอบ when
23. The girl _________ cat disappeared was very upset.
1. when 2. whose
3. who 4. where
ตอบ 2
ประธาน The girl (เด็กผู้หญิง เป็นคน) ใช้ who, whom, whose และดูข้างหลังให้คำนามมาคือ cat (แมว เป็นคำนาม) จึงตอบ whose เพราะ whose + คำนามเสมอ แสดงความเป็นเจ้าของว่าแมวของเด็กผู้หญิง
24. The teacher _________ gave the lecture is an expert in history.
1. whose 2. which
3. where 4. who
ตอบ 4
ประธาน The teacher (ครู เป็นคน) และส่วนหลังเป็นคำกริยา (gave มาจาก give) จึงตอบ who ได้เลย เพราะ who + กริยาเสมอ
25. That novel was _________ by many critics last year.
1. praise 2. praises
3. praised 4. praising
ตอบ 3
ถามเรื่อง passive voice (รูปถูกกระทำ) ให้สังเกตอันดับแรกจากประธานมักเป็นสิ่งของซึ่งจะถูกกระทำ หรืออีกจุดหนึ่งก็คือท้ายประโยคอาจมีคำว่า by (โดย…..) แสดงว่าถูกกระทำ ให้ใช้รูปที่ต้องลงท้ายด้วยกริยาช่องที่ 3 (V3) เสมอ ถ้าลงท้ายด้วย V1 หรือ Ving ผิดแน่ ๆ โดยประโยคเริ่มแรกมาจาก Active Voice ประธานเป็นผู้แสดงอาการกระทำ เช่นดูตัวอย่าง
– The student returns the book to the library. เมื่อเป็นถูกกระทำยกกรรมมาเป็นประธานและกริยาจะอยู่ในรูป verb to be + V3 และตามด้วย by + กรรม (ที่มาจากประธาน) งง!! ไหม ดูกการกลับประโยคนะ
– The book is returned to the library by the student. ซึ่งเดิมมาจากกริยาช่องที่ 1
ข้อนี้เช่นกันประธาน That novel (นวนิยาย) และมี by แสดงว่าตอบ verb to be (ให้มา was แล้ว) ก็ตอบแค่กริยาช่องที่ 3 คือ praised
26. The email was _________ by the assistant in the morning.
1. send 2. sends
3. sent 4. sending
ตอบ 3
ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ ประธาน The email (อีเมล์เป็นสิ่งของ) ตอบถูกกระทำ was + V3 = sent (มาจากกริยา send sent sent = ส่ง)
27. Customers _________ politely when they have complaints.
1. is handled 2. was handled
3. are handled 4. handled
ตอบ 3
จากข้อ 25. ประกอบ ประธานเป็นสิ่งของตอบถูกกระทำ แต่ข้อนี้ประธานเป็นคน ก็สามารถถูกกระทำได้เช่นกัน เช่น ถูกปฏิบัติ ถูกให้ (ได้รับ) เป็นต้น สำหรับข้อนี้ประธาน Customers (ลูกค้า)…อย่างสุภาพเมื่อพวกเขามีข้อร้องเรียน)
ข้อ 1. ผิด ใช้กับประธาน Customers เป็นพหูพจน์ต้อง are หรือ were
ข้อ 2. ผิด กริยา was เอกพจน์แต่ประธานเป็นพหูพจน์
ข้อ 3. ถูกต้อง เป็นรูปถูกกระทำ verb to be + V3 = are handled
ข้อ 4. handled เป็นกริยา V2 /V3 ไม่มี verb to be ข้างหน้าจึงผิดโครงสร้าง
28. The concert _________ due to heavy rain.
1. canceled 2. was canceled
3. are canceled 4. were canceled
ตอบ 2
ประธานสิ่งของ (คอนเสิร์ต) ถูกยกเลิกใช้ และประธานเป็นเอกพจน์ จึงใช้ was + V3 = was canceled
29. John _________ to the gym twice a week.
1. go 2. goes
3. have gone 4. are going
ตอบ 2
Present Simple Tense (S + V1) แสดงเหตุการณ์ที่ทำเป็นนิสัย เกิดขึ้นประจำ สม่ำเสมอ ทุกวัน มักมีคำบอกเวลา เช่น usually, always, often, sometimes, normally, whenever, every + ช่วงเวลา เช่น every day, every month, twice a week = สัปดาห์ละสองครั้ง ทำเป็นประจำ จึงตอบกริยาช่องที่ 1 เอกพจน์เพราะประธาน John คนเดียว = goes
30. I usually _________ lunch at noon.
1. has 2. have
3. has had 4. am having
ตอบ 2
ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ มีคำบอกเวลา usually จึงตอบ Present Simple Tense (V1) กับประธาน I ใช้กริยา have
31. Tom often _________ his homework at school.
1. forgets 2. forget
3. were forgetting 4. had been forgotten
ตอบ 1
มีคำบอกเวลา often (บ่อย) จึงตอบ Present Simple Tense (V1) = forgets เอกพจน์
32. The bus _________ at the station every 15 minutes.
1. arrive 2. arrives
3. were arriving 4. have arrived
ตอบ 2
มีคำบอกเวลา every 15 minutes (ทุก 15 นาที) เป็นประจำ ตอบ V1 = arrives เอกพจน์
33. Robin and I _________ hiking in the mountains on holidays.
1. go 2. goes
3. play 4. plays
ตอบ 1
มีคำบอกเวลา on holidays (ทุกวันหยุด) เป็นประจำ ตอบ V1 = go ประธานพหูพจน์
34. Tim and Jessica _________ badminton at the sports center.
1. do 2. does
3. play 4. plays
ตอบ 3
การใช้คำกริยา play, do, go ต่างกัน โดยกริยา play ใช้กับการเล่นกีฬา เกมส์หรือการแข่งขัน ส่วน do ใช้ทำเพื่อพักผ่อนหย่อนใจหรือกิจกรรมส่วนตัวอื่น และ go ใช้สำหรับกิจกรรมที่ลงท้ายด้วย -ing เทียบตัวอย่าง
– They play football.
– Jen enjoys playing basketball with her friends. (เล่นบาสเก็ตบอล)
– I do exercise. (ฉันออกกำลังกาย)
– Does Kate do yoga? (เคทเล่นโยคะมั้ย?)
– We usually go running on Sunday. (พวกเราปกติไปวิ่งวันอาทิตย์)
ข้อนี้ตอบ play badminton ใช้ play กับการเล่นกีฬา และประธานเป็นพหูพจน์
35. Barbara _________ yoga in the mornings.
1. plays 2. does
3. do 4. goes
ตอบ 2
ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ การเล่นโยคะ ใช้ verb to do (do, does) และประธานคนเดียว เอกพจน์ จึงตอบ does
36. Tom and Mary _________ cycling in the park.
1. do 2. go
3. play 4. plays
ตอบ 2
ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ ใช้ go กับกีฬาหรือกิจกรรมที่ลงท้ายด้วย -ing เช่น cycling, swimming, jogging โดย go cycling = ไปปั่นจักรยาน
37. I _________ a gift to my cousin last week.
1. give 2. gives
3. gave 4. giving
ตอบ 3
ใช้ Past Simple Tense (S + V2) แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต มักมีคำบอกเวลาเช่น yesterday, ago, last + ช่วงเวลา เช่น last year, last night เป็นต้น อย่างข้อนี้มี last week (สัปดาห์ที่แล้ว) จึงตอบ กริยาช่องที่ 2 คือ gave (มาจากกริยา give gave given)
38. Mark _________ his driving test last month.
1. pass 2. passes
3. passed 4. passing
ตอบ 3
ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ มีคำบอกเวลา last month (เดือนที่แล้ว) จึงตอบ V2 = passed
39. Anna and Lucy _________ a road trip in 2011.
1. taken 2. took
3. takes 4. taking
ตอบ 2
ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ มีคำบอกเวลา ปี 2011 ถือเป็นอดีตแล้ว ปัจจุบัน ปี 2025 ดังนั้นจึงตอบ กริยาช่องที่ 2 = took (มาจาก take took taken)
40. The manager _________ the schedule two days ago.
1. change 2. changes
3. changed 4. changing
ตอบ 3
มีคำบอกเวลาอดีตคือ two days ago (เมื่อสองวันที่แล้ว) จึงตอบ V2 = changed
——————————————————————————–
Part II: Vocabulary (คำศัพท์)
Directions: Choose the best answer.
——————————————————————————–
41. Thomas tried to _________ a machine that makes food.
1. pack 2. invent
3. disturb 4. relax
โจทย์ โทมัสพยายามประดิษฐ์เครื่องจักรที่ทำอาหารได้
1. แพ็ค/บรรจุ 2. ประดิษฐ์ คิดค้น 3. รบกวน 4. ผ่อนคลาย
ตอบ 2 กริยาในช่องว่างต้องแปลว่า “สร้าง/ประดิษฐ์” เครื่องจักรบางอย่าง จึงตอบ invent
42. John and Bob were _________ because they skipped lunch.
1. religious 2. fashionable
3. serene 4. ravenous
โจทย์ จอห์นและบ๊อบ หิวโซ เพราะพวกเขาข้ามมื้อกลางวัน
1. เคร่งศาสนา 2. ทันสมัย 3. สงบ เยือกเย็น 4. หิวมาก หิวโหย
ตอบ 4 “they skipped lunch” (ไม่ได้กินมื้อเที่ยง) แสดงว่าเป็นอารมณ์หรือสภาพที่เกี่ยวกับความหิวมาก จึงตอบ ravenous = หิวจัด
43. We followed the _________ to make cookies.
1. recipe 2. scholarship
3. beanie 4. weather
โจทย์ พวกเราทำตามสูตรเพื่ออบคุกกี้
1. สูตรอาหาร 2. ทุนการศึกษา 3. หมวกไหมพรม 4. สภาพอากาศ
ตอบ 1 คาดเดาจากโจทย์มีคำว่าทำอาหารหรือขนมอย่าง “คุกกี้” เราจะทำตามสูตร (recipe)
44. Kate _________ the salad with some dressing.
1. embarked 2. complained
3. tossed 4. implemented
โจทย์ เคทคลุกสลัดกับน้ำสลัดเล็กน้อย
1. เริ่มต้น (ใช้กับการเริ่มโครงการหรือการเดินทาง) 2. บ่น
3. คลุก, เขย่า, โยนเบา ๆ 4. ดำเนินการ, นำไปใช้
ตอบ 3 ในโจทย์มีการเตรียมสลัด การใส่น้ำสลัดและคนให้เข้ากันจะใช้คำว่า “toss” แปลว่า “คลุก” หรือ “โยนเบา ๆ” เพื่อให้เข้ากัน
45. The class trip is _________ — you don’t have to go.
1. mild 2. demure
3. optional 4. restrictive
โจทย์ ทัศนศึกษาของห้องเรียนนี้ไม่บังคับ — เธอไม่จำเป็นต้องไปก็ได้
1. อ่อน เบา 2. เรียบร้อย สงบเสงี่ยม 3. ไม่บังคับ เลือกได้ 4. จำกัด , เข้มงวด
ตอบ 3 จากบริบท “you don’t have to go” หมายถึง เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น /แล้วแต่สมัครใจ คำศัพท์ที่แปลว่า “ไม่บังคับ” คือ optional
46. Cultural _________ are those who prefer multiple and more cultural objects than others do.
1. spectacles 2. referees
3. omnivores 4. portraits
โจทย์ ผู้บริโภควัฒนธรรมหลากหลาย คือ ผู้ที่ชื่นชอบวัตถุทางวัฒนธรรมหลากหลายและมากกว่าคนทั่วไป
1. การแสดง 2. กรรมการตัดสิน 3. ผู้บริโภคหลากหลาย 4. ภาพเหมือน
ตอบ 3 ผู้ที่ชื่นชอบ “หลายรูปแบบของวัฒนธรรม” หรือ “เสพวัฒนธรรมหลายประเภท” เรียกว่า cultural omnivores คำว่า omnivore ผู้ที่กินทุกอย่าง
47. Memory and attention are examples of _________ abilities.
1. separate 2. cognitive
3. productive 4. ravenous
โจทย์ ความจำและความสนใจเป็นตัวอย่างของความสามารถด้านการรู้คิด
1. แยกจากกัน 2. เกี่ยวกับการรู้คิด 3. ที่ก่อให้เกิดผลผลิต 4. หิวโซ
ตอบ 2 “memory” (ความจำ) และ “attention” (ความสนใจ) เป็นหน้าที่ของสมองที่เกี่ยวกับการรับรู้ คิด และการประมวลผลข้อมูล ความสามารถแบบนี้เรียกว่า “cognitive abilities” = ความสามารถด้านการรู้คิด
48. It can be difficult to _________ up a conversation with a complete stranger.
1. deal 2. strike
3. resort 4. figure
โจทย์ มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะเริ่มต้นการสนทนากับคนแปลกหน้าสนิทเลย
1. จัดการ รับมือ 2. เริ่มต้น 3. หันไปใช้ 4. คิดออก คำนวณ
ตอบ 2 สำนวนที่ใช้ว้า “strike up a conversation” แปลว่า เริ่มต้นการสนทนา จึงตอบ strike
49. Jane was late again, and her _________ was that the bus didn’t come.
1. treating 2. difference
3. religious 4. excuse
โจทย์ เจนมาสายอีกแล้ว และข้อแก้ตัวของเธอก็คือรถเมล์ไม่มา
1. การรักษา/การปฏิบัติ 2. ความแตกต่าง 3. เกี่ยวกับศาสนา 4. ข้อแก้ตัว/ข้ออ้าง
ตอบ 4 ในบริบทนี้ กำลังพูดถึง เหตุผลที่เจนใช้เพื่ออธิบายว่าทำไมถึงมาสาย คำที่เหมาะสมที่สุด คือ “excuse” ซึ่งหมายถึง “ข้อแก้ตัว” หรือ “ข้ออ้าง”
50. Tom carried a heavy _________ of books to school.
1. event 2. success
3. load 4. way
โจทย์ ทอมแบกหนังสือหนักจำนวนมากไปโรงเรียน
1. เหตุการณ์ 2. ความสำเร็จ 3. ภาระ, ของที่แบก 4. ทาง, เส้นทาง
ตอบ 3 จากคำว่า “heavy” (หนัก) และ “of books” (ของหนังสือ) ซึ่งต้องการคำนามที่หมายถึง “ปริมาณ/ น้ำหนักของสิ่งของ” คำที่เหมาะที่สุดคือ load แปลว่า ของหนักที่บรรทุกหรือแบก
51. Use your common _________ when you drive.
1. sense 2. tradition
3. region 4. pardon
โจทย์ ใช้สามัญสำนึกของคุณเวลาขับรถนะ
1. ความรู้สึก, สำนึก 2. ขนบธรรมเนียม 3. ภูมิภาค 4. การให้อภัย
ตอบ 1 “common sense” = สามัญสำนึก หรือ เหตุผลพื้นฐาน ที่ควรมีในการตัดสินใจ เช่น ขับรถอย่างมีสติ
52. Math and English are _________ subjects in school.
1. true 2. occasional
3. core 4. detrimental
โจทย์ วิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษเป็นวิชาหลักในโรงเรียน
1. จริง 2. บางครั้งบางคราว 3. หลัก, ศูนย์กลาง, สำคัญ 4. เป็นอันตราย
ตอบ 3 Math และ English เป็นวิชาหลักที่ทุกคนต้องเรียน ใช้คำว่า core ซึ่งแปลว่า “หลัก/แกน”
53. John’s _________ with video games affects his schoolwork.
1. lesson 2. portion
3. fixation 4. metaphor
โจทย์ ความหมกมุ่นของจอห์นกับวิดีโอเกมส่งผลต่อการเรียนของเขา
1. บทเรียน 2. ส่วน, ปริมาณ 3. ความหมกมุ่น, การยึดติด 4. คำอุปมาอุปมัย
ตอบ 3 ประโยคต้องการคำที่แสดงว่า “John สนใจหรือหมกมุ่นกับวิดีโอเกมมากจนมีผลเสียต่อการเรียน” คำที่เหมาะสมที่สุดคือ fixation = ความหมกมุ่น / ยึดติดทางจิตใจ
54. Laura eats _________ sweets and now has a toothache.
1. difficult 2. productive
3. excessive 4. fashionable
โจทย์ ลอร่ากินขนมหวานมากเกินไปและตอนนี้ก็ปวดฟันแล้ว
1. ยาก 2. ก่อให้เกิดผลผลิต 3. มากเกินไป 4. ทันสมัย
ตอบ 3 ในประโยคต้องการคำที่บ่งบอกว่า ลอร่ากินขนมหวานมากเกินไป จนเกิดผลเสีย (ปวดฟัน) คำที่เหมาะที่สุดคือ excessive = มากเกินไป
55. Meditation is great for emotional _________
1. salute 2. incident
3. deviation 4. wellbeing
โจทย์ การทำสมาธิส่งผลดีต่อสุขภาพทางอารมณ์
1. การคำนับ 2. เหตุการณ์ 3. การเบี่ยงเบน 4. สุขภาพกายและใจที่ดี
ตอบ 4 คำที่ต้องการคือคำนามที่สื่อถึง สุขภาวะทางอารมณ์ หรือ สภาพจิตใจที่ดี คำที่เหมาะที่สุดคือ wellbeing = สุขภาวะ ความเป็นอยู่ที่ดี
56. The oven _________ must be 180 degrees.
1. chant 2. moment
3. weather 4. temperature
โจทย์ อุณหภูมิของเตาอบต้องอยู่ที่ 180 องศา
1. การสวด 2. ช่วงเวลา 3. สภาพอากาศ 4. อุณหภูมิ
ตอบ 4 เมื่อพูดถึง “180 องศา” ต้องการคำที่เกี่ยวกับ อุณหภูมิ นั่นตรงกับคำว่า temperature
57. Tom had to _________ the house during the flood.
1. deserve 2. reprimand
3. abandon 4. offend
โจทย์ ทอมต้องทิ้งบ้านไว้ระหว่างเกิดน้ำท่วม
1. สมควรได้รับ 2. ตำหนิ ว่ากล่าว 3. ละทิ้ง 4. ทำให้ขุ่นเคือง
ตอบ 3 ในสถานการณ์ “flood” (น้ำท่วม) ถ้าต้องออกจากบ้านเพื่อความปลอดภัย จะใช้คำว่า abandon = ละทิ้ง
58. A youth was seriously injured in a shooting _________ on Saturday night.
1. workplace 2. incident
3. poem 4. advertisement
โจทย์ เยาวชนคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุการณ์การยิงกันในคืนวันเสาร์
1. สถานที่ทำงาน 2. เหตุการณ์ 3. บทกวี 4. โฆษณา
ตอบ 2 คำที่เหมาะสมต้องหมายถึง เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ตรงกับคำว่า incident แปลว่า เหตุการณ์
59. Robin’s parents were _________ of his good grades.
1. peaceful 2. terrible
3. obvious 4. proud
โจทย์ พ่อแม่ของโรบินรู้สึกภูมิใจกับผลการเรียนที่ดีของเขา
1. สงบ 2. แย่มาก 3. ชัดเจน 4. ภูมิใจ
ตอบ 4 เมื่อพูดถึง “good grades” เป็นสิ่งที่ น่าภูมิใจ คำที่เหมาะสมคือ proud = ภูมิใจ
60. Loud music can _________ the baby’s sleep.
1. recharge 2. disturb
3. create 4. increase
โจทย์ เสียงเพลงดังอาจรบกวนการนอนของทารก
1. ชาร์จพลัง 2. รบกวน 3. สร้าง 4. เพิ่มขึ้น
ตอบ 2 เสียงเพลงดัง รบกวน การนอน คำที่เหมาะสมคือ disturb = รบกวน
61. The _________ gave the script to the director.
1. actor 2. settler
3. playwright 4. audience
โจทย์ นักเขียนบทเป็นคนมอบบทละครให้กับผู้กำกับ
1. นักแสดง 2. ผู้ตั้งถิ่นฐาน
3. นักเขียนบทละคร 4. ผู้ชม
ตอบ 3 script (บทละคร/บทภาพยนตร์) มักถูกเขียนโดย นักเขียนบท คนที่เขียนบทเรียกว่า playwright
62. Jack watched a _________ last night and couldn’t stop laughing.
1. poem 2. sonnet
3. tragedy 4. comedy
โจทย์ แจ็คดูละครตลกเมื่อคืน แล้วก็หัวเราะไม่หยุดเลย
1. บทกวี 2. โซเน็ต
3. โศกนาฏกรรม 4. ตลก เรื่องขำขัน
ตอบ 4 หัวเราะไม่หยุด แสดงว่ารายการนั้นต้องเป็นแนว ตลก คำที่เหมาะคือ comedy = ละครตลก
63. They will _________ a dance at the talent show.
1. trim 2. remain
3. adopt 4. perform
โจทย์ พวกเขาจะแสดงการเต้นในงานแสดงความสามารถพิเศษ
1. ตัดแต่ง (เช่น ผม, ต้นไม้) 2. ยังคงอยู่
3. รับเลี้ยง 4. แสดง
ตอบ 4 เมื่อพูดถึง “การเต้น” ในงานแสดง คำกริยาที่เหมาะสมคือ perform = แสดง
64. The school has a big _________ for plays.
1. feather 2. tradition
3. theater 4. paragon
โจทย์ โรงเรียนมีโรงละครขนาดใหญ่สำหรับการแสดงละคร
1. ขนนก 2. ขนบธรรมเนียม,ประเพณี
3. โรงละคร 4. ตัวอย่างที่ดีเลิศ
ตอบ 3 คำที่ต้องการคือคำนามที่หมายถึง สถานที่สำหรับการแสดงละคร คำตอบคือ theater
65. Soldiers are guarding the _________.
1. lesson 2. border
3. rainfall 4. toast
โจทย์ ทหารกำลังเฝ้าระวังพรมแดน
1. บทเรียน 2. ชายแดน พรมแดน
3. ปริมาณฝน 4. ขนมปังปิ้ง/การชนแก้ว
ตอบ 2 ทหารมัก ป้องกันพื้นที่สำคัญ โดยเฉพาะ พรมแดนของประเทศ ซึ่งก็คือคำว่า border
66. The park is a _________ place to relax.
1. serene 2. commercial
3. cognitive 4. excessive
โจทย์ สวนสาธารณะเป็นสถานที่ที่สงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อน
1. สงบ เงียบ 2. เชิงพาณิชย์
3. เกี่ยวกับการรู้คิด 4. มากเกินไป
ตอบ 1 คำที่เหมาะสมที่สุดคือ serene = สงบ ร่มรื่น เงียบสงบ ซึ่งเข้ากับบรรยากาศของ “สวน”
67. Jane stood on a hill to get a better _________ of the city.
1. hard 2. costume
3. tragedy 4. vantage point
โจทย์ เจนยืนอยู่บนเนินเขาเพื่อให้ได้จุดชมวิวที่ดีกว่าในการเห็นเมือง
1. ยาก, แข็ง 2. เครื่องแต่งกาย
3. โศกนาฏกรรม 4. จุดชมวิว
ตอบ 4 vantage point = จุดชมวิว จุดที่มองเห็นได้ชัดเจน
68. The river runs through a deep _________.
1. author 2. architecture
3. gorge 4. ingredient
โจทย์ แม่น้ำไหลผ่านหุบเขาที่ลึก
1. ผู้เขียน 2. สถาปัตยกรรม
3. ช่องเขา, หุบเขาแคบ 4. ส่วนผสม(อาหาร)
ตอบ 3 คำศัพท์ gorge = ช่องเขา, หุบเขาแคบและลึก ใช้กับแม่น้ำที่ไหลผ่านหุบเขาแคบ ๆ
69. In old times, kings would _________ people for breaking the law.
1. establish 2. embroider
3. celebrate 4. behead
โจทย์ ในสมัยก่อน กษัตริย์จะตัดหัวผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
1. สถาปนา จัดตั้ง 2. ปักผ้า
3. เฉลิมฉลอง 4. ตัดหัว
ตอบ 4 behead = ตัดหัว (เป็นการลงโทษในอดีต) จากบริบทที่มีคำว่า “ฝ่าฝืนกฎหมาย”
70. Tom and Jessica are not married anymore. They got a _________.
1. flare 2. divorce
3. plunge 4. perform
โจทย์ ทอมและเจสสิก้าไม่ได้แต่งงานกันอีกต่อไปแล้ว พวกเขาหย่ากันแล้ว
1. เปลวไฟ 2. การหย่าร้าง
3. การจุ่ม 4. แสดง, กระทำ
ตอบ 2 จากคำว่า “not married anymore = ไม่ได้แต่งงานกันอีก แสดงถึง divorce = การหย่าร้าง
71. The king, queen and princess are all members of the _________.
1. royalty 2. omnivore
3. metaphor 4. referee
โจทย์ กษัตริย์ ราชินี และเจ้าหญิงล้วนเป็นสมาชิกของราชวงศ์
1. ราชวงศ์, บุคคลในราชสำนัก 2. สัตว์หรือคนที่กินทั้งพืชและเนื้อ
3. คำอุปมา 4. กรรมการตัดสิน
ตอบ 1 royalty = ราชวงศ์ ใช้เรียกกลุ่มกษัตริย์ ราชินี เจ้าชาย ฯลฯ
72. The man had to _________ in the desert for three days.
1. reveal 2. trim
3. survive 4. overshadow
โจทย์ ผู้ชายคนนั้นต้องเอาชีวิตรอดในทะเลทรายเป็นเวลา 3 วัน
1. เปิดเผย 2. ตัดแต่ง
3. เอาชีวิตรอด 4. บดบัง, กลบ
ตอบ 3 survive = เอาชีวิตรอด จากคำว่า “in the desert” ในทะเลทราย
73. A _________ diet does not allow sugar.
1. rational 2. restrictive
3. rectangular 4. radiant
โจทย์ อาหารควบคุมอย่างเข้มงวดไม่อนุญาตให้บริโภคน้ำตาล
1. มีเหตุผล 2. ที่จำกัด ควบคุม
3. เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 4. เปล่งประกาย สดใส
ตอบ 2 restrictive diet = อาหารที่มีข้อจำกัดในการบริโภคบางอย่าง
74. The company was _________ in 1990.
1. entertained 2. explained
3. extinguished 4. established
โจทย์ บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1990
1. ให้ความบันเทิง 2. อธิบาย
3. ดับ (ไฟ) 4. ก่อตั้ง จัดตั้ง
ตอบ 4 established = set up = ก่อตั้ง จัดตั้ง ใช้กับบริษัท องค์กร หรือสถาบันที่เริ่มต้นขึ้น
75. There are _________ entrances for staff and visitors.
1. skip 2. snack
3. shout 4. separate
โจทย์ มีทางเข้าสำหรับพนักงานและผู้มาเยือนแยกจากกัน
1. ข้าม 2. ของว่าง
3. ตะโกน 4. แยกออกจากกัน
ตอบ 4 separate = แยกออกจากกัน ใช้เพื่อบอกว่ามีพนักงานกับผู้มาเยือนคนละทางเข้า
76. When she walked, the skirt _________ slightly with each step.
1. flared 2. beheaded
3. ceased 4. amused
โจทย์ เมื่อเธอเดิน กระโปรงก็แผ่ออกเล็กน้อยในแต่ละก้าว
1. บานออก, แผ่ออก 2. ตัดศีรษะ
3. หยุด 4. ทำให้ขำหรือตลก
ตอบ 1 flare = แผ่กว้าง, บานออก ใช้กับเสื้อผ้าหรือกระโปรงที่แผ่หรือสะบัดขณะเคลื่อนไหว
77. I _________ at the gym three times a week.
1. be loyal 2. work out
3. motivate 4. establish
โจทย์ ฉันออกกำลังกายที่ยิมสัปดาห์ละสามครั้ง
1. ซื่อสัตย์ 2. ออกกำลังกาย
3. กระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ 4. ก่อตั้ง
ตอบ 2 work out = ออกกำลังกาย เข้ากับคำที่บอกใบ้ “the gym” (ยิม)
78. Please go _________ and bring my phone.
1. downstairs 2. importantly
3. commercially 4. probably
โจทย์ กรุณาลงไปชั้นล่างและหยิบโทรศัพท์ของฉันมาหน่อย
1. ลงไปชั้นล่าง 2. อย่างสำคัญ
3. เชิงพาณิชย์ 4. อาจจะ เป็นไปได้
ตอบ 1 downstairs = ชั้นล่าง ใช้ในบริบทของการบอกทิศทางหรือสถานที่
79. I usually _________ after taking a shower.
1. strike up 2. put off
3. turn down 4. get dressed
โจทย์ ฉันมักจะแต่งตัวหลังจากอาบน้ำ
1. เริ่มต้น (บทสนทนา) 2. เลื่อนออกไป
3. ปฏิเสธ/ลดเสียง 4. แต่งตัว
ตอบ 4 จากคำ take a shower = อาบน้ำ ทำให้เราคาดเดาคำที่ใช้ด้วยกันได้คือ get dressed = แต่งตัว
80. Peter told me to _________ and not worry too much.
1. cut off 2. relax
3. look up 4. play
โจทย์ ปีเตอร์บอกให้ฉันผ่อนคลายและอย่ากังวลมากเกินไป
1. ตัดออก 2. ผ่อนคลาย
3. มองขึ้น 4. เล่น
ตอบ 2 มีคำว่า “don’t worry too much” = อย่ากังวล นั่นคือคำว่า relax = ผ่อนคลาย
◆ Part III: Dialogues (บทสนทนา)
◆ Directions: Choose the best answer.
81. A: Where are you from?
B: ___________________.
1. I’m from Canada.
2. I’m 25 years old.
3. I’m going to the store.
4. I live with my friend.
โจทย์ A: คุณมาจากไหน? B: ______________.
1. ฉันมาจากแคนาดา 2. ฉันอายุ 25 ปี
3. ฉันกำลังจะไปร้านค้า 4. ฉันอาศัยอยู่กับเพื่อน
ตอบ 1 “Where are you from?” เป็นคำถามเกี่ยวกับ บ้านเกิด/ประเทศ/ถิ่นที่อยู่อาศัยเดิม ดังนั้นคำตอบที่เหมาะสมควรเป็นชื่อประเทศ เมือง หรือถิ่นฐาน จาก ข้อ 1. ตอบแคนาดา สถานที่
82. A: What do you do for work?
B: ___________________.
1. I like chocolate.
2. I go to the gym.
3. I live in an apartment.
4. I’m a graphic designer.
โจทย์ A: คุณทำงานอะไร? B: ______________.
1. ฉันชอบช็อกโกแลต 2. ฉันไปยิม
3. ฉันอยู่ในอพาร์ตเมนต์ 4. ฉันเป็นนักออกแบบกราฟิก
ตอบ 4 คำถามนี้ถามเกี่ยวกับ อาชีพหรืองานที่เราทำ คำตอบที่ถูกควรเป็นตำแหน่งงานหรือประเภทอาชีพ
83. A: What do you like to do in your free time?
B: ___________________.
1. I work at a bank.
2. I enjoy reading books.
3. I eat lunch at noon.
4. I’m from Thailand.
โจทย์ A: คุณชอบทำอะไรในเวลาว่าง? B: ______________.
1. ฉันทำงานที่ธนาคาร 2. ฉันชอบอ่านหนังสือ
3. ฉันกินข้าวเที่ยงตอนเที่ยง 4. ฉันมาจากประเทศไทย
ตอบ 2 คำถามนี้ถามถึง กิจกรรมยามว่าง หรือ สิ่งที่ชอบทำเมื่อมีเวลาว่าง จึงตอบ ฉันชอบอ่านหนังสือ
84. A: How will you be paying for your order?
B: ___________________.
1. By credit card.
2. At 3 p.m.
3. Two large pizzas.
4. With my friend.
โจทย์ A: คุณจะชำระเงินสำหรับคำสั่งซื้อนี้อย่างไร? B: ______________.
1. ด้วยบัตรเครดิต 2. ตอนบ่ายสามโมง
3. พิซซ่าขนาดใหญ่สองถาด 4. กับเพื่อนของฉัน
ตอบ 1 คำถามนี้ถามถึง วิธีการชำระเงิน เช่น จ่ายด้วยบัตร หรือเงินสด
85. A: Is this for takeout or delivery?
B: ___________________.
1. Pepperoni and cheese.
2. I’m a student.
3. Delivery, please.
4. Around 7 o’clock.
โจทย์ A: สั่งกลับบ้านหรือให้จัดส่งครับ/คะ? B: ______________.
1. เปปเปอโรนีกับชีส 2. ฉันเป็นนักเรียน
3. จัดส่งถึงบ้านค่ะ/ครับ 4. ประมาณหนึ่งทุ่ม
ตอบ 3 คำถามนี้ต้องการคำตอบว่า จะรับอาหารกลับบ้าน (takeout) หรือให้จัดส่งถึงที่ (delivery)
86. A: What’s your phone number for the delivery?
B: ___________________.
1. It’s 555-1234.
2. I’ll pay with cash.
3. I’m from New York.
4. Two medium pizzas.
โจทย์ A: เบอร์โทรศัพท์สำหรับการจัดส่งคือเบอร์อะไรครับ/คะ? B: ______________.
1. เบอร์คือ 555-1234 2. ฉันจะจ่ายด้วยเงินสด
3. ฉันมาจากนิวยอร์ก 4. พิซซ่าขนาดกลางสองถาด
ตอบ 1 คำถามนี้ถามหา หมายเลขโทรศัพท์ ของลูกค้าเพื่อใช้ในการจัดส่งสินค้า/อาหาร
87. A: How can I help you today?
B: ___________________.
1. I went to the park.
2. I’d like to order a pizza.
3. I live in an apartment.
4. It’s 4 o’clock now.
โจทย์ A: วันนี้ฉันสามารถช่วยอะไรคุณได้บ้าง? B: ______________.
1. ฉันไปสวนมา 2. ฉันอยากสั่งพิซซ่าหนึ่งถาด
3. ฉันอยู่ในอพาร์ตเมนต์ 4. ตอนนี้สี่โมงแล้ว
ตอบ 2 เป็นคำถามสุภาพ มักใช้ในบริบทของการบริการ เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า หรือสายบริการ ลูกค้าคำตอบจะต้องเป็นแจ้งความต้องการช่วยเหลือ เช่นข้อ 2. ฉันอยากจะ …. ใช้ I would like …..
88. A: What size pizzas would you like?
B: ___________________.
1. I’m from Brazil.
2. By debit card.
3. With extra cheese.
4. One large and one small.
โจทย์ A: คุณต้องการพิซซ่าขนาดไหนคะ/ครับ? B: ______________.
1. ฉันมาจากบราซิล 2. จ่ายด้วยบัตรเดบิต
3. พร้อมชีทพิเศษ 4. ใหญ่หนึ่งถาด เล็กหนึ่งถาด
ตอบ 4 เมื่อถามถึงขนาดพิซซ่า ที่ลูกค้าต้องการ ลูกค้าตอบเช่น เล็ก กลาง ใหญ่
89. A: Would you like any additional toppings on your pizzas?
B: ___________________.
1. I’ll take it to go.
2. I’m a teacher.
3. It’s 123 Main Street.
4. Yes, mushrooms and olives, please.
โจทย์ A: คุณต้องการท็อปปิ้งเพิ่มเติมบนพิซซ่าหรือไม่คะ? B: ______________.
1. ฉันจะสั่งกลับบ้าน 2. ฉันเป็นครู
3. ที่อยู่คือ 123 เมนสตรีท 4. ค่ะ/ครับ ขอเพิ่มเห็ดกับมะกอก
ตอบ 4 คำถามนี้ถามว่า ต้องการเพิ่มท็อปปิ้งไหม เช่น มะกอก ไส้กรอก ฯลฯ
90. A: Can I get your address for delivery?
B: ___________________.
1. I want two pizzas.
2. Sure, it’s 456 Maple Street.
3. I don’t like onions.
4. I’ll pick it up.
โจทย์ A: ขอที่อยู่สำหรับจัดส่งด้วยค่ะ/ครับ? B: ______________.
1. ฉันต้องการพิซซ่าสองถาด 2. ได้เลยค่ะ/ครับ ที่อยู่คือ 456 เมเปิลสตรีท
3. ฉันไม่ชอบหัวหอม 4. ฉันจะไปรับเอง
ตอบ 2 คำถามนี้ขอ ที่อยู่สำหรับการจัดส่ง คำตอบที่ถูกคือ ชื่อถนนหรือที่อยู่ชัดเจน
◆ Part IV: Seen Passages (ภาคเนื้อเรื่องในตำรา)
➢ Directions: Read the following passages and choose the best answer for each question.
Passage 1
“How I Met Your Mother”
Genre: Sitcom
Where to watch: Hulu, Amazon Prime
Synopsis:
The main character is Ted Mosby, and he is retelling the story to his kids of how and when he met his wife (their mom). Ted’s story begins in 2005 when he was 27 years old. He was inspired to get married after his best friend from college got engaged. However, Ted’s friend Barney, who is a big womanizer (like women a lot and dates many), is not very happy about Ted’s plan mainly because he will no longer have anyone to go out with and find dates. The story is retold to his kids over the series and there are a number of different stories related to all of Ted’s friends. Why it’s great for learning English.
It’s an entertaining show and uses a lot of humor and everyday language. For example, you’ll hear words such as “high five,” “legendary,” and “awesome” being used a lot. This is also a great series to watch in order to understand American culture regarding dating and romance. Barney, the womanizing friend, is incredibly funny. You’ll fall in love with his character immediately, which will have you wanting to watch the rest of the series.
ประเภท: ซิทคอม
รับชมได้ที่: Hulu, Amazon Prime
ตัวละครหลักคือ เท็ด มอสบี และเขากำลังเล่าเรื่องให้ลูก ๆ ฟังว่าเขาได้พบกับแม่ของพวกเขาอย่างไรและเมื่อไร เรื่องราวของเท็ดเริ่มต้นในปี 2005 ตอนที่เขาอายุ 27 ปี เขาได้รับแรงบันดาลใจให้แต่งงานเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเขาหมั้นหมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อนของเท็ดอีกคนหนึ่งคือ บาร์นีย์ ซึ่งเป็นคนเจ้าชู้มาก (ชอบผู้หญิงและออกเดทกับหลายคน) ไม่ค่อยพอใจกับแผนการของเท็ดเท่าไรนัก สาเหตุหลักคือ เขาจะไม่มีใครไปเที่ยวหรือหาเดทด้วยอีกแล้ว เรื่องราวถูกเล่าให้ลูก ๆ ของเขาฟังตลอดทั้งซีรีส์ และมีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับเพื่อน ๆ ของเท็ดทั้งหมด ทำไมถึงยอดเยี่ยมสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ
มันเป็นซีรีส์ที่ให้ความบันเทิงและใช้อารมณ์ขันและภาษาพูดในชีวิตประจำวันอย่างมาก ตัวอย่างเช่น คุณจะได้ยินคำอย่าง “high five” “legendary” และ “awesome” ถูกใช้บ่อยมาก นี่ยังเป็นซีรีส์ที่ดีสำหรับการเข้าใจวัฒนธรรมอเมริกันเกี่ยวกับการออกเดทและความรักอีกด้วย บาร์นีย์ เพื่อนที่เจ้าชู้ เป็นตัวละครที่ตลกมาก คุณจะตกหลุมรักตัวละครนี้ทันที ซึ่งจะทำให้คุณอยากดูซีรีส์นี้ต่อจนจบ
91. What is the genre of How I Met Your Mother?
1. Drama 2. Sitcom
3. Documentary 4. Reality show
โจทย์ How I Met Your Mother? เป็นรายการประเภทอะไร?
1. ละครดราม่า 2. ละครตลกสถานการณ์
3. สารคดี 4. รายการเรียลลิตี้โชว์
ตอบ 2 ด้านซ้ายของเนื้อเรื่องจะมีคำว่า Genre: Sitcom (ประเภท: ซิทคอม) ซึ่งย่อมาจาก situation comedy หรือ “ละครตลกสถานการณ์” ที่มีเนื้อหาตลก ผ่อนคลาย และมักเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของกลุ่มเพื่อน
92. Where can you watch How I Met Your Mother?
1. Netflix only 2. Disney
3. HBO 4. Hulu and Amazon Prime
โจทย์ คุณสามารถรับชม How I Met Your Mother ได้ที่ไหน?
1. เฉพาะ Netflix 2. ดิสนีย์
3. เอชบีโอ 4. ฮูลูและอะเมซอน ไพรม์
ตอบ 4 จากเนื้อหา มีระบุ Where to watch: Hulu , Amazon Prime
93. What is Ted doing throughout the show?
1. Traveling with friends.
2. Looking for a new job
3. Teaching at a university
4. Retelling the story of how he met his wife
โจทย์ ตลอดทั้งเรื่อง เท็ดกำลังทำอะไร?
1. เดินทางกับเพื่อน ๆ
2. หางานใหม่
3. สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย
4. เล่าเรื่องราวว่าเขาได้พบกับภรรยาได้อย่างไร
ตอบ 4 จากสองบรรทัดแรก เนื้อหาหลักของเรื่องคือ เท็ดกำลังเล่าเรื่องราวชีวิตในอดีตให้ลูกฟังว่าเขาได้พบภรรยาอย่างไร ซึ่งเป็นแกนหลักของซีรีส์
94. Who is Ted telling the story to?
1. His kids 2. His students
3. His wife 4. His boss
โจทย์ เท็ดเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง?
1. ลูก ๆ ของเขา 2. นักเรียนของเขา
3. ภรรยาของเขา 4. เจ้านายของเขา
ตอบ 1 จากบทความ เท็ดกำลังเล่าเรื่องนี้ให้ลูกของเขาฟังเพื่อบอกว่าพบแม่ของพวกเขาได้อย่างไร
95. In what year does Ted’s story begin?
1. 2001 2. 2003
3. 2005 4. 2007
โจทย์ เรื่องราวของเท็ดเริ่มต้นในปีไหน?
ตอบ 3 จากบทความ เรื่องของเท็ดเริ่มต้นในปี 2005
96. What event inspired Ted to want to get married?
1. He had a dream about it.
2. His best friend got engaged.
3. His parents forced him.
4. He saw a wedding on TV.
โจทย์ เหตุการณ์ใดเป็นแรงบันดาลใจให้เท็ดอยากแต่งงาน?
1. เขาฝันถึงมัน
2. เพื่อนสนิทของเขาหมั้นหมาย
3. พ่อแม่ของเขาบังคับ
4. เขาเห็นงานแต่งงานในทีวี
ตอบ 2 แรงบันดาลใจของเท็ดในการอยากแต่งงานคือการที่เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเขาหมั้นหมาย
97. Who is Ted’s friend that is not happy about his plan to marry?
1. Marshall 2. Robin
3. Barney 4. Lily
โจทย์ ใครคือเพื่อนของเท็ดที่ไม่พอใจกับแผนการแต่งงานของเขา?
ตอบ 3 เพื่อนของเท็ดชื่อ บาร์นีย์ ไม่พอใจที่เท็ดวางแผนจะแต่งงาน เพราะกลัวว่าเขาจะไม่มีเพื่อนออกไปหาเดทด้วยอีกต่อไป
98. How is Barney described in the article?
1. A family man 2. A shy bookworm
3. A womanizer 4. A doctor
โจทย์ ในบทความ บาร์นีย์ถูกอธิบายว่าอย่างไร?
1. คนที่รักครอบครัว 2. หนอนหนังสือขี้อาย
3. คนเจ้าชู้ 4. หมอ
ตอบ 3 เพื่อนของเท็ดชื่อบาร์นีย์ เป็น womanizer หมายถึง ผู้ชายที่เจ้าชู้ ชอบผู้หญิงหลายคน และออกเดทกับหลายคน ตรงกับตัวเลือกที่ 3
99. What does the word “womanizer” (in bold type) mean?
1. Someone who is married.
2. Someone who is afraid of women
3. Someone who avoids relationships
4. Someone who dates many women
โจทย์ คำว่า “womanizer” (ตัวหนา) หมายความว่าอะไร?
1. คนที่แต่งงานแล้ว 2. คนที่กลัวผู้หญิง
3. คนที่หลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ 4. คนที่ออกเดทกับผู้หญิงหลายคน
ตอบ 4 womanizer คือ คนเจ้าชู้ ชอบผู้หญิงมาก และออกเดทกับผู้หญิงหลายคน
100. Why is Barney unhappy with Ted’s marriage plans?
1. He ants to marry first.
2. He dislikes Ted’s future wife.
3. He will lose his dating partner.
4. He thinks marriage is boring.
โจทย์ ทำไมบาร์นีย์ถึงไม่พอใจกับแผนการแต่งงานของเท็ด?
1. เขาอยากแต่งงานก่อน 2. เขาไม่ชอบว่าที่ภรรยาของเท็ด
3. เขาจะเสียเพื่อนไปเที่ยวหาเดทด้วย 4. เขาคิดว่าการแต่งงานน่าเบื่อ
ตอบ 3 บาร์นีย์ไม่พอใจเพราะเขาจะไม่มีเพื่อนไปเที่ยวหรือหาเดทด้วยอีกต่อไป
101. Who are included in Ted’s stories?
1. His coworkers only
2. Only his wife
3. Just his parents
4. All of his friends
โจทย์ ใครบ้างที่รวมอยู่ในเรื่องราวของเท็ด
1. เฉพาะเพื่อนร่วมงานของเขา 2. แค่ภรรยาของเขา
3. แค่พ่อแม่ของเขา 4. เพื่อน ๆ ของเขาทั้งหมด
ตอบ 4 มีเรื่องราวหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับเพื่อน ๆ ของเท็ดทุกคน
102. What makes the show helpful for English learners?
1. It uses British slang.
2. It focuses on grammar.
3. It explains vocabulary with subtitles.
4. It uses humor and everyday language.
โจทย์ อะไรที่ทำให้รายการนี้เป็นประโยชน์สำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษ?
1. รายการนี้ใช้คำสแลงแบบอังกฤษ
2. รายการนี้เน้นไวยากรณ์
3. รายการอธิบายคำศัพท์พร้อมคำบรรยาย
4. รายการนี้ใช้ความตลกและภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ตอบ 4 เป็นรายการที่ให้ความบันเทิง และใช้ภาษาที่ตลกและใช้ในชีวิตประจำวัน จึงเป็นเหตุผลที่ดีว่าทำไมผู้เรียนภาษาอังกฤษจึงควรดู
103. What kind of vocabulary can viewers learn from the show?
1. Legal terms
2. Advanced medical terms
3. Technical business terms
4. Everyday phrases like “awesome”
โจทย์ ผู้ชมสามารถเรียนรู้คำศัพท์ประเภทใดจากรายการนี้?
1. คำศัพท์ทางกฎหมาย 2. คำศัพท์ทางการแพทย์ชั้นสูง
3. คำศัพท์เชิงเทคนิคด้านธุรกิจ 4. วลีในชีวิตประจำวัน เช่น “awesome”
ตอบ 4 คุณจะได้ยินอย่าง “high five” “legendary” และ “awesome” บ่อยมาก
104. Which of these is NOT mentioned as a common word in the show?
1. Obviously 2. High five
3. Legendary 4. Awesome
โจทย์ ข้อใดต่อไปนี้ไม่ได้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นคำที่ใช้บ่อยในรายการ?
1. อย่างเห็นได้ชัด 2. การตบมือทักทาย
3. สุดยอด/ระดับตำนาน 4. เจ๋งมาก/สุดยอด
ตอบ 1 มี 3 คำที่ถูกกล่าวถึงคือ high five, legendary, awesome แต่ obviously ไม่ได้ถูกกล่าวถึง
105. What can learners understand better by watching the series?
1. War history
2. Legal systems
3. Science experiments
4. American dating and romance culture
โจทย์ ผู้เรียนสามารถเข้าใจสิ่งใดได้ดีขึ้นจากการชมซีรีส์นี้?
1. ประวัติศาสตร์สงคราม 2. ระบบกฎหมาย
3. การทดลองทางวิทยาศาสตร์ 4. วัฒนธรรมการออกเดทและความรักแบบอเมริกัน
ตอบ 4 จากบทความ ว่า นี่คือซีรีส์ที่ดีสำหรับการเข้าใจวัฒนธรรมของอเมริกันเกี่ยวกับการออกเดทและความรัก
Passage 2
Liverpool’ s anthem ‘You’ll Never Walk Alone’ is one of the most famous songs in the footballing world and, like any great song, has a story behind it. Anfield is renowned for its atmosphere, especially on European nights, and it owes much of this atmosphere to the song that is played just before games kick off.
Liverpool isn’t the only club that uses it, however, as Celtic and Borussia Dortmund also play ‘You’ll Never Walk Alone’ before home games. The song was not written specifically for the Reds, but there is a special reason why it is sung so religiously at Anfield. In fact, the son’s initials ‘YNWA’ are inscribed into the Liverpool captain’s armband.
The song was composed for a Broadway musical by Richard Rodgers and Oscar Hammerstein in 1945. In the show, ‘You’ll Never Walk Alone’ is sung to console a character after a suicide. It got so popular that artist such as Frank Sinatra, Elvis Presley. Johnny Cash, Doris Day, Nina Simone, and Louis Armstrong covered it and made it their own. It wasn’t until 1963 when it became Liverpool’s anthem.
A group from Liverpool called Gerry and the Pacemakers made their own version of the song, which reached number one in the charts and had the whole nation singing along – and pre-match at Anfield it was so different. When the song started falling down the charts, they stopped playing it before games at the stadium, but the fans at the stands, or the Kop, themselves reclaimed it and continued to sing it, even recording a version with Pink Floyd on their album Meddle.
It became so famous with Liverpool fans that it was finally adopted as an official club anthem, and since the 1960s has accompanied Liverpool’s biggest successes – especially their five European Cup wins.
เพลงประจำสโมสรลิเวอร์พูล “You’ll Never Walk Alone” เป็นหนึ่งในเพลงที่โด่งดังที่สุดในโลกฟุตบอล และเช่นเดียวกับเพลงที่ยอดเยี่ยมอื่น ๆ เพลงนี้ก็มีเรื่องราวเบื้องหลังของมัน สนามแอนฟิลด์มีชื่อเสียงในด้านบรรยากาศอันยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในค่ำคืนของการแข่งฟุตบอลยุโรป ซึ่งบรรยากาศเหล่านี้ได้รับแรงหนุนอย่างมากจากเพลงที่เปิดก่อนเริ่มเกม
แต่ไม่ใช่แค่ลิเวอร์พูลเท่านั้นที่ใช้เพลงนี้ สโมสรเซลติกและโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ก็เปิดเพลง “You’ll Never Walk Alone” ก่อนเกมเหย้าเช่นกัน เพลงนี้ไม่ได้ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อสโมสรลิเวอร์พูลโดยเฉพาะ แต่มีเหตุผลสำคัญที่ทำให้มันกลายเป็นเพลงที่ถูกร้องอย่างศักดิ์สิทธิ์ที่แอนฟิลด์ ถึงขนาดที่ตัวย่อของเพลง ‘YNWA’ ถูกปักอยู่บนปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูล
เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นเพื่อใช้ในละครบรอดเวย์โดยริชาร์ด ร็อดเจอร์ส และออสการ์ แฮมเมอร์สไตน์ เมื่อปี ค.ศ. 1945 ในเรื่องนั้น เพลง “You’ll Never Walk Alone” ถูกขับร้องเพื่อปลอบใจตัวละครหลังจากเกิดเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย เพลงนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนศิลปินชื่อดังหลายคน เช่น แฟรงค์ ซินาตรา, เอลวิส เพรสลีย์, จอห์นนี่ แคช, ดอริส เดย์, นีน่า ซิโมน และหลุยส์ อาร์มสตรอง ต่างก็นำไปร้องในแบบฉบับของตนเอง
อย่างไรก็ตาม เพลงนี้ยังไม่ถูกใช้เป็นเพลงประจำทีมลิเวอร์พูลจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1963 เมื่อวงดนตรีจากเมืองลิเวอร์พูลชื่อ Gerry and the Pacemakers ได้ทำเพลงนี้ในแบบตนเอง ซึ่งสามารถขึ้นถึงอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลง และทั้งประเทศก็ร้องเพลงนี้กันอย่างกว้างขวาง — และมันก็กลายเป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างมากเมื่อถูกเปิดก่อนเริ่มการแข่งขันที่แอนฟิลด์
ต่อมาเมื่อเพลงนี้เริ่มหลุดจากชาร์ตความนิยม สโมสรจึงหยุดเปิดเพลงนี้ก่อนเกมการแข่งขัน แต่แฟนบอลในอัฒจันทร์ฝั่งเดอะค็อป (The Kop) ก็ได้นำเพลงนี้กลับมาร้องกันเองอีกครั้ง และยังเคยร่วมอัดเสียงเพลงนี้กับวง Pink Floyd ในอัลบั้ม Meddle อีกด้วย
เพลงนี้จึงกลายเป็นเพลงประจำสโมสรอย่างเป็นทางการ และตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา เพลงนี้ได้อยู่เคียงข้างความสำเร็จครั้งใหญ่ของลิเวอร์พูล — โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพถึง 5 ครั้ง
106. What is Liverpool’s anthem?
1. “We Are the Champions”
2. “You’ll Never Walk Alone”
3. “Glory Glory Man United”
4. “Hey Jude”
โจทย์ เพลงประจำสโมสรลิเวอร์พูลคือเพลงใด
ตอบ 2 เพลง “You’ll Never Walk Alone” เป็นเพลงประจำสโมสรลิเวอร์พูลที่แฟนบอลร้องก่อนเริ่มการแข่งขันที่สนามแอนฟิลด์ เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาและการสนับสนุนทีมไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด เพลงนี้มีความหมายลึกซึ้งว่าแฟนบอลและทีมจะไม่เดินเดียวดายไม่ว่าในยามแพ้หรือชนะ
107. Which club is NOT mentioned as using the song?
1. Liverpool 2. Celtic
3. Borussia Dortmund 4. Real Madrid
โจทย์ สโมสรใด “ไม่ได้” ถูกกล่าวถึงว่าใช้เพลงนี้
1. ลิเวอร์พูล 2. เซลติก
3. โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 4. เรอัล มาดริด
ตอบ 4 ในบทความกล่าวถึง 2 สโมสรที่ใช้เพลง “You’ll Never Walk Alone” ได้แก่
1. Liverpool 2. Celtic 3. Borussia Dortmund
108. Where is “YNWA” written on the Liverpool captain’s gear?
1. On his shirt 2. On his boots
3. On his armband 4. On his shorts
โจทย์ คำว่า “YNWA” ถูกเขียนไว้ที่อุปกรณ์ส่วนใดของกัปตันทีมลิเวอร์พูล?
1. บนเสื้อของเขา 2. บนรองเท้าของเขา
3. บนปลอกแขนของเขา 4. บนกางเกงของเขา
ตอบ 3 จากบทความระบุว่า “ตัวย่อของเพลง ‘YNWA’ ถูกปักไว้บนปลอกแขนของกัปตันทีมลิเวอร์พูล” ซึ่งย่อมาจาก You’ll Never Walk Alone เพลงประจำสโมสรที่เป็นสัญลักษณ์ของทีม จึงตอบว่า ข้อ 3 ถูกต้อง
109. Who originally composed the song?
1. Gerry Marsden
2. Elvis Presley
3. Pink Floyd
4. Rodgers and Hammerstein
โจทย์ ใครเป็นผู้แต่งเพลงนี้ดั้งเดิม?
1. เจอร์รี่ มารสเดน 2. เอลวิส เพรสลีย์
3. วงพิงก์ ฟลอยด์ 4. ร็อดเจอร์ส และแฮมเมอร์สไตน์
ตอบ 4 เพลง “You’ll Never Walk Alone” ถูกแต่งขึ้นครั้งแรกในปี 1945 โดย Richard Rodgers และ Oscar Hammerstein สำหรับละครบรอดเวย์เรื่อง Carousel เพื่อปลอบใจตัวละครหลังเหตุการณ์เศร้า จึงถือว่าเป็นผู้แต่งเพลงต้นฉบับ
110. Why was the song sung in the original musical?
1. To start a journey
2. To celebrate a victory
3. To welcome a character home
4. To comfort someone after a suicide
โจทย์ เหตุใดจึงมีการร้องเพลงนี้ในละครเวทีดั้งเดิม?
1. เพื่อเริ่มต้นการเดินทาง 2. เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะ
3. เพื่อต้อนรับตัวละครกลับบ้าน 4. เพื่อปลอบใจตัวละครหลังจากเกิดเหตุม่าตัวตาย
ตอบ 4 ในบทความระบุชัดว่า เพลง “You’ll Never Walk Alone” ถูกขับร้องในละครบรอดเวย์ Carousel ปี 1945 โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ปลอบใจตัวละครหลังจากการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นฉากที่เต็มไปด้วยอารมณ์สะเทือนใจ
111. When was the song written?
1. 1945 2. 1955
3. 1963 4. 1972
โจทย์ เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นเมื่อใด
ตอบ 1 เพลง “You’ll Never Walk Alone” ถูกแต่งขึ้นในปี 1945 (พ.ศ. 2488) โดย Richard Rodgers และ Oscar Hammerstein สำหรับละครบรอดเวย์เรื่อง Carousel
112. Which of these artists did NOT cover the song?
1. Frank Sinatra 2. Nina Simone
3. Taylor Swift 4. Elvis Presley
โจทย์ ศิลปินคนใดในรายการนี้ ไม่ได้นำเพลงนี้ไปร้อง?
ตอบ 3 จากบทความระบุว่า เพลง “You’ll Never Walk Alone” ถูกศิลปินดังหลายคนในอดีตนำมาร้องเช่น Frank Sinatra, Nina Simone, Elvis Presley และ Johnny Cash, Doris Day, Louis Armstrong ส่วน Taylor Swift ไม่ได้ถูกกล่าวถึง
113. When did the song become Liverpool’s anthem?
1. 1953 2. 1963
3. 1973 4. 1983
โจทย์ เพลงนี้กลายเป็นเพลงประจำสโมสรลิเวอร์พูลเมื่อปีใด
ตอบ 2 ในบทความระบุว่า เพลง “You’ll Never Walk Alone” กลายเป็นเพลงประจำสโมสรลิเวอร์พูล ในปี 1963 หลังจากวงดนตรี Gerry and the Pacemakers ซึ่งเป็นวงจากเมืองลิเวอร์พูล นำเพลงนี้มา
ร้องใหม่จนโด่งดังขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต และถูกเปิดในสนามแอนฟิลด์ก่อนการแข่งขัน จนแฟนบอลยึดถือเป็นเพลงประจำใจ
114. Which band in Liverpool had a number one hit with the song?
1. The Beatles 2. Pink Floyd
3. Gerry and the Pacemakers 4. Oasis
โจทย์ วงดนตรีใดจากลิเวอร์พูลที่ทำให้เพลงนี้ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต?
ตอบ 3 ในบทความกล่าวชัดเจนว่า วงดนตรีจากลิเวอร์พูลชื่อ Gerry and the Pacemakers เป็นผู้นำเพลง “You’ll Never Walk Alone” มาร้องใหม่ในปี 1963 และทำให้เพลงนี้ ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงของอังกฤษ
115. What happened when the song dropped from the charts?
1. It was banned.
2. It was changed.
3. It became more famous.
4. It stopped being played at the stadium.
โจทย์ เกิดอะไรขึ้นเมื่อเพลงนี้หล่นจากชาร์ตเพลง?
1. เพลงนี้ถูกแบน 2. เพลงนี้ถูกเปลี่ยน
3. เพลงนี้ยิ่งมีชื่อเสียงขึ้น 4. หยุดเปิดเพลงนี้ที่สนามกีฬา
ตอบ 4 จากบทความระบุว่า เมื่อเพลง “You’ll Never Walk Alone” เริ่มหล่นจากอันดับในชาร์ตเพลง สนามแอนฟิลด์ก็หยุดเปิดเพลงนี้ก่อนการแข่งขัน แต่แฟนบอลในอัฒจันทร์ฝั่ง The Kop ยังร้องเพลงนี้กันต่อไปจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของสโมสรในที่สุด
116. What did the fans in the Kop do when the song stopped playing?
1. They continued singing it.
2. They composed new songs.
3. They left the stadium.
4. They protested.
โจทย์ แฟนบอลฝั่ง The Kop ทำอย่างไรเมื่อเพลงนี้หยุดเปิดในสนาม?
1. พวกเขายังร้องเพลงนี้ต่อไป
2. พวกเขาแต่งเพลงใหม่
3. พวกเขาออกจากสนาม
4. พวกเขาประท้วง
ตอบ 1 ในบทความกล่าวว่า หลังจากเพลง “You’ll Never Walk Alone” หยุดเปิดที่สนามแอนฟิลด์เนื่องจากหลุดจากชาร์ตเพลง แฟนบอลฝั่ง The Kop ยังคง ร้องเพลงนี้กันเองต่อไป จนเพลงนี้กลายเป็นเสียงประจำสนามอย่างแท้จริง และยิ่งตอกย้ำความผูกพันของแฟนบอลกับเพลงนี้
117. Which famous rock band recorded a version with Liverpool fans?
1. The Rolling Stones
2. Pink Floyd
3. Queen
4. Westlife
โจทย์ วงร็อกชื่อดังวงใดที่เคยบันทึกเสียงเพลงนี้ร่วมกับแฟนบอลลิเวอร์พูล?
ตอบ 2 ในบทความกล่าวว่า เมื่อแฟนบอลลิเวอร์พูลร้องเพลง “You’ll Never Walk Alone” กันเองหลังจากสนามหยุดเปิดเพลงนี้ พวกเขาเคย บันทึกเสียงเพลงนี้ร่วมกับวงร็อกชื่อดัง “Pink Floyd” ลงในอัลบั้มชื่อ Meddle ซึ่งแสดงถึงความสำคัญและพลังของแฟนบอลที่ทำให้เพลงนี้คงอยู่
118. How many European Cups has Liverpool won, as mentioned in the passage?
1. Four 2. Five
3. Six 4. Seven
โจทย์ จากบทความ ลิเวอร์พูลคว้า แชมป์ยูโรเปียนคัพทั้งหมดกี่ครั้ง
ตอบ 2 ในบทความระบุว่า เพลง “You’ll Never Walk Alone” ได้อยู่เคียงข้างกับความสำเร็จของลิเวอร์พูล โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ทีม คว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ 5 ครั้ง (ในบทความใช้คำว่า “especially their five European Cup wins”)
119. The phrase “had the whole nation singing alone” (in bold type) suggests what?
1. Only fans liked it.
2. It became very popular.
3. It was part of a campaign.
4. It was played in stadiums only.
โจทย์ วลี “had the whole nation singing alone” (ทำให้ทั้งประเทศร้องตาม) มีนัยว่าอย่างไร?
1. มีแค่แฟน ๆ เท่านั้นที่ชอบเพลงนี้
2. เพลงนี้กลายเป็นที่นิยมอย่างมาก
3. เพลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ
4. เพลงนี้ถูกเปิดเฉพาะในสนามกีฬาเท่านั้น
ตอบ 2 วลี “had the whole nation singing along” บอกเป็นนัยว่าเพลงนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จนคนทั้งประเทศร้องตามได้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะแฟนฟุตบอลหรือผู้ชมในสนามเท่านั้น
120. Which sentence is true, according to the passage?
1. The song was written by Liverpool FC.
2. The song is used only by English clubs.
3. The song was part of a musical.
4. The song was first used in 1970.
โจทย์ ข้อใดเป็นความจริงตามเนื้อเรื่องในบทความ?
1. เพลงนี้ถูกแต่งโดยสโมสรลิเวอร์พูล
2. เพลงนี้ใช้เฉพาะในสโมสรอังกฤษเท่านั้น
3. เพลงนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของละครเพลง
4. เพลงนี้ถูกใช้ครั้งแรกในปี 1970
ตอบ 3 จากบทความระบุว่าเพลง “You’ll Never Walk Alone” แต่งขึ้นในปี 1945 โดย Rodgers and Hammerstein สำหรับละครบรอดเวย์เรื่อง Carousel จึงเป็นข้อเท็จจริงว่า เพลงนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของละครเพลง