การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2567
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ

คำสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้นักศึกษาทำทุกข้อ

Advertisement

ข้อ 1. Good Governance หมายถึงอะไร มีหลักการสำคัญ ๆ อะไรบ้าง จงอธิบาย และนักศึกษาคิดว่า จะนำ Good Governance ไปเป็นหลักการแนวคิดในการปรับปรุงระบบราชการไทยได้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

แนวคำตอบ

ธรรมาภิบาล (Good Governance) หมายถึง หลักการบริหารจัดการที่ดี อันเกี่ยวข้องกับ นโยบายของส่วนราชการและพฤติกรรมของบุคลากรในองค์การ หรืออาจกล่าวได้ว่า ธรรมาภิบาลก็คือการบริหาร กิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการจัดระเบียบให้สังคมรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และ ภาคประชาชน โดยจะครอบคลุมถึงฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ สามารถอยู่ร่วมกัน อย่างสงบสุข มีความรู้รักสามัคคีและร่วมกันเป็นพลัง ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป็นส่วนเสริมความ เข้มแข็งหรือสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประเทศ ทั้งนี้เพื่อบรรเทาป้องกันหรือแก้ไขเยียวยาภาวะวิกฤติภยันตรายที่อาจจะ มีมาในอนาคต เพราะสังคมจะรู้สึกถึงความยุติธรรม ความโปร่งใสและความมีส่วนร่วม อันเป็นคุณลักษณะสำคัญ ของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เพื่อให้ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ความเป็นไทย และกระแสโลกในยุคปัจจุบัน

หลักการของ Good Governance มี 6 ประการ ได้แก่

1. หลักนิติธรรม หมายถึง การตรากฎหมาย กฎ กติกาที่ถูกต้องเป็นธรรม การบังคับใช้ เป็นไปตามกฎ กติกาที่ตกลงกันไว้ คำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพ ความยุติธรรมของสมาชิก

หลักนิติธรรม เช่น
1) หลักการแบ่งแยกอำนาจ เป็นพื้นฐานที่สำคัญของหลักนิติธรรม ทั้งนี้เพราะ หลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นหลักที่แสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันของการแบ่งแยกอำนาจการตรวจสอบอำนาจ และการถ่วงดุลอำนาจ
2) หลักการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยหลักนิติธรรมจะมีความเกี่ยวพันกันกับ สิทธิในเสรีภาพของบุคคล และสิทธิในความเสมอภาค สิทธิดังกล่าวนื้ถือเป็นพื้นฐานของ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” อันเป็นหลักการสำคัญตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
3) หลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครอง เนื่องจากการใช้ กฎหมายของฝ่ายตุลาการ หรือฝ่ายปกครองที่เป็นการจำกัดสิทธิของประชาชน มีผลมาจากกฎหมายที่ได้รับ ความเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชน โดยฝ่ายตุลาการจะต้องไม่พิจารณาพิพากษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้แตกต่าง ไปจากบทบัญญัติของกฎหมาย เพราะฉะนั้นฝ่ายตุลาการจึงมีความผูกพันที่จะต้องใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน และจะต้องใช้ดุลพินิจโดยปราศจากข้อบกพร่อง
4) หลักความชอบด้วยกฎหมายในทางเนื้อหา เป็นหลักที่เรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือฝ่ายปกครองที่ออกกฎหมายลำดับรอง กำหนดหลักเกณฑ์ในทางกฎหมายให้เป็นตามหลักความแน่นอนของ กฎหมาย หลักห้ามมิให้กฎหมายมีผลย้อนหลัง และหลักความพอสมควรแก่เหตุ
5) หลักความอิสระของผู้พิพากษา โดยผู้พิพากษาสามารถทำภาระหน้าที่ในทาง ตุลาการได้โดยปราศจากการแทรกแซงใด ๆ ผู้พิพากษาจะมีความผูกพันเฉพาะต่อกฎหมาย และทำการพิจารณา พิพากษาภายใต้มโนธรรมของตนเท่านั้น โดยวางอยู่บนพื้นฐานของความอิสระจากคู่ความ ความอิสระจากรัฐ และ ความอิสระจากสังคม
6) หลักไม่มีความผิด และไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย กล่าวคือ เมื่อไม่มีข้อบัญญัติ ทางกฎหมายให้เป็นความผิดแล้วจะเอาผิดกับบุคคลนั้น ๆ มิได้
7) หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญได้รับการ ยอมรับให้เป็นกฎหมายที่อยู่ในลำดับสูงสุดในระบบกฎหมายของรัฐ และหากกฎหมายที่อยู่ในลำดับที่ต่ำกว่า ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับนั่นเอง

2. หลักคุณธรรม หมายถึง การยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม ส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชน พัฒนาตนเอง เพื่อให้มีความซื่อสัตย์ จริงใจ ขยัน อดทน มีระเบียบวินัย ประกอบอาชีพสุจริต

องค์ประกอบของคุณธรรมหรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่ปลอดจากคอร์รัปชัน (Corruption) หรือมีคอร์รัปชันน้อยลง สำหรับพิษภัยของคอร์รัปชันได้สร้างความเสียหายและความเดือดร้อน และเป็นพฤติกรรม ที่ส่งผลในทางลบต่อคุณธรรมของการบริหารจัดการอย่างร้ายแรง เมื่อพิจารณาเรื่องของคุณธรรมจึงควรพิจารณา เรื่องดังต่อไปนี้
1) องค์ประกอบคุณธรรมหรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่ปลอดจากการไม่ปฏิบัติ ตามกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายน้อยลง
2) องค์ประกอบคุณธรรมหรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่ปลอดจากการปฏิบัติที่ น้อยกว่าหรือไม่มีเท่าที่กฎหมายกำหนด หรือปฏิบัติเช่นนี้น้อยลง
3) องค์ประกอบคุณธรรมหรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่ปลอดจากการปฏิบัติที่ มากกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือปฏิบัติเช่นนี้น้อยลง
4) องค์ประกอบคุณธรรมหรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่ปลอดจากการปฏิบัติตาม เจตนารมณ์ของกฎหมาย แต่ใช้วิธีการบิดกฎหมาย หรือปฏิบัติเช่นนี้น้อยลง

3. หลักความโปร่งใส หมายถึง สุจริตไม่คดโกง หรือมีความหมายตรงกันข้ามกับการทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งเป็นความหมายในเชิงบวก

หลักความโปร่งใส เช่น
1) ความโปร่งใสด้านโครงสร้าง ประกอบด้วยพฤติการณ์ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ มีการ ตรวจสอบภายในที่เข้มแข็ง, โปร่งใสเห็นระบบงานทั้งหมดได้อย่างชัดเจน, ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม รับรู้การทำงาน, มีเจ้าหน้าที่มาด้วยระบบคุณธรรมมีความสามารถสูงมาอยู่ใหม่มากขึ้น, มีการตั้งกรรมการหรือหน่วยงานตรวจสอบ ขึ้นมาใหม่ และมีฝ่ายบัญชีที่เข้มแข็ง
2) ความโปร่งใสด้านให้คุณ ประกอบด้วย พฤติการณ์ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ มีค่าตอบแทน พิเศษในการปฏิบัติงานเป็นผลสำเร็จ, มีค่าตอบแทนเพิ่มสำหรับการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ, มีค่าตอบแทน พิเศษให้กับเจ้าหน้าที่ที่ซื่อสัตย์ และมีมาตรฐานเงินเดือนสูงพอเพียงกับค่าใช้จ่าย
3) ความโปร่งใสด้านการให้โทษ ประกอบด้วย พฤติการณ์ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ มีระบบ การตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ, มีวิธีการพิจารณาลงโทษผู้ทำผิดอย่างยุติธรรม, มีการลงโทษจริงจัง หนักเบาตาม เหตุแห่งการกระทำผิด, มีระบบการฟ้องร้องผู้กระทำผิดที่มีประสิทธิภาพ, หัวหน้างานลงโทษผู้ทุจริตอย่างจริงจัง, มีการปรามผู้ส่อทุจริตให้เลิกความพยายามทุจริต และมีกระบวนการยุติธรรมที่รวดเร็ว
4) ความโปร่งใสด้านการเปิดเผย ประกอบด้วย พฤติการณ์ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ประชาชนได้เข้ามารับรู้การทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบ, ประชาชนและสื่อมวลชนมีส่วนร่วมในการจัดซื้อ จัดหา การให้สัมปทานการออกกฎระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ, ประชาชน สื่อมวลชน และองค์กรพัฒนาเอกชน ได้มีโอกาสควบคุมฝ่ายบริหารโดยวิธีการต่าง ๆ มากขึ้น และมีการใช้กลุ่มวิชาชีพภายนอกเข้ามาร่วมตรวจสอบ

4. หลักความมีส่วนร่วม หมายถึง การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองและ ทางการบริหาร การตัดสินใจที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร การให้ข้อมูลแก่ประชาชน การแสดงความคิดเห็น การให้คำปรึกษา การร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ และร่วมควบคุมงานสาธารณะ

หลักความมีส่วนร่วม เช่น
1) การให้ข้อมูล เป็นระดับต่ำสุดและเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดของการติดต่อสื่อสาร ระหว่างผู้วางแผนโครงการกับประชาชน เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับการตัดสินใจของผู้วางแผนโครงการ และยังเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นหรือเข้ามาเกี่ยวข้องใด ๆ เช่น การแถลงข่าว การแจกข่าว การแสดง นิทรรศการ การทำหนังสือพิมพ์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้น
2) การเปิดรับความคิดเห็นจากประชาชน เป็นระดับขั้นที่สูงกว่าระดับแรก กล่าวคือ ผู้วางแผนโครงการเชิญชวนให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ได้ข้อมูลมากขึ้น และประเด็นในการประเมินข้อดี ข้อเสียชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการริเริ่มโครงการต่าง ๆ และการบรรยายให้ ประชาชนฟังเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ แล้วขอความคิดเห็นจากผู้ฟัง รวมไปถึงการร่วมปรึกษาหารือ เป็นต้น
3) การวางแผนร่วมกันและการตัดสินใจ เป็นระดับขั้นที่สูงกว่าการปรึกษาหารือ กล่าวคือ เป็นเรื่องการมีส่วนร่วมที่มีขอบเขตกว้างมากขึ้น มีความรับผิดชอบร่วมกันในการตัดสินใจ และวางแผน เตรียมโครงการ และเตรียมรับผลที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ โดยระดับนี้มักใช้ในกรณีที่เป็นเรื่องซับซ้อน และมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นมากมาย เช่น การใช้กลุ่มที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การใช้ อนุญาโตตุลาการเพื่อปัญหาข้อขัดแย้ง การเจรจาเพื่อหาทางประนีประนอมกัน เป็นต้น
4) การพัฒนาศักยภาพในการมีส่วนร่วม สร้างความเข้าใจให้กับสาธารณชน เป็น ระดับขั้นที่สูงสุดของการมีส่วนร่วม กล่าวคือ เป็นระดับที่ผู้รับผิดชอบโครงการได้ตระหนักถึงความสำคัญและ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการมีส่วนร่วมของประชาชน และได้มีการพัฒนาสมรรถนะหรือขีดความสามารถในการมี ส่วนร่วมของประชาชนให้มากขึ้น จนอยู่ในระดับที่สามารถมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่และเกิดประโยชน์สูงสุด

5. หลักความรับผิดชอบ หมายถึง การตระหนักในสิทธิหน้าที่ สำนึกในความรับผิดชอบ ต่อสังคม การใส่ใจต่อปัญหาสาธารณะ ความกระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหาสาธารณะ การเคารพในความคิดเห็น ที่แตกต่าง และความกล้าหาญที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของตน

หลักความรับผิดชอบ เช่น
1) การมีเป้าหมายชัดเจน เป็นสิ่งสำคัญสิ่งแรกของระบบสำนึกรับผิดชอบ กล่าวคือ องค์การจะต้องทำการกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติการสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้ชัดเจนว่าต้องการ บรรลุอะไรและเมื่อไรที่ต้องการเห็นผลลัพธ์นั้น
2) ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน จากเป้าหมายที่ได้กำหนดเอาไว้นั้นต้องประกาศ ให้ทุกคนได้รับรู้และเกิดความเข้าใจ ถึงสิ่งที่ต้องการบรรลุ และเงื่อนไขเวลาที่ต้องการให้เห็นผลงาน เปิดโอกาส ให้ทุกคนได้เป็นเจ้าของ โครงการสร้างวัฒนธรรมนี้ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการประสานกำลังคนร่วมใจกันทำงาน เพื่อผลิตภาพโดยรวมขององค์การ
3) การปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะความสำเร็จของการสร้างวัฒนธรรม สำนึกความรับผิดชอบอยู่ที่ความสามารถของหน่วยงานในการสื่อสารสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในองค์การ ผู้บริหารให้ความสนับสนุน แนะนำ และทำการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ มีการประสานงานร่วมมือกันทำงาน ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในองค์การ
4) การจัดการพฤติกรรมที่ไม่เอื้อการทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งในปัจจุบันนั้น การเปลี่ยนแปลงนับว่าเป็นเรื่องปกติ และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงมักจะมีการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเสมอ ดังนั้นหน่วยงานจึงต้องมีมาตรการในการจัดการกับพฤติกรรมการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อให้ทุกคน เกิดการยอมรับแนวความคิดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ
5) การมีแผนการสำรอง ซึ่งส่วนประกอบสำคัญขององค์การที่มีลักษณะวัฒนธรรม สำนึกรับผิดชอบจะต้องมีการวางแผนฟื้นฟูที่สามารถสื่อสารให้ทุกคนในองค์การได้ทราบและเข้าใจถึงแผนและ นโยบายขององค์การ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ต้องมีการกระจายข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องสมบูรณ์อย่างเปิดเผย
6) การติดตามและประเมินผลการทำงาน กล่าวคือ องค์การจำเป็นต้องมีการติดตาม และประเมินผลการทำงานเป็นระยะ ๆ อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อตรวจสอบดูว่าผลงานนั้นเป็นไปตามมาตรฐาน คุณภาพงานที่กำหนดไว้หรือไม่ สำหรับผลงานที่พบว่ายังไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดจะต้องมีการดำเนินการ แก้ไขในทันที ซึ่งขณะเดียวกันผลงานที่ได้มาตรฐานต้องได้รับการยอมรับยกย่องในองค์การ

6. หลักความคุ้มค่า หมายถึง การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก่ส่วนรวม โดยใช้อย่างคุ้มค่า สร้างสรรค์สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ แข่งขันได้ในเวทีโลก และรักษาพัฒนา ทรัพยากรธรรมชาติให้สมบูรณ์ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นประโยชน์สูงสุด

หลักความคุ้มค่า เช่น
1) การประหยัด ประกอบด้วย การทำงานและผลตอบแทนบุคลากรเป็นไปอย่าง เหมาะสม การไม่มีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ การมีผลผลิตหรือบริการได้มาตรฐาน การมีการตรวจสอบภายใน และการจัดทำรายงานการเงิน และการมีการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ
2) การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประกอบด้วย การใช้ทรัพยากรอย่าง มีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และมีการใช้ผลตอบแทนตามผลงาน
3) ความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วย การมีนโยบาย แผน วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย การมีการเน้นผลงานด้านบริการ การมีการประเมินผลการทำงาน และผู้บริหารระดับสูงมีสภาวะ ผู้นำ

ธรรมาภิบาลกับระบบราชการ

หลัก Good Governance นั้นสามารถนำมาปรับใช้ในระบบราชการไทยได้ แม้ว่าการปฏิรูป ระบบราชการหรือการปฏิรูปภาครัฐไทยเกิดขึ้นจากแรงกดดันของการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ภาครัฐต้องทำงาน อย่างมีศักยภาพ และกระแสประชาธิปไตยที่ภาคประชาชนคาดหวังจากภาครัฐมากขึ้น ดังนั้นการปฏิรูประบบ ราชการจึงเป็นภารกิจที่รัฐบาลในประเทศดำเนินการเปลี่ยนลักษณะการบริหารราชการแผ่นดิน การให้บริการและ พัฒนาระบบราชการตามหลักการบริหารราชการแนวใหม่ โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ เพื่อให้ได้ “ระบบราชการ 4.0” หรือ “ระบบการบริหารภาครัฐแนวใหม่”

ในการนำ Good Governance มาปรับใช้จะได้ผลมากแค่ไหนนั้นพบว่า ระบบราชการหรือ ระบบบริหารงานภาครัฐจำเป็นต้องมีลักษณะที่พึงประสงค์ ดังต่อไปนี้
1. รัฐบาลจะมีบทบาทหน้าที่เฉพาะในส่วนที่จำเป็นจะต้องทำเท่านั้นเพื่อเปิดโอกาสให้ ภาคเอกชน ประชาชน และชุมชนมีบทบาทมากขึ้น
2. การบริหารภายในภาคราชการจะมีความรวดเร็ว มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูง
3. การจัดองค์การมีความกะทัดรัด เหมาะสม คล่องตัว และสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่าง รวดเร็วตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายและสภาพแวดล้อม
4. มีลักษณะของการทำงานและการให้บริการที่ทันสมัยใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ และอุปกรณ์ ที่เหมาะสมต่อการทำงานที่รวดเร็ว
5. ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีคุณภาพและมีมาตรฐานทางคุณธรรมสูง เป็นมืออาชีพ และวางตัวเป็นกลางทางการเมือง
6. ข้าราชการทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยมีประชาชนและประเทศชาติเป็นเป้าหมาย
7. มีกลไกการบริหารงานบุคคลที่ได้มาตรฐานสากล มีระบบค่าตอบแทนที่เป็นธรรม เพื่อ เปิดโอกาสให้คนไทยมีคุณภาพและมีศักยภาพสูงเต็มใจเข้ารับราชการเป็นอาชีพ
8. มีวัฒนธรรมและบรรยากาศในการทำงานแบบมีส่วนร่วม
9. มีความโปร่งใส มีความรับผิดชอบและสามารถตรวจสอบได้ เป็นต้น

การปฏิรูประบบบริหารงานภาครัฐร่วมสมัยที่มีความหลากหลายในตัวเอง มีลักษณะของ การผสมผสานองค์ความรู้ในแบบสหสาขาวิชา ต้องการให้อิสระและความคล่องตัวทางการบริหารเพื่อก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาผลการดำเนินงาน โดยจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญในเรื่องของประสิทธิภาพและประสิทธิผล และคุณภาพของการให้บริการและความคุ้มค่า

การบริหารภาครัฐแนวใหม่ได้พัฒนามาจากรูปแบบและประสบการณ์ในการปฏิรูปและอาศัย องค์ความรู้ในแบบสหวิทยาการ โดยการลดขนาดและบทบาทของรัฐให้เล็กลงหรือให้มีเหลือน้อยที่สุด หรือปรับ ให้เข้ากับการแข่งขันในระบบตลาด โดยวิธีการต่าง ๆ และต้องการเปลี่ยนแปลงให้การบริหารราชการแผ่นดิน มีความทันสมัยให้มากขึ้น ในการนำวิธีการบริหารในเชิงธุรกิจเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล และคุณภาพของการให้บริการประชาชน

ระบบราชการ 4.0 มีการมุ่งสู่ไทยแลนด์ 4.0 กำหนดยุทธศาสตร์ 20 ปี ภาครัฐทำการปรับตัว อำนวยความสะดวกในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมยุคดิจิตอล ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มุ่งเน้นความคล่องตัวเพื่อขับเคลื่อนภารกิจพิเศษ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่ระบบราชการ 4.0

ระบบราชการ 4.0 พบว่า ภาครัฐทำการปรับตัว อำนวยความสะดวกในการดำเนินกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ และสังคมดิจิทัลมุ่งเน้นการคล่องตัวเพื่อขับเคลื่อนภารกิจพิเศษในการทำงานภายใต้ธรรมาภิบาล ที่ยึดหลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ และหลักความ คุ้มค่า ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

– หลักนิติธรรม พบว่ามีการประกาศใช้กฎหมายแก้ไขปรับปรุง ตลอดยกเลิกกฎหมายเก่า และเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เหมาะกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เช่น พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณา อนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐปี พ.ศ. 2560 เป็นต้น จึงเห็นได้ว่ากรณีการทุจริตที่เป็นคดีความ จะเป็นที่สนใจของประชาชน
– หลักคุณธรรม พบว่ามีการดำเนินงาน รณรงค์ให้หน่วยงานราชการส่งเสริมคุณธรรมและ ความโปร่งใสของหน่วยงานราชการทุกระดับ ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน มีการนำคดีความ เกี่ยวกับการทุจริตเข้าพิจารณาในกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง
– หลักความโปร่งใส พบว่าหลังเกิดเหตุการณ์ต่างชาติประเมินความโปร่งใสของประเทศ ไทยอยู่ในระดับต่ำ รัฐบาลจึงได้เน้นย้ำให้หน่วยงานภาครัฐ ยึดถือความซื่อสัตย์สุจริตเป็นบรรทัดฐานในการ ปฏิบัติหน้าที่ โดยที่ผ่านมา ปรากฏว่าระดับความโปร่งใสในประเทศไทย จากการประเมินขององค์การต่าง ๆ ดีขึ้น
– หลักการมีส่วนร่วม พบว่ายุทธศาสตร์ประชารัฐของรัฐบาลเป็นความร่วมมือกันให้เกิด พลังการสร้างสรรค์ให้ทำดี ไม่ใช่เพื่อรัฐบาล หรือเพื่อข้าราชการ แต่เพื่อประชาชนทุกคน ยุทธศาสตร์การพัฒนา ประชารัฐ ได้แก่ การเสริมสร้างหลักการใช้บังคับกฎหมายที่ถูกต้องตามเจตนารมณ์และปรัชญากฎหมาย โอกาส และสภาวะแวดล้อม ให้สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน, การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาของ ทุกภาคส่วน, การเพิ่มพูนประสิทธิผลและประสิทธิภาพของภาครัฐ และการสร้างความต่อเนื่องในการบริหารรัฐกิจ
– หลักความรับผิดชอบ พบว่ารัฐบาลปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะเข้าใจ รากเหง้าของปัญหาต่าง ๆ เป็นอย่างดี จัดระเบียบสังคมอย่างจริงจัง และมีการจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้
– หลักความคุ้มค่า พบว่ามีความต้องการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดเพื่อให้เกิดประโยชน์ แก่ส่วนรวม กระจายสินค้าและวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาระบบการขนส่งให้เป็นศูนย์กลาง ของอาเซียนอีกด้วย

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ข้อ 2. ตัวแบบการนำนโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งศาสตราจารย์ ดร.วรเดช จันทรศร ได้เรียบเรียงไว้และนำไปใช้ กับกระทรวง กรมต่าง ๆ มาแล้วหลายตัวแบบ ตัวแบบทั่วไป (General Model) เป็นตัวแบบหนึ่งที่ ได้ทดลองใช้มาแล้ว ท่านคิดว่าตัวแบบทั่วไปมีปัจจัยสำคัญ ๆ อะไรบ้างที่จะทำให้การนำนโยบาย ไปปฏิบัติประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร จงอธิบาย (แยกอธิบายเป็นข้อ ๆ ตามปัจจัย)

แนวคำตอบ

ศาสตราจารย์ ดร.วรเดช จันทรศร ได้เสนอตัวแบบการนำนโยบายไปปฏิบัติไว้ 6 ตัวแบบ ดังนี้
1. ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล (Rational Model)
2. ตัวแบบทางด้านการจัดการ (Management Model)
3. ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ (Organization Development Model)
4. ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ (Bureaucratic Process Model)
5. ตัวแบบทางการเมือง (Political Model)
6. ตัวแบบทั่วไป (General Model)

ตัวแบบการนำนโยบายไปปฏิบัติแบบทั่วไป (General Model) ถือว่าเป็นตัวแบบหนึ่งที่มี การนำไปทดลองใช้กับกระทรวง กรมต่าง ๆ มาแล้ว

ตัวแบบทั่วไป (General Model) มองว่า ปัจจัยที่จะทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติประสบ ความสำเร็จนั้นมีอยู่หลายประการ เช่น ขีดสมรรถนะของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการปฏิบัติตามนโยบาย ความชัดเจนของตัวนโยบาย กระบวนการติดต่อสื่อสาร การให้ความร่วมมือสนับสนุนจากผู้ปฏิบัติงาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญต่อปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกดังกล่าวอาจส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายไปปฏิบัติได้ ไม่มากก็น้อย ซึ่งตัวแบบทั่วไปสามารถแสดงได้ดังรูปต่อไปนี้

(รูปภาพแผนผัง: แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง บรรทัดฐานของวัตถุประสงค์ของนโยบาย, ทรัพยากร, กระบวนการติดต่อสื่อสาร, กิจกรรมเพื่อให้การบังคับใช้มีผล, ลักษณะของหน่วยปฏิบัติ, ความสนับสนุนของผู้ปฏิบัติ, สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม, สภาวะทางการเมือง ไปสู่ ผลของการนำนโยบายไปปฏิบัติ)

ปัจจัยสำคัญ ๆ ที่ทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว มีดังนี้

1. สมรรถนะของหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ พิจารณาจากขีดความสามารถของ หน่วยงาน ซึ่งความสำเร็จของการนำนโยบายไปปฏิบัตินั้นพบว่าส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสมรรถนะของหน่วยงานที่ รับผิดชอบในการนำนโยบายไปปฏิบัติ ว่ามีความสามารถในการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์มากน้อย เพียงใด ซึ่งสมรรถนะจะมีมากหรือน้อยยังขึ้นอยู่กับปัจจัยย่อยอีกหลายประการ ได้แก่ ปัจจัยด้านบุคลากร เงินทุน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนปัจจัยด้านวิชาการหรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในนโยบายนั้น

2. ตัวนโยบาย พิจารณาจากผลประโยชน์สัมพัทธ์ของนโยบาย กล่าวคือ เมื่อนำนโยบาย ไปปฏิบัติจะต้องมีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ซึ่งผลประโยชน์สัมพัทธ์จะดูว่ามีคนที่ได้ประโยชน์ มากกว่าหรือไม่ ถ้าคนได้ประโยชน์มากกว่าก็ทำงานง่าย แต่ถ้าคนที่เสียประโยชน์มีมากกว่า และเป็นคนมีพลัง เสียงดังก็ถือเป็นเรื่องยาก จากหลักการที่ว่านโยบายที่ดีต้องจัดสรรผลประโยชน์ให้กับคนที่ควรได้ประโยชน์จาก นโยบาย และไม่ควรให้ประโยชน์กับผู้ที่ไม่ควรได้ประโยชน์จากนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติจึงต้องแยกให้ ได้ว่าใครควรได้ประโยชน์ ใครไม่ควรได้ประโยชน์จากนโยบาย ถ้าทำได้การนำนโยบายไปปฏิบัติย่อมได้รับการ สนับสนุน ซึ่งประเด็นต่อมาก็คือ ความสอดคล้องระหว่างแนวทางของนโยบายกับค่านิยมในสังคม ถ้าสอดคล้องกัน สังคมจะยอมรับนโยบายได้ง่าย แต่ถ้าขัดแย้งกัน ประชาชนก็จะไม่ให้ความร่วมมือกับนโยบายนั้น ๆ

3. วัตถุประสงค์ของนโยบาย พิจารณาจากความชัดเจน ความเข้าใจตรงกัน สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ที่มี และในแต่ละข้อไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน รวมถึงความยากหรือง่ายในการรับรู้ วัตถุประสงค์ ถ้ารับรู้ยาก โอกาสที่นโยบายจะปฏิบัติให้สำเร็จย่อมน้อย แต่ถ้ารับรู้ง่าย อ่านแล้วเข้าใจว่า นโยบายต้องการอะไร ซึ่งนโยบายแบบนี้ก็จะปฏิบัติง่าย โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีสูง และในขณะเดียวกัน ถ้ามีดัชนีชี้วัดเป็นรูปธรรม ผู้ปฏิบัติรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกหรือผิด โอกาสที่จะทำให้ประสบความสำเร็จย่อมมีมาก

4. ความเป็นไปได้ทางการเมือง พิจารณาจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลหรือผู้นำในสังคม เช่น ผู้นำทางการเมือง ผู้นำทางเศรษฐกิจ ผู้นำทางสังคม และอิทธิพลของกลุ่มสื่อมวลชน ซึ่งต้องยอมรับว่า นโยบายใด ที่สื่อสนับสนุนหรือเชียร์จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง

5. ความเป็นไปได้ทางเทคนิค/ทฤษฎี พิจารณาจากการร่างนโยบายผ่านกระบวนการ ที่ถูกต้องตามที่สังคมวางระเบียบไว้หรือไม่ เช่น นโยบายที่ต้องทำการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือทำ ประชาพิจารณ์เสียก่อนก็ต้องทำตามนั้น ถ้าไปทำแบบลัดขั้นตอนก็อาจจะก่อปัญหาได้ในภายหลัง รวมไปถึง แนวทางในการนำนโยบายไปปฏิบัติ นโยบายใดที่ไม่เรียกร้องให้ผู้นำนโยบายไปปฏิบัติต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มากจนเกินไป นโยบายนั้นก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ นอกจากนี้การนำนโยบายไปปฏิบัติที่ต้องขึ้นอยู่ กับเทคโนโลยี ต้องเหมาะสม ไม่ล้าสมัยเกินไปหรือล้ำสมัยจนตามไม่ทัน

6. ความพอเพียงของทรัพยากร พิจารณาจากการสนับสนุนในด้านการเงิน กล่าวคือ นโยบายนั้นจะต้องได้รับการสนับสนุนด้านการเงินอย่างมั่นคงแน่นอน ทำสัญญากันอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร หรือมีแผนงบประมาณที่ชัดเจน รวมไปถึงคุณภาพของกำลังคนทั้งในแง่ของความรู้และเจตคติด้วย

7. ลักษณะของหน่วยที่นำนโยบายไปปฏิบัติ พิจารณาจากประเภทของหน่วยโครงสร้าง ภารกิจเหมาะสมกับการนำนโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งพบว่าโครงสร้างองค์การแบบแบนราบมีลำดับชั้นน้อยจะดีกว่า โครงสร้างองค์การแบบแนวดิ่งลำดับชั้นมาก ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับงานแต่ละงาน ถ้างานที่ต้องการความละเอียด แม่นยำสูง ถ้าวิธีการผิด ผลลัพธ์ก็จะผิด จึงควรจัดโครงสร้างองค์การแบบแนวดิ่งที่แต่ละชั้นมีสมาชิกไม่กี่คน หัวหน้าสามารถควบคุมงานได้อย่างใกล้ชิดทั่วถึง สำหรับโครงสร้างองค์การแบบแบนราบนั้นจะมีลำดับชั้นน้อย แต่ละชั้นมีสมาชิกมาก จึงเหมาะกับงานที่ต้องการการปรึกษาหารือกัน ไม่มีผลลัพธ์โดยเจาะจง สามารถปฏิบัติได้ หลาย ๆ แนวทาง ไม่ว่าจะใช้แนวทางใดผลก็ไม่แตกต่างกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพบว่างานนโยบายจะเหมาะสมกับ แนวระนาบมากกว่า

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ข้อ 3. จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองที่เรียกว่า “อำมาตยาธิปไตย” กับ “ความเป็นกลางทางการเมือง” ว่ามีลักษณะอย่างไรบ้าง มา 2 ประเด็น และความสัมพันธ์ดังกล่าวได้สร้าง ปัญหาข้อขัดแย้งในด้านอำนาจและด้านนโยบายหรือไม่ อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง สถานการณ์จริงในปัจจุบันมาประกอบให้เข้าใจ

แนวคำตอบ

ระบบการเมืองอำมาตยาธิปไตย คือ ระบบที่อำนาจทางการเมืองส่วนใหญ่อยู่ในมือของ ข้าราชการประจำและกองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการทหาร ซึ่งจะต่างจาก “ความเป็นกลางทางการเมือง” ที่หมายถึงการที่บุคคลหรือองค์กรไม่ฝักใฝ่หรือสนับสนุนฝ่ายการเมืองใดฝ่ายหนึ่งเป็นพิเศษ ดังนั้นระบบการเมือง อำมาตยาธิปไตยจึงขัดแย้งกับความเป็นกลางทางการเมืองอย่างชัดเจน เนื่องจากระบบนี้นั้นการใช้อำนาจของ ข้าราชการในการบริหารประเทศ ซึ่งมักจะมีการจัดตั้งและรักษาอำนาจผ่านการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ในขณะที่ ความเป็นกลางทางการเมืองต้องการให้ทุกฝ่ายได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน และไม่มีการเลือกปฏิบัติ

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองอำมาตยาธิปไตยกับความเป็นกลางทางการเมือง

1. การแทรกแซงทางการเมือง กล่าวคือ ระบบการเมืองโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา นั้นมักจะขาดสถาบันทางการเมืองที่มั่นคงและมีความสามารถ ดังนั้นการถ่วงดุลหรือการควบคุมอำนาจของ ระบบราชการจึงมีน้อย จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ข้าราชการประจำทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนเข้ามามีบทบาททาง การเมืองได้ง่าย ซึ่งดูเป็นลักษณะการขาดดุลของอำนาจ แต่หากพิจารณากันอย่างแท้จริงแล้วก็นับเป็นหน้าที่ของ ระบบราชการที่จะต้องเข้ามาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของชาติ ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองขาดองค์กรทางการเมือง พื้นฐานอื่น ๆ เช่น สภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น นอกจากนี้ฝ่ายข้าราชการประจำมักจะมองว่าฝ่ายการเมืองนั้นไม่มี ความถนัดชัดเจนในการสร้างนโยบาย เนื่องจากคอยแก่งแย่งตำแหน่งกันทางการเมือง และการเข้ามาดำรงตำแหน่ง ก็เป็นเพียงครั้งคราว ขาดความรู้และไม่มีข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารเมื่อเปรียบเทียบกับข้าราชการ การไม่มี ความสามารถเฉพาะด้านดังกล่าวทำให้ฝ่ายข้าราชการให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ระดับน้อยที่สุดคือ การให้ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ ไปจนถึงระดับมากที่สุดคือ การเข้าครอบงำฝ่ายการเมืองโดยการเสนอหรือทำนโยบายเสียเอง และกรณีนี้จะมีความรุนแรงยิ่งขึ้นถ้าหากข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ในขณะเดียวกัน นอกจากนั้นความไม่ไว้วางใจฝ่ายการเมือง เนื่องจากเกรงว่าฝ่ายการเมืองจะเข้าแทรกแซงในงานประจำของตน อันทำให้ผลประโยชน์และสถานภาพของตนถูกกระทบกระเทือน ซึ่งการไม่เข้าใจหรือการไม่ยอมรับปฏิบัติตาม หลักความเป็นกลางทางการเมืองก็เป็นเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายข้าราชการประจำเข้าแทรกแซง ฝ่ายการเมืองเช่นกัน

2. ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง กล่าวคือ ข้าราชการประจำนั้นเข้าดำรงตำแหน่งหรือ เข้าทำงานโดยการสอบตามระบบคุณธรรม ระยะในการดำรงตำแหน่งและความมั่นคงในอาชีพนั้นจัดว่าเป็น ความแตกต่างที่ไม่แปรเปลี่ยนไป แต่ความแตกต่างด้านอื่น ๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในระยะยาว เช่น ความรู้ ความชำนาญงาน เป็นต้น ถ้าไม่มีความผิดปฏิบัติราชการไปตามปกติ ก็อยู่ในระบบราชการไปจนปลดเกษียณอายุ ราชการ ซึ่งหมายความว่าข้าราชการประจำปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องมากกว่าข้าราชการการเมือง ส่วนข้าราชการ การเมืองนั้นเข้าดำรงตำแหน่งโดยผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน หรือการแต่งตั้งจากผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจาก ประชาชน มีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือพ้นจากตำแหน่งไปเมื่อมีการยุบสภา ก่อนกำหนด มีการปฏิวัติรัฐประหาร หรือมีการปฏิรูป หรือพ้นจากตำแหน่งเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทาง การเมือง เช่น การปรับคณะรัฐมนตรี เป็นต้น จึงทำให้ถูกมองว่าพฤติกรรมของข้าราชการการเมืองมักผันแปรไป ตามมติมหาชนและข้อเรียกร้องของผู้มีสิทธิออกเสียง แต่สำหรับข้าราชการประจำนั้นจะปฏิบัติตนตามกรอบ กฎหมายและระเบียบข้อบังคับของข้าราชการ และไม่มีความจำเป็นโดยตรงที่จะเอาใจหัวคะแนนหรือประชาชน กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ แม้ว่าข้าราชการประจำจะสังกัดพรรคการเมืองโดยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ แต่ ในทางปฏิบัติแล้วจะต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใด และจะต้องทำตามมติของประชาชนที่เกี่ยว [ข้อง] โดยตรงกับงานที่ข้าราชการผู้นั้นกระทำอยู่

3. การวางตนไม่เป็นกลางทางการเมือง กล่าวคือ หลักการวางตนเป็นกลางทางการเมือง ของข้าราชการประจำนั้นถือเป็นสาระสำคัญประการหนึ่งของระบบคุณธรรม ซึ่งความเป็นกลางทางการเมืองอาจให้ ความหมายได้ว่าเป็นการประพฤติและปฏิบัติตน โดยมีเจตจำนงที่จะไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งนับเป็นหลักการ สำคัญที่มุ่งหวังให้ข้าราชการประจำปฏิบัติหน้าที่ของตนตามความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่และเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ ในทางการเมืองหรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งในฐานะของข้าราชการประจำจะต้องปฏิบัติตามนโยบาย ของรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม

ในทางปฏิบัตินั้นแม้ว่าจะมีหลักการของระบบคุณธรรมและบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยเรื่องดังกล่าว รวมไปถึงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยมารยาททางการเมืองของข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2499 ซึ่งต้องการให้ข้าราชการวางตนเป็นกลางทางการเมืองก็ตาม แต่การปฏิบัติในหลายประการยังไม่มี ความชัดเจนเท่าที่ควร สิ่งที่ยากจะปฏิเสธก็คือ ความพึงพอใจในพรรคการเมืองหรือตัวข้าราชการการเมืองของ ตัวข้าราชการประจำแต่ละคน รวมทั้งผลประโยชน์และผลกระทบต่าง ๆ ที่จะได้รับ นอกจากนี้ในการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งของข้าราชการประจำอาจมองได้ว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนได้ เนื่องจาก ข้าราชการจะมีความรู้สึกต้องการตอบแทนบุญคุณอันเป็นอิทธิพลจากวัฒนธรรมของสังคมไทยประการหนึ่ง ไม่มากก็น้อย และข้าราชการการเมืองก็ได้รับการประพฤติปฏิบัติในลักษณะพิเศษหรือยกเว้น เช่น ได้รับข้อมูล ข่าวสารที่สำคัญและทันสมัย ได้รับการบริการเป็นกรณีเร่งด่วนเป็นพิเศษ เป็นต้น

ข้อขัดแย้งในด้านอำนาจ

1. ภูมิหลังที่มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ข้าราชการการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งหรือ โดยการแต่งตั้งจากผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง ซึ่งข้าราชการการเมืองหรือรัฐบาลมีจุดแข็งอยู่ที่สามารถอ้างความชอบธรรม จากความเห็นชอบของประชาชน และมีความลึกซึ้งทราบถึงปัญหาและความต้องการของประชาชน เพื่อกำหนด นโยบายและเจตนารมณ์ของนโยบายได้ดี แต่ข้าราชการประจำแล้วมีความชอบธรรมของการดำรงตำแหน่ง โดยผ่านระบบคุณธรรม ซึ่งข้าราชการประจำจะมีจุดแข็งที่มีความรู้ความสามารถ มีข้อมูลข่าวสารที่ดี และมีความ ต่อเนื่องในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งหากโอกาสเอื้ออำนวยก็สามารถที่จะเข้าไปแทรกแซงการกำหนดนโยบายสาธารณะ ได้เช่นกัน

ในด้านการรับรู้เป้าหมายและวิธีการบริหารราชการก็ยังมีความแตกต่างกันจากโครงสร้าง การจัดองค์การและระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามกฎหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งอำนาจหน้าที่และวิธีการ บริหารราชการที่กำหนดไว้แตกต่างกัน จึงทำให้ข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำต่างก็มีเป้าหมายใน การทำงาน มีแรงจูงใจหรือแรงกดดัน ตลอดจนมีแนวทางในการทำงานและวิธีการบริหารที่แตกต่างกัน และ หากแต่ละฝ่ายต่างก็ยึดเป้าหมายและวิธีการบริหารราชการในลักษณะปัจเจกบุคคลหรือฝ่ายของตนเอง จะทำให้ เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีและนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ

2. ข้อขัดแย้งในด้านการบริหารงานบุคคล กล่าวคือ ข้าราชการการเมืองที่เข้ามาโดยผ่าน ระบบการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งโดยผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความเห็นว่าเป็นการใช้ระบบการ สรรหาบุคคลตามระบบอุปถัมภ์ ซึ่งแตกต่างจากการสรรหาข้าราชการประจำที่ใช้ระบบคุณธรรม น่าจะเป็นพื้นฐาน อันหนึ่งที่ทำให้มีทัศนคติที่แตกต่างกัน แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะมีการบัญญัติมิให้ข้าราชการการเมืองใช้สถานะหรือ ตำแหน่งเข้าไปก้าวก่ายการบริหารงานบุคคลของข้าราชการประจำ ในการบรรจุ แต่งตั้ง ย้าย โอน เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนขั้นเงินเดือน หรือการให้พ้นจากตำแหน่งก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร ราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ซึ่งกำหนดให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหรือทบวง เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการประจำเกี่ยวพันกับอำนาจในการอนุมัติ หรือเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อบรรจุแต่งตั้งข้าราชการประจำระดับสูงอย่างใกล้ชิด

กรณีตัวอย่างที่ปรากฏเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนว่าความขัดแย้งหลายประการที่เกิดขึ้น นั้นมาจากเรื่องของอำนาจในการบริหารงานบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องราวของ “การให้คุณให้โทษ” ข้าราชการประจำ ในฐานะของผู้บังคับบัญชาข้าราชการประจำตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มักจะมี แนวความคิดในการช่วงชิงอำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการประจำระดับสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีข้อถกเถียง โต้แย้ง และ ช่วงชิงกันมานาน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลสนับสนุนแนวความคิดของตนเอง เช่น ฝ่ายการเมืองอ้างว่า เมื่อตน ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนให้บริหารราชการแผ่นดินแล้ว ก็ควรมีอำนาจในการเลือกใช้คนได้ตามควรแก่กรณี หากฝ่ายการเมืองไม่มีอำนาจในการให้คุณให้โทษ ข้าราชการประจำก็อาจจะไม่สนองนโยบายของฝ่ายการเมือง เท่าที่ควร

ข้อขัดแย้งในด้านนโยบาย

1. การแทรกแซงการกำหนดนโยบาย กล่าวคือ การแทรกแซงการกำหนดนโยบาย สาธารณะของข้าราชการประจำหรือความพยายามของข้าราชการประจำที่จะเข้าไปมีอิทธิพลหรือเรียกร้องการ กำหนดนโยบายซึ่งเป็นหน้าที่ของข้าราชการการเมือง ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น เป้าหมายและนโยบายที่ ฝ่ายการเมืองหรือคณะรัฐมนตรีกำหนดขึ้นบางครั้งไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและขาดความชัดเจน ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาพื้นฐานที่ทำให้ระบบราชการไม่มีประสิทธิภาพ เพราะข้าราชการประจำไม่สามารถ นำเอานโยบายไปปฏิบัติได้

กรณีตัวอย่างซึ่งจะเห็นได้จากการปฏิรูปทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเจตนารมณ์ ที่จะก่อให้เกิดข้าราชการการเมืองที่มีลักษณะของความเป็นอาชีพ และมีแนวโน้มว่าจะมีความเสถียรภาพหรือความ ต่อเนื่องในการดำรงตำแหน่งมากยิ่งขึ้น มีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น และการบริหารราชการแผ่นดินของข้าราชการ การเมืองก็พยายามที่จะแก้ไขจุดอ่อนในเรื่องของการขาดข้อมูลที่กำหนดนโยบาย และเลือกทางเลือกหรือตัดสินใจ ให้นโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่ดีออกมา แม้ว่าจะมีสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีหรือมีการยืมตัวข้าราชการ ประจำระดับเจ้าหน้าที่ที่มีศักยภาพจำนวนหนึ่งออกมาเพื่อช่วยราชการก็ตาม ความสำคัญของระบบราชการและ ข้าราชการประจำที่เป็นสถาบันกลไกสำคัญในการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและให้ ข้อเท็จจริงในเชิงการปฏิบัติ หากเป็นเรื่องที่มีผลกระทบเป็นวงกว้างเกี่ยวกับหลายฝ่าย การรวบรวมข้อมูลสำคัญ เพื่อประกอบการตัดสินใจก็จะต้องอาศัยข้าราชการเป็นผู้รวบรวม ยิ่งถ้าเรื่องใดที่ต้องอาศัยข้อมูลข่าวสาร และ คำเสนอแนะจากข้าราชการประจำมาก ๆ ก็จะยิ่งทำให้ข้าราชการประจำเข้ามามีส่วนในการผลักดันและกำหนด นโยบาย ตลอดจนมาตรการต่าง ๆ ของข้าราชการการเมืองสูงตามไปด้วย

นอกจากนี้ยังพบว่า ข้าราชการประจำยังเป็นกลไกสำคัญที่จะรองรับต่อการกำหนด นโยบาย ซึ่งข้าราชการการเมืองต้องการผลการดำเนินงานที่ดี ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมาย อุดมการณ์ และ ความต่อเนื่องในอาชีพนักการเมือง และได้รับการยอมรับจากประชาชน ซึ่งผลการดำเนินงานตามนโยบายของ ข้าราชการประจำจึงมีความสำคัญต่อข้าราชการการเมืองที่จะต้องรับผิดชอบต่อสาธารณชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการยอมรับและเห็นความสำคัญของนโยบายของข้าราชการประจำจะเป็นเครื่องประกันถึงความสำเร็จ หรือการบรรลุเป้าหมายของนโยบายที่ข้าราชการการเมืองเป็นผู้กำหนด หรืออาจจะกล่าวได้ว่าข้าราชการประจำ มีส่วนสัมพันธ์ต่อการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจของข้าราชการการเมืองด้วยนั่นเอง

2. การแทรกแซงการนำนโยบายไปปฏิบัติ กล่าวคือ การแทรกแซงการนำนโยบายไป ปฏิบัติของข้าราชการการเมืองนั้นอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยที่สำคัญจะมาจากข้าราชการการเมือง ต้องการผลงานที่ชัดเจนตามนโยบายหรือเป้าหมายที่วางไว้ในขั้นตอนการกำหนดนโยบายซึ่งอาจจะออกมาเป็น นโยบาย มาตรการ หรือกฎระเบียบต่าง ๆ ก็ตาม ความไม่ไว้วางใจข้าราชการประจำที่ปฏิบัติงานให้บังเกิดผลใน เวลาที่กำหนดซึ่งต้องการความรวดเร็ว จึงมักจะเข้ามาแทรกแซงในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าข้าราชการ การเมืองมักจะเข้ามาล้วงลูก เพื่อให้ได้ผลงานตามที่ต้องการ หลายครั้งเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่มักถูก วิพากษ์วิจารณ์ว่ามีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากการล้วงลูกดังกล่าวจะเป็นการกำหนดงาน โครงการ เป้าหมาย พื้นที่ วิธีการ เม็ดเงินหรืองบประมาณเพื่อลงในจังหวัดหรือพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อฐานคะแนนเสียง ของตนหรือพรรคการเมืองที่ตนสังกัด

ตัวอย่างกรณีศึกษา

จากกรณีการยุบพรรคก้าวไกลของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” โดยศาลมีคำสั่งยุบพรรค และมีการ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2564 – 31 มกราคม พ.ศ. 2567 ซึ่งได้อ้างว่าเป็นช่วงเวลาที่มีการกระทำอันเป็นเหตุให้ยุบพรรคผู้ถูกร้อง โดยเพิกถอน สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง

โดยมีใจความสำคัญหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อข้อเท็จจริงในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 รับฟังได้ว่า พรรคก้าวไกลผู้ถูกร้องกระทำการล้มล้างการปกครองฯ ย่อมเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อ การปกครองฯ ด้วย เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญ เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า คำว่าเป็นปฏิปักษ์ ไม่จำเป็นต้องรุนแรงถึง ขนาดล้มล้างทำลายให้สิ้นไป ทั้งยังไม่จำเป็นต้องถึงขนาดตั้งตนให้เป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น เพียงแค่เป็น การกระทำที่มีลักษณะขัดขวาง สกัดกั้นไม่ให้เจริญก้าวหน้า หรือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลาย หรือทำให้เป็นที่ลักษณะการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์แล้ว”

แม้ว่าในรัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 49 จะไม่ได้ระบุให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองได้ แต่ก็มีหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น ใน พ.ร.ป. พรรคการเมืองฯ มาตรา 92 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำวินิจฉัยและสั่งยุบพรรคการเมืองได้

การยุบพรรคก้าวไกลโดยศาลรัฐธรรมนูญนั้นได้สร้างความกังวลและวิพากษ์วิจารณ์อย่าง กว้างขวาง โดยมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาล ฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่า การกระทำของ พรรคก้าวไกลเข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็น การกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ในขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่า การยุบพรรคก้าวไกลเป็นผลมาจากการใช้กฎหมาย ที่ไม่เป็นธรรม และศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายกว้างเกินไป ไม่ได้คำนึงถึงเจตนาที่แท้จริงของพรรคก้าวไกล อีกทั้งยังเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งการยุบพรรคการเมือง ถือเป็นบทลงโทษที่รุนแรง มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ข้อ 4. การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและค่านิยมของการทำงานในระบบราชการใหม่ตามสภาวะปัจจุบันควร ดำเนินการอย่างไรที่จะสามารถสร้าง “วัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทย” (Bureaucratic Cultural) ที่เหมาะสมภายใต้การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (ธรรมาภิบาล) เพื่อมุ่งสู่ ระบบราชการ 4.0 จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างสถานการณ์จริงในปัจจุบันมาประกอบให้เข้าใจ

แนวคำตอบ

วัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทย (Bureaucratic Cultural) นั้นถูกหล่อหลอม โดยวัฒนธรรมของสังคมและการปกครอง เป็นผลให้ค่านิยมการเปิดรับต่อวัฒนธรรมอื่นและการยอมรับอำนาจ ของผู้มีสถานภาพทางสังคมสูงกว่า จัดได้ว่าเป็นค่านิยมหลักของข้าราชการ ซึ่งแสดงออกในด้านทัศนคติ ความคิด และพฤติกรรมการกระทำต่าง ๆ ในการทำงาน นอกจากค่านิยมหลักดังกล่าว สังคมไทยยังมีค่านิยมอีกหลายอย่าง ที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทย เช่น ค่านิยมความเป็นปัจเจกชนนิยม (Individualism) ค่านิยมรักสนุก ชอบอิสระ ชอบสบาย มีความกตัญญูรู้คุณ การเคารพผู้อาวุโส เป็นต้น

ระบบราชการ 4.0

ระบบราชการ 4.0 หรือ “ระบบราชการดิจิทัล” เป็นระบบราชการในบริบทไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่ว่า “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่ พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าว รัฐบาลจึงมี นโยบายที่จะใช้โมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และ ยั่งยืน หรือที่เรามักรู้จักกันว่า ไทยแลนด์ 4.0 หรือประเทศไทย 4.0 ดังนั้นระบบราชการจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้สอดรับและส่งเสริมไทยแลนด์ 4.0 จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบราชการ และราชการซึ่งเป็นฟันเฟือง สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล สามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับทิศทางการบริหารของประเทศ

การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและค่านิยมของการทำงานในระบบราชการใหม่ 4.0

1. จะทำอย่างไรให้การบริการภาครัฐสามารถตอบโจทย์ได้ตามความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalization) มากขึ้น ซึ่งต่างจากเดิมที่ต้องการยกระดับการบริการให้มีมาตรฐานเท่านั้น
2. จะทำอย่างไรให้หน่วยงานภาครัฐสามารถทำงานแบบบูรณาการร่วมมือกันได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการบริการที่ลื่นไหล (Seamless) ซึ่งต่างจากเดิมที่มุ่งเน้นพัฒนาแต่ละหน่วยงาน สามารถให้บริการได้ตามมาตรฐาน
3. จะทำอย่างไรให้ภาครัฐขับเคลื่อนประเทศได้ด้วยการยึดภารกิจเชิงประเด็น (Agenda- Based) โดยไม่เกิดความซ้ำซ้อน ซึ่งต่างจากเดิมที่ส่งเสริมให้บุคลากรมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
4. จะทำอย่างไรให้ภาครัฐขับเคลื่อน IT เพื่อพลิกโฉมทุกส่วนของภาครัฐอย่างเป็นองค์รวม (Holistic Transformation) ซึ่งต่างจากเดิมที่ IT มีบทบาทเพียงแค่สนับสนุนการพัฒนาเป็นครั้งคราว
5. จะทำอย่างไรให้ภาครัฐใช้เทคโนโลยีในการปรับสมดุลระหว่างความมีประสิทธิภาพและ ความโปร่งใส ซึ่งต่างจากเดิมที่ภาครัฐต้องการเพียงแค่การสร้างกลไกการปฏิบัติงานให้มีความรัดกุม เพื่อป้องกัน ช่องโหว่ของการทุจริต

ระบบราชการหรือภาครัฐนั้นจะต้องทำงานโดยยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคม ที่ดี (ธรรมาภิบาล) ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลัก ให้สามารถเป็นที่เชื่อถือ ไว้วางใจ และเป็นที่พึ่ง ของประชาชนได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 3 ด้าน คือ

1. เปิดกว้างและเชื่อมโยงกัน กล่าวคือ ต้องมีความเปิดเผยโปร่งใสในการทำงาน โดย บุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางราชการ หรือมีการแบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกัน และสามารถ เข้ามาตรวจสอบการทำงานได้ ตลอดจนเปิดกว้างให้กลไกหรือภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ได้เข้ามามีส่วนร่วม และโอนถ่ายภารกิจที่ภาครัฐไม่ควรดำเนินการเองออกไปให้แก่ภาคส่วนอื่น ๆ เป็นผู้รับผิดชอบ ดำเนินการแทน

2. ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง กล่าวคือ ต้องทำงานในเชิงรุกและมองไปข้างหน้า โดย ตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่า ประชาชนจะได้อะไร มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาความต้องการและตอบสนองความต้องการ ของประชาชน โดยไม่ต้องรอให้ประชาชนเข้ามาติดต่อขอรับบริการหรือร้องขอความช่วยเหลือจากทางราชการ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกโดยมีการเชื่อมโยงกันเองของทางราชการ เพื่อให้บริการต่าง ๆ สามารถเสร็จสิ้น ในจุดเดียว

3. มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย กล่าวคือ ต้องทำงานอย่างเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้า มี การวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างนวัตกรรมหรือความคิดริเริ่มและประยุกต์องค์ความรู้ในแบบสหสาขาวิชาเข้ามาใช้ ในการตอบโต้กับโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เพื่อสร้างคุณค่า มีความยืดหยุ่นและความสามารถใน การตอบสนองกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันเวลา ตลอดจนเป็นองค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง และปรับตัวเข้าสู่ สภาพความเป็นสำนักงานสมัยใหม่

การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (ธรรมาภิบาล) เพื่อมุ่งไปสู่ระบบราชการ 4.0 จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่

1. การสานพลังระหว่างภาครัฐและภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม ซึ่งเป็นการยกระดับการ ทำงานให้สูงขึ้นไปกว่าการประสานงานกัน (Coordination) หรือทำงานด้วยกัน (Cooperation) ไปสู่การร่วมมือกัน (Collaboration) อย่างแท้จริง โดยจัดระบบให้มีการวางแผนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการ ร่วมกัน มีการระดมและนำเอาทรัพยากรทุกชนิดเข้ามาแบ่งปันและใช้ประโยชน์ร่วมกัน มีการยอมรับความเสี่ยง และรับผิดชอบต่อผลสำเร็จที่เกิดขึ้นร่วมกัน เพื่อพัฒนาประเทศหรือแก้ปัญหาความต้องการของประชาชนที่มี ความสลับซับซ้อนมากขึ้น

2. การสร้างนวัตกรรม ซึ่งเป็นการคิดค้นและแสวงหาวิธีการหรือ Solutions ใหม่ ๆ อันจะ เกิด Big Impact เพื่อปรับปรุงและออกแบบการให้บริการสาธารณะและนโยบายสาธารณะให้สามารถตอบโจทย์ ความท้าทายของประเทศหรือตอบสนองปัญหาความต้องการของประชาชนได้อย่างมีคุณภาพ อันแปรผันไปตาม สภาพพลวัตของการเปลี่ยนแปลงโดยอาศัยรูปแบบห้องปฏิบัติการ (Gov Lab–Public Sector Innovation Lab) และใช้กระบวนการความคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking)

3. การปรับเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล ซึ่งเป็นการผสมผสานกันของการจัดเก็บและประมวล ข้อมูลผ่าน Cloud Computing อุปกรณ์ประเภท Smart Phone และ Collaboration Tool ทำให้สามารถ ติดต่อกันได้อย่าง Real Time ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลอันสลับซับซ้อนต่าง ๆ ได้

 

Advertisement