การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2567
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3301 นโยบายสาธารณะ
คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 1. – 5. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) Harold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Theodore Lowi
(4) William Greenwood
(5) Carl J. Friedrich
————————————————————————-
1. ใครให้เหตุผลในการกำหนดนโยบายไว้ 3 ประการ คือ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลทางวิชาชีพ และเหตุผลทางการเมือง
ตอบ 2 หน้า 57, (คำบรรยาย) โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผล (ความสำคัญ) ของการศึกษาและการกำหนดนโยบายสาธารณะไว้ 3 ประการ คือ
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Reasons) คือ การทำความเข้าใจเหตุและผลของการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย เพื่อให้ได้นโยบายที่มีเหตุผลมากที่สุด
2. เหตุผลทางวิชาชีพ (Professional Reasons) คือ การนำความรู้เชิงนโยบายไปใช้แก้ปัญหาทางด้านการปฏิบัติ โดยวิชาชีพที่แตกต่างกันจะทำให้การกำหนดนโยบายและการนำนโยบายไปปฏิบัติของแต่ละวิชาชีพมีความแตกต่างกัน
3. เหตุผลทางการเมือง (Political Reasons) คือ การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมทางการเมืองมาใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง โดยการใช้เหตุผลทางการเมืองมักจะทำให้การกำหนดนโยบายเป็นไปอย่างไม่มีเหตุผลแต่เป็นที่ยอมรับของประชาชน เช่น นโยบายประชานิยมต่าง ๆ เป็นต้น
2. ใครได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
ตอบ 1 หน้า 3, 58 – 59 ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่เน้นการสร้างภาพรวมและได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” ได้ให้ความหมายนโยบายสาธารณะร่วมกับอับราแฮม แคปแพลน (Abraham Kaplan) ว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง แผนหรือโครงการที่กำหนดขึ้น อันประกอบด้วยเป้าหมาย คุณค่า และแนวการปฏิบัติงานต่างๆ”
3. ใครจำแนกประเภทของนโยบายตามเนื้อหาสาระของนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 5 – 6, (คำบรรยาย) ธีโอดอร์ โลวาย (Theodore Lowi) ได้เสนอให้จำแนกประเภทของนโยบายตามเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้น ๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy)
2. นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy)
3. นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือการจัดสรรทรัพยากรเสียใหม่ (Re-Distributive Policy)
4. ใครกล่าวว่านโยบายสาธารณะหมายถึงการตัดสินใจขั้นต้นของรัฐบาลเพื่อเป็นแนวทางกว้าง ๆ สำหรับเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินงานของหน่วยงานไปสู่วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ตอบ 4 หน้า 3 วิลเลียม กรีนวูด (William Greenwood) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การตัดสินใจขั้นต้นของรัฐบาลเพื่อเป็นแนวทางกว้าง ๆ สำหรับเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินงานของหน่วยงานไปสู่วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
5. ใครกล่าวว่าอุปสรรคเป็นพื้นฐานผลักดันให้มีการเสนอนโยบายขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์
ตอบ 5 หน้า 3 คาร์ล เจ. ฟรีดริช (Carl J. Friedrich) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง ข้อเสนอสำหรับแนวทางการดำเนินงานของบุคคล กลุ่มบุคคล หรือรัฐบาล ภายในสภาพแวดล้อมแบบหนึ่งซึ่งอาจมีทั้งอุปสรรคและโอกาสบางประการ โดยอุปสรรคและโอกาสนี้จะเป็นพื้นฐานผลักดันให้มีการเสนอนโยบายขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ และเอาชนะสภาพการณ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ก็นำไปสู่เป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 6. – 10. ให้พิจารณาคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ประสิทธิผล
(2) ประสิทธิภาพ
(3) ความเหมาะสม
(4) ความพอเพียง
(5) ความสามารถในการตอบสนอง
————————————————————————-
6. ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 1 หน้า 98, (คำบรรยาย) ประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการได้ครบถ้วนตรงตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้
7. การใช้เกณฑ์หลาย ๆ เกณฑ์มาพิจารณาพร้อม ๆ กัน ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 3 หน้า 101 ความเหมาะสม (Appropriateness) หมายถึง การพิจารณาคุณค่าและความเหมาะสมของเป้าหมายของทางเลือกที่กำหนดไว้ โดยการนำเกณฑ์หลาย ๆ เกณฑ์มาพิจารณาพร้อม ๆ กัน
8. ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 2 หน้า 99, (คำบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายโดยใช้ต้นทุนต่ำสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด
9. ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 5 หน้า 101 ความสามารถในการตอบสนอง (Responsiveness) หมายถึง ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการ ความชอบ และค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกที่มีความสามารถในการตอบสนองสูงก็คือ ทางเลือกที่สามารถทำให้กลุ่มที่มีความจำเป็นสูงได้รับผลจากทางเลือกนั้นด้วย
10. ความสามารถในการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 4 หน้า 100 ความพอเพียง (Adequacy) หมายถึง ความสามารถในการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทั่วไปเงื่อนไขของทรัพยากรมักจะวัดในรูปของงบประมาณที่มีอยู่
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 11. – 15. ให้พิจารณาคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ทฤษฎีกลุ่ม
(2) ทฤษฎีผู้นำ
(3) ทฤษฎีระบบ
(4) ทฤษฎีสถาบันนิยม
(5) ทฤษฎีการตัดสินใจ
————————————————————————-
11. สังคมถูกแบ่งเป็นคนกลุ่มน้อยที่มีอำนาจกับกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีอำนาจ คนกลุ่มน้อยเป็นผู้กำหนดนโยบายตามความต้องการหรือค่านิยมของตน เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 2 หน้า 106 – 107, (คำบรรยาย) ทฤษฎีผู้นำ (Elite Theory) อธิบายว่า
1. สังคมถูกแบ่งเป็นคนกลุ่มน้อยที่มีอำนาจกับคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีอำนาจ โดยผู้ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม แต่มีอำนาจเป็นผู้ตัดสินหรือจัดสรรคุณค่าของสังคมและกำหนดนโยบายสาธารณะให้เป็นไปตามความต้องการหรือค่านิยมของตน ขณะที่ประชาชนหรือคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนตัดสินใจในนโยบายสาธารณะด้วย
2. ผู้นำจะแสดงความสมานฉันท์กับค่านิยมพื้นฐานของระบบสังคมและพยายามสงวนรักษาระบบไว้
3. นโยบายสาธารณะไม่ได้สะท้อนถึงความต้องการของมวลชน แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นค่านิยมของผู้นำมากกว่า
4. ผู้นำมีอิทธิพลต่อมวลชนมากกว่ามวลชนมีอิทธิพลต่อผู้นำ ฯลฯ
12. นโยบายสาธารณะได้มาจากการเจรจาต่อรอง เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 1 หน้า 107, (คำบรรยาย) ทฤษฎีกลุ่ม (Group Theory) อธิบายว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์กับนโยบายสาธารณะ โดยชี้ให้เห็นว่านโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตที่ได้มาจากการเจรจาต่อรอง การประนีประนอม และการถ่วงดุลผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ
13. ตัวแบบเหตุผลนิยม เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 5 หน้า 108 ตัวแบบเหตุผลนิยม (Rational Comprehensive Model) เป็นตัวแบบที่อยู่ในทฤษฎีการตัดสินใจ (Decision Making Theory) อธิบายว่า นโยบายเกิดจากการตัดสินใจภายใต้หลักการของเหตุและผล โดยอาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริง ประกอบกับการคำนึงถึงคุณค่าต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อให้ได้มาซึ่งนโยบายที่ดีที่สุดและนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ หรือเป็นนโยบายที่รัฐบาลจัดทำขึ้นเพื่อให้สังคมได้รับประโยชน์สูงสุด ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องเกิดความพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลตอบแทนที่ได้รับมากกว่าค่าใช้จ่ายที่เสียไป
14. กิจกรรมต่าง ๆ ทางการเมืองเกิดขึ้นจากบทบาทของรัฐ เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 4 หน้า 108 ทฤษฎีสถาบันนิยม (Institutional Theory) อธิบายว่า กิจกรรมต่าง ๆ ทางการเมืองเกิดขึ้นจากบทบาทของสถาบันของรัฐ ดังนั้นการกำหนดนโยบายสาธารณะซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งทางการเมืองย่อมมาจากสถาบันของรัฐด้วย ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลมีความชอบธรรม มีความเป็นสากล และมีการผูกขาดอำนาจบังคับ
15. สภาพแวดล้อม เป็นตัวแปรที่สำคัญในทฤษฎีใด
ตอบ 3 หน้า 108, (คำบรรยาย) ทฤษฎีระบบ (System Theory) อธิบายว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของระบบ โดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่สำคัญ 5 ตัวแปร คือ
1. ปัจจัยนำเข้า (Inputs)
2. กระบวนการ (Process)
3. ปัจจัยนำออกหรือผลผลิต (Outputs)
4. ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback)
5. สภาพแวดล้อม (Environment)
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 16. – 20. ให้พิจารณาคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) James E. Anderson
(2) Charles E. Merriam
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) E.S. Quade
————————————————————————-
16. ใครให้ความหมายของการวิเคราะห์นโยบายไว้ว่าเป็นสาขาหนึ่งของสังคมศาสตร์ประยุกต์ที่ใช้วิธีการที่หลากหลายในการนำเสนอข้อเท็จจริงและเหตุผลมาแปรรูปเป็นนโยบายเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองที่มีสภาวการณ์ที่แตกต่างกัน
ตอบ 4 หน้า 72 วิลเลียม ดันน์ (William Dunn) กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นสาขาหนึ่งของสังคมศาสตร์ประยุกต์ที่ใช้วิธีการหลากหลายในการนำเสนอข้อเท็จจริงและเหตุผลมาแปรรูปเป็นนโยบายเพื่อแก้ปัญหาในทางการเมืองที่มีสภาวการณ์แตกต่างกัน
17. ใครให้ความหมายของการวิเคราะห์นโยบายไว้ว่าเป็นรูปแบบการวิเคราะห์ที่ใช้ข้อมูลข่าวสารในการปรับปรุงวิธีการกำหนดนโยบาย
ตอบ 5 หน้า 72 เควค (E.S. Quade) กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นรูปแบบการวิเคราะห์ที่ใช้ข้อมูลข่าวสารในการปรับปรุงวิธีการกำหนดนโยบายเพื่อการตัดสินใจ โดยการใช้เทคนิคการวิจัยดำเนินงาน การวิเคราะห์ระบบ การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ การวิเคราะห์ต้นทุน-ประสิทธิผล และรูปแบบอื่น ๆ ที่จะได้มาซึ่งการแก้ปัญหาในทางการเมืองและองค์การด้วยการตัดสินใจและการนำไปปฏิบัติ
18. ใครให้ความหมายของการวิเคราะห์นโยบายไว้ว่าเป็นการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในชุดของเป้าหมายที่กำหนดไว้
ตอบ 3 หน้า 72 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นการกำหนดและตัดสินทางเลือกของนโยบาย โดยการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดในชุดของเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเปรียบเทียบทางเลือกเหล่านั้นกับการบรรลุเป้าหมาย
19. ใครจำแนกกระบวนการของนโยบายออกเป็น 5 ขั้นตอน
ตอบ 1 หน้า 18 เจมส์ อี. แอนเดอร์สัน (James E. Anderson) ได้จำแนกกระบวนการของนโยบายออกเป็น 5 ขั้นตอน คือ 1. การกำหนดปัญหา (Problem Formation) 2. การกำหนดกรอบของนโยบาย (Formulation) 3. การยอมรับนโยบาย (Adoption) 4. การนำนโยบายไปปฏิบัติ (Implementation) 5. การประเมินผลนโยบาย (Evaluation)
20. ใครกล่าวว่านโยบายศาสตร์เป็นการผสมผสานแนวคิดการวิเคราะห์เชิงประจักษนิยมกับพหุนิยมใหม่เข้าด้วยกัน
ตอบ 2 หน้า 59 ชาร์ลส์ อี. เมอร์เรียม (Charles E. Merriam) กล่าวว่า นโยบายศาสตร์เป็นการผสมผสานแนวคิดการวิเคราะห์เชิงประจักษนิยม (Empiric-Analytic Approach) กับพหุนิยมใหม่ (Neo-Pluralist Tradition) เข้าด้วยกัน ดังนั้นการวิเคราะห์นโยบายจึงควรเน้นในเรื่องค่านิยมและการมีส่วนร่วมของประชาชน
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 21. – 25. ให้พิจารณาคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนำนโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
————————————————————————-
21. การพิจารณาปัญหานโยบายเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 1 หน้า 23 – 25 ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย
1. การพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน 2. การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา
3. ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ 4. การจัดลำดับความสำคัญของปัญหา
22. การกำหนดทางเลือก และการกำหนดวัตถุประสงค์เป็นขั้นตอนใด
ตอบ 3 หน้า 25 – 26, (คำบรรยาย) การเตรียมและเสนอนโยบาย (Policy Formulation) เป็นขั้นตอนที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเรื่องนั้น ๆ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย
1. การกำหนดวัตถุประสงค์
2. การกำหนดทางเลือก
3. การจัดทำร่างนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ แนวทางและมาตรการ การจัดลำดับทางเลือก และการหาข้อมูลประกอบการพิจารณา
23. การจัดวาระในการพิจารณานโยบายเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 4 หน้า 49 – 50 ขั้นตอนการอนุมัติและประกาศนโยบาย (Policy Adoption) ประกอบด้วย
1. การจัดวาระในการพิจารณานโยบาย 2. การพิจารณาร่างนโยบาย
3. การอนุมัติหรือไม่อนุมัติ 4. การประกาศนโยบาย
24. การสรุปผลของนโยบายทั้งหมดไปใช้ในการกำหนดนโยบายอื่นเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 5 หน้า 52 – 53 ขั้นตอนการปรับปรุง แก้ไข และยกเลิกนโยบาย (Policy Termination) ประกอบด้วย 1. การนำผลหรือข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลนโยบายมาพิจารณาเพื่อตัดสินใจในการปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกนโยบาย 2. การนำผลสรุปของการประเมินผลนโยบายทั้งหมดไปใช้ในการกำหนดนโยบายอื่น ๆ ต่อไป
25. การที่หน่วยงานนำนโยบายมาแปลงเป็นแผนงานและโครงการเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 2 หน้า 50 – 51, (คำบรรยาย) การนำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนที่แสดงให้เห็นถึงการนำทรัพยากรต่าง ๆ ไปจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดผลตามนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย 1. การส่งต่อนโยบาย (Policy Delivery)
2. การตีความหรือแปลงนโยบายออกมาเป็นแผนงานและโครงการ
3. การชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย 4. การดำเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติ (Street-Level Bureaucracy) 5. การจัดระบบสนับสนุน ได้แก่ ข้อมูลข่าวสาร การมอบหมายอำนาจหน้าที่และการติดต่อสื่อสาร 6. การติดตามและควบคุมผลการปฏิบัติงาน
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 26. – 30. ให้พิจารณาคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) การระดมสมอง
(2) การวิจัยดำเนินงาน
(3) แผนภูมิก้างปลา
(4) ตารางวิเคราะห์ปัญหา
(5) การสร้างดัชนี
————————————————————————-
26. เทคนิคใดเกี่ยวข้องกับค่าต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นมาเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสังคม
ตอบ 5 หน้า 114, (คำบรรยาย) การสร้างดัชนีสังคม (Social Indicator) เป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับค่าต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นมาเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสังคม โดยดัชนีสังคมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ดัชนีแบบปรนัย มีลักษณะเป็นรูปธรรมและให้ค่าทางตัวเลขได้ 2. ดัชนีแบบอัตนัย มีลักษณะเป็นนามธรรม สังเกตไม่ได้ จับต้องไม่ได้ และให้ค่าทางตัวเลขค่อนข้างลำบาก
27. การวิเคราะห์ปัญหาโดยการประชุมร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อแสดงความคิดเห็นหาแนวทางในการแก้ปัญหา เกี่ยวข้องกับเทคนิคใด
ตอบ 1 หน้า 113 การระดมสมอง (Brainstorming) เป็นการวิเคราะห์ปัญหาโดยการประชุมร่วมกันระหว่างผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อแสดงความคิดเห็นและหาแนวทางในการแก้ปัญหา วิธีการนี้จะทำให้ได้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากผู้ที่เกี่ยวข้องได้หลากหลายมุมมองและมีแนวทางแก้ปัญหาที่ตรงจุด
28. เทคนิคใดที่พัฒนามาจากกลุ่มสร้างคุณภาพงาน
ตอบ 3 หน้า 113 แผนภูมิก้างปลา (Fishbone or Ishikawa Diagram) เป็นเทคนิคที่พัฒนามาจากภาคเอกชนที่เรียกว่า Q.C.C. (Quality Control Circle) หรือกลุ่มสร้างคุณภาพงาน โดยเทคนิคนี้ผู้ปฏิบัติงานในกลุ่มงานเดียวกันจะร่วมกันแก้ปัญหาเพราะทราบถึงสภาพปัญหาและสาเหตุที่เกิดขึ้นโดยละเอียด
29. เทคนิคใดใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์วิเคราะห์ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน
ตอบ 2 หน้า 113 การวิจัยดำเนินงาน (Operation Research) เป็นการวิเคราะห์ปัญหาโดยใช้ตัวแบบ (Model) ทางคณิตศาสตร์มาวิเคราะห์ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน มีตัวแปรหรือปัจจัยสำคัญหลายตัว ผู้วิเคราะห์ไม่สามารถใช้ความคิดเห็นส่วนตัวมาเป็นข้อสรุปได้
30. เทคนิคใดนำสภาพปัญหา สาเหตุ และแนวทางแก้ไขมาเชื่อมโยงกันเพื่อให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาได้ชัดเจน
ตอบ 4 หน้า 112, (คำบรรยาย) ตารางวิเคราะห์ปัญหา (Problem Analysis Table) เป็นการวิเคราะห์ปัญหาโดยการจัดทำเป็นตาราง โดยการนำสภาพปัญหา (ลักษณะของปัญหา) สาเหตุ (กลุ่มของสาเหตุ) และแนวทางแก้ไขปัญหามาเชื่อมโยงกันเพื่อให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาได้ชัดเจนในตารางเดียวกัน
31. การนำศาสตร์ในหลาย ๆ สาขามาใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เป็นแนวโน้มในเรื่องใด
(1) แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า
(2) แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ
(3) แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบาย
(4) แนวโน้มเกี่ยวกับรูปแบบ
(5) แนวโน้มเกี่ยวกับการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน
ตอบ 3 หน้า 74 แนวโน้มการวิเคราะห์นโยบายในอนาคต มี 3 แนวโน้มใหญ่ คือ
1. แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า จะมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายโดยหาทางเลือกที่ดีที่สุดที่ทำให้ประชาชนพอใจ และสนองต่อคุณค่าต่าง ๆ ของสังคม โดยการเน้นให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น เพื่อให้นโยบายที่เกิดขึ้นสนองตอบต่อสังคมโดยส่วนรวมอย่างแท้จริง
2. แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบาย จะมุ่งเน้นการหาวิธีการที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้โดยการพิจารณามิติทางการเมืองและการบริหาร และมีการนำศาสตร์ในหลาย ๆ สาขาวิชามาใช้ในการวิเคราะห์นโยบายในลักษณะสหวิทยาการ
3. แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ จะมุ่งเน้นการนำหลักการทางธุรกิจมาใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เช่น การวิเคราะห์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน (Cost-Benefit) รวมทั้งการคำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะเกิดขึ้นด้วย
32. กระแสความคิดที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เน้นการสร้างภาพรวม และกลุ่มที่ต่อต้านการสร้างภาพรวม อยู่ในยุคใด
(1) ยุคพัฒนาประสิทธิผล
(2) ยุคเริ่มต้น
(3) ยุคพัฒนาให้เป็นศาสตร์
(4) ยุคการนำไปปฏิบัติ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 58 – 59 กระแสความคิดในยุคพัฒนาให้เป็นศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่เน้นการสร้างภาพรวม (Synopsis) เป็นกลุ่มที่ใช้ทฤษฎีระบบเป็นแนวคิดหลัก ใช้ประจักษนิยมเชิงสถิติเป็นระเบียบวิธี และใช้การคำนวณค่าสูงสุดเป็นเกณฑ์การตัดสินใจ เช่น แนวคิดของฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ชาร์ลส์ อี. เมอร์เรียม (Charles E. Merriam) ธีโอดอร์ โลวาย (Theodore Lowi) เป็นต้น
2. กลุ่มที่ต่อต้านการสร้างภาพรวม (Anti-Synopsis) เป็นกลุ่มที่ใช้พหุนิยมเป็นแนวคิดหลัก ใช้การวิเคราะห์เฉพาะบริบทและเฉพาะกรณีเป็นระเบียบวิธี และใช้ความสมเหตุสมผลทางสังคมหรือการบูรณาการผลประโยชน์เป็นเกณฑ์การตัดสินใจ เช่น แนวคิดของไวท์ วอลโด (Dwight Waldo) โรเบิร์ต เอ. ดาห์ล (Robert A. Dahl) เฮอร์เบิร์ต ไซมอน (Herbert Simon) เป็นต้น
33. การนำหลักการทางธุรกิจมาใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เป็นแนวโน้มในเรื่องใด
(1) แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า
(2) แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ
(3) แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบาย
(4) แนวโน้มเกี่ยวกับรูปแบบ
(5) แนวโน้มเกี่ยวกับการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ
34. ปัญหาที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ทำให้แนวทางแก้ปัญหาเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ซึ่งมีลักษณะไม่คงที่ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) ความเป็นอัตนัยของปัญหา
(2) ความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของปัญหา
(3) ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน
(4) ปัญหาที่มีโครงสร้างแน่นอน
(5) ความเป็นพลวัตของปัญหา
ตอบ 5 หน้า 91 ความเป็นพลวัตของปัญหา (Dynamism) คือ ปัญหานโยบายแปรเปลี่ยนตลอดเวลา ทำให้แนวทางแก้ปัญหาก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ซึ่งมีลักษณะไม่คงที่ ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ถาวรจึงไม่มี มีเพียงแต่แก้ปัญหาหนึ่งซึ่งอาจก่อให้เกิดอีกปัญหาหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาเดิมที่เปลี่ยนสภาพไปนั่นเอง
35. ปัญหาที่ยุ่งยากมากที่สุด สลับซับซ้อนมากที่สุด มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทางออกมีหลายวิธีจนไม่จำกัด เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) ความเป็นอัตนัยของปัญหา
(2) ความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของปัญหา
(3) ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน
(4) ปัญหาที่มีโครงสร้างแน่นอน
(5) ความเป็นพลวัตของปัญหา
ตอบ 3 หน้า 92 ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน (Ill-Structured Problem) ถือเป็นปัญหาที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อนมากที่สุด เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องในการกำหนดประเด็นปัญหาจำนวนมาก ทางออกในการแก้ปัญหามีหลายวิธีจนไม่จำกัด อรรถประโยชน์ไม่เป็นที่ยอมรับทั่วกัน นอกจากนี้ผลลัพธ์ก็ไม่มีทางทราบได้ และการคำนวณหาความน่าจะเป็นของผลลัพธ์ก็ทำไม่ได้ด้วย เช่น ปัญหาในการพัฒนาชนบท เป็นต้น
36. เพรสแมนและวิลดัฟสกี้นิยามความหมายของการนำนโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดถูกต้อง
(1) ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินงานต่าง ๆ ตามนโยบาย
(2) การจัดหาวิธีในการดำเนินการ หรือทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
(3) ขั้นตอนการทำงานโดยมีปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์
(4) เน้นภารกิจหลักของภาครัฐ ภาคเอกชนร่วมงาน ดำเนินงานต่าง ๆ
(5) การนำไปปฏิบัติ ทำให้สำเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทำให้สมบูรณ์
ตอบ 5 หน้า 142 – 143 เพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman & Wildavsky) กล่าวว่า การนำนโยบายไปปฏิบัติ คือ การนำไปปฏิบัติ ทำให้สำเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทำให้สมบูรณ์ และการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จนั้นต้องกำหนดรูปแบบของนโยบายไปพร้อมกับวิธีการนำนโยบายไปปฏิบัติ
37. เพรสแมนและวิลดัฟสกี้กล่าวถึงการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จต้องกำหนดสิ่งใด
(1) ผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่พร้อมวิธีการดำเนินงาน
(2) ผู้รับผิดชอบในการนำนโยบายไปปฏิบัติ
(3) ขั้นตอนต่าง ๆ ในการดำเนินงาน
(4) งบประมาณในการดำเนินงาน
(5) รูปแบบของนโยบายไปพร้อมกับวิธีการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ
38. วิลเลียมส์มักเน้นความหมาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ คือ การดำเนินการเพื่อให้นโยบายสำเร็จลุล่วง มีความคล้ายคลึงกับนักวิชาการใด
(1) โทมัส บี. สมิท และแมคลัฟลิน
(2) เพรสแมน & วิลดัฟสกี และบาร์แดช
(3) ไบรเซนไชน์และกอกจิน
(4) เพรสแมน & วิลดัฟสกี และซาบาเตียร์ & แมซมาเนียน
(5) แวน มิเตอร์ & แวน ฮอร์น และซาบาเตียร์ & แมซมาเนียน
ตอบ 4 หน้า 143 วิลเลียมส์ ชี้ว่า กิริยาที่เรียกว่า นำไปปฏิบัติ (Implement) มีความหมายหลักอยู่ 2 ประการ คือ
1. การจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้ดำเนินการสำเร็จลุล่วงให้พรักพร้อม
2. การดำเนินการให้สำเร็จลุล่วง ซึ่งในทรรศนะของวิลเลียมส์เขาเน้นความหมายประการที่สองมากกว่าความหมายแรก นั่นคือ ในทรรศนะของวิลเลียมส์นั้นการนำนโยบายไปปฏิบัติ คือ การดำเนินการเพื่อให้นโยบายสำเร็จลุล่วงซึ่งเป็นความหมายที่คล้ายคลึงกับความหมายที่เพรสแมนและวิลดัฟสกี และซาบาเตียร์และแมซมาเนียนยึดถือนั่นเอง
39. นักวิชาการรุ่นบุกเบิกของการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติ คือ นักวิชาการท่านใด
(1) พอล เอ. ซาบาเตียร์
(2) เพรสแมนและวิลดัฟสกี
(3) ยูยีน บาร์แดช
(4) ริปเลย์และแฟรงกลิน
(5) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน
ตอบ 2 หน้า 144 – 145 เพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman & Wildavsky) นักวิชาการรุ่นบุกเบิกของการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติ ได้เสนอผลงานการวิจัยการนำนโยบายไปปฏิบัติภายใต้ชื่อ “Implementation” เมื่อปี ค.ศ. 1973 ซึ่งผลงานฉบับนี้ถือว่าเป็นก้าวหน้าสำคัญชิ้นหนึ่งที่ทำให้เกิดวิชาการนำนโยบายไปปฏิบัติขึ้นในการศึกษานโยบายสาธารณะ
40. การนำนโยบายไปปฏิบัติ วิลเลียมเน้นการพิจารณาในฐานะอะไร
(1) นักทฤษฎีองค์การ
(2) นักทฤษฎีการจัดองค์การ
(3) นักทฤษฎีพฤติกรรมองค์การ
(4) นักทฤษฎีระบบองค์การ
(5) นักทฤษฎีนโยบายสาธารณะ
ตอบ 1 หน้า 144 ลักษณะสำคัญของการนำนโยบายไปปฏิบัติอาจมีแตกต่างกันขึ้นอยู่กับจุดเน้นหรือความสนใจของนักวิชาการแต่ละคน เช่น แมซมาเนียนและซาบาเตียร์มองการนำนโยบายไปปฏิบัติจากทรรศนะทางกฎหมายและมองจากระดับมหภาค ในขณะที่วิลเลียมเน้นการพิจารณาในฐานะของนักทฤษฎีองค์การ กล่าวคือ มองโดยใช้องค์การเป็นกรอบอ้างอิง
41. แรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลินกล่าวถึงลักษณะของการนำนโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดถูก
(1) ผู้เกี่ยวข้องเป็นคนสำคัญ ๆ ในคณะรัฐบาล
(2) นโยบายเป็นของรัฐ ตอบสนองประชากรได้
(3) รัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบหลัก
(4) มีหน่วยงานหลายระดับ หลายกระทรวง
(5) หน่วยงานในทุกระดับสามารถกำหนดนโยบายได้
ตอบ 4 หน้า 144 แรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน (Randell Ripley and Grace Franklin) ได้พิจารณาลักษณะของการนำนโยบายไปปฏิบัติว่ามีลักษณะสำคัญ 5 ประการ คือ
1. มีผู้เกี่ยวข้องสำคัญ ๆ มากมาย
2. ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายและมักแตกต่างกัน
3. นโยบายและโครงการของรัฐบาลมักขยายใหญ่โตขึ้นทุกวัน
4. หน่วยงานในหลายระดับ จากหลายกระทรวง ทบวง กรม มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการ
5. มีปัจจัยหลายประการที่สำคัญมากและอยู่นอกเหนือการควบคุม
42. การนำนโยบายการจ้างงานชนกลุ่มน้อยไปปฏิบัติไม่ประสบผลสำเร็จ ตามแนวคิดของเพรสแมนและวิลดัฟสกี พบว่า
(1) เทคโนโลยีไม่ได้มาตรฐาน
(2) มีหน่วยงานหลายระดับในการดำเนินงาน
(3) วัตถุประสงค์หลากหลาย ไม่แน่นอน
(4) ผู้นำองค์การขาดการสื่อสารที่ดี
(5) ขาดการประสานงานที่ดี
ตอบ 5 หน้า 145 งานวิจัยของเพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman & Wildavsky) พบว่า การนำนโยบายการจ้างงานชนกลุ่มน้อยไปปฏิบัติไม่ประสบผลสำเร็จ เกิดจากผู้ริเริ่มและรับผิดชอบไม่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีประเด็นการตัดสินใจมากจนเกินไป มีจำนวนหน่วยงานเข้าไปมีส่วนร่วมมากและต่างก็มีวัตถุประสงค์และวิธีปฏิบัติที่ต่างกัน ตัวโครงการไม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย การควบคุมกับการอนุมัติงบประมาณขัดแย้งกัน ลักษณะการดำเนินงานกระทำด้วยความเร่งรีบมีความสลับซับซ้อนสูง และขาดการประสานงานที่ดี
43. อาคม ใจแก้ว กล่าวถึงวิธีการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดถูก
(1) มาตรฐานของนโยบาย
(2) การจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอและเหมาะสม
(3) การแสวงหาผลประโยชน์ภายในองค์การ
(4) ปัจจัยด้านนโยบายมีความสัมพันธ์กับปัจจัยด้านองค์การ
(5) แรงจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย คือ ค่าตอบแทน เงินเดือน และสวัสดิการ
ตอบ 4 หน้า 148 – 149 อาคม ใจแก้ว ได้ศึกษาเรื่อง “การนำนโยบายไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ : ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จ” ซึ่งพบว่า ในการทดสอบเชิงปริมาณตัวแบบที่ 2 ปัจจัยด้านข้าราชการและปัจจัยด้านงบประมาณมีความสัมพันธ์ทางตรงกับความสำเร็จของการนำนโยบายไปปฏิบัติเชิงทัศนคติ ส่วนปัจจัยด้านนโยบายมีความสัมพันธ์กับปัจจัยด้านองค์การ และปัจจัยด้านข้าราชการ ปัจจัยด้านการใช้ข้อมูลและกระบวนการติดต่อไม่มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จเชิงทัศนคติ
44. กระบวนการทำงานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ ของนักวิชาการท่านใด
(1) Pressman & Wildavsky
(2) Eugene Bardach
(3) Brizendine
(4) Milbrey McLaughlin
(5) Malcom Goggin
ตอบ 2 หน้า 142 ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach) กล่าวว่า กระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการทำงานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบายก็ได้
45. ไบรเซนไชน์เสนอวิทยานิพนธ์ “California Educational Policy Implementation : The Case of Stull Act” เป็นการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติ แบ่งออกเป็นกี่ระยะ
(1) 2 ระยะ
(2) 3 ระยะ
(3) 4 ระยะ
(4) 5 ระยะ
(5) 6 ระยะ
ตอบ 2 หน้า 145 – 146 อีมิลี ไชมี โลวี ไบรเซนไชน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ได้เสนอวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเรื่อง “California Educational Policy Implementation : The Case of Stull Act” เมื่อปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเป็นการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเน้นเรื่องกฎหมาย “Stull Act” ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรการในการปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นที่การประเมินครูเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อความสำเร็จทางการศึกษาของโรงเรียน โดยการศึกษาได้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ 1. การสำรวจโรงเรียนในเขตพื้นที่ 2. การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง 3. การสัมภาษณ์และใช้แบบสอบถาม
46. ตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนำนโยบายไปปฏิบัติของมอลคอม กอกจิน คือ
(1) นโยบาย องค์การ และผู้ปฏิบัติงาน
(2) องค์การ ผู้ปฏิบัติ และการประเมิน
(3) นโยบาย ขั้นตอน และการประเมิน
(4) สภาพแวดล้อม ผู้ปฏิบัติ และการประเมิน
(5) นโยบาย ผู้ปฏิบัติงาน และมาตรฐาน
ตอบ 1 หน้า 156 มอลคอม กอกจิน (Malcom Goggin) ได้เสนอผลจากการศึกษาเพิ่มเติม โดยพบว่าตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนำนโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่ นโยบาย องค์การ และผู้ปฏิบัติงาน โดยมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม มาเกี่ยวข้องด้วย
47. ข้อใดถูก Van Meter & Van Horn กล่าวถึงการนำนโยบายไปปฏิบัติเชื่อมโยงนโยบายและผลปฏิบัติการ
(1) การตัดสินใจเลือกนโยบาย ตัวเชื่อม และการประเมินผล
(2) สมรรถนะ ตัวเชื่อม และผลสำเร็จ
(3) นโยบาย ตัวเชื่อม และสมรรถนะ
(4) ปัจจัยนำเข้า ตัวเชื่อม และนโยบาย
(5) กำหนด วิธีการ และการประเมินผลนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 152 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter & Van Horn) ได้กำหนดถึงผลต่อพฤติกรรมในการนำนโยบายไปปฏิบัติว่าต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติ ซึ่งจะเชื่อมโยงระหว่างนโยบายและผลปฏิบัติการ ได้แก่ 1. นโยบาย (Policy) 2. ตัวเชื่อม (Linkage) 3. สมรรถนะในการนำนโยบายไปปฏิบัติ (Performance)
48. รูปแบบของนโยบายในทัศนะของมอลคอม กอกจิน ประกอบด้วย
(1) รูปแบบราชการ รูปแบบการบริหาร รูปแบบบูรณาการ
(2) รูปแบบการเมือง รูปแบบสมานฉันท์ รูปแบบความร่วมมือ
(3) รูปแบบการเมือง รูปแบบการปกครอง รูปแบบผสมผสาน
(4) รูปแบบการเมือง รูปแบบการบริหาร รูปแบบบริหารการเมือง
(5) รูปแบบการเมือง รูปแบบประสานงาน รูปแบบทางการ
ตอบ 4 หน้า 156, 159 มอลคอม กอกจิน (Malcom Goggin) ได้เสนอรูปแบบของนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย 3 รูปแบบ คือ 1. รูปแบบการเมือง (Political) 2. รูปแบบการบริหาร (Administration) 3. รูปแบบผสมหรือการบริหารการเมือง (Political Administrative)
49. บาร์แดช พบว่า ปัญหาในการนำนโยบายไปปฏิบัติล้มเหลวเพราะเหตุใด ข้อใดถูก
(1) ขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน
(2) ปัญหาการเมืองระดับชาติ
(3) ความไม่เห็นพ้องระหว่างผู้ปฏิบัติฝ่ายต่าง ๆ
(4) ความไม่ต่อเนื่องของการดำเนินงาน
(5) สภาพแวดล้อมปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ตอบ 3 หน้า 157 – 158 ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach) ได้ทำการศึกษาการปฏิรูปนโยบายด้านสุขภาพจิตในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ปัญหาในการนำนโยบายไปปฏิบัติล้มเหลวมีสาเหตุมาจาก
1. ความไม่เห็นพ้องระหว่างผู้ปฏิบัติฝ่ายต่าง ๆ หรือมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏิบัติในลักษณะที่ซับซ้อนเกินไป
2. การนำเกมของการนำนโยบายไปปฏิบัติมาใช้ ได้แก่
– เกมที่ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรไปในทางที่ผิด
– เกมที่ทำให้เป้าหมายของนโยบายบิดเบือนไปจากเดิม
50. ข้อใดถูกต้องตามแนวคิดของบาร์แดช ปัจจัยที่ส่งผลให้การนำนโยบายไปปฏิบัติล้มเหลว
(1) เกมที่ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรไปในทางที่ผิด
(2) เกมที่มีเป้าหมายชัดเจน
(3) เกมที่ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรเฉพาะกิจ
(4) เกมที่มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก
(5) เกมที่มีผลประโยชน์ในการต่อรอง
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ
51. นักวิชาการที่เริ่มต้นศึกษา “การนำนโยบายไปปฏิบัติ” อย่างเป็นระบบ คือ ท่านใด
(1) โทมัส บี. สมิท
(2) เพรสแมนและวิลดัฟสกี
(3) พอล เอ. ซาบาเตียร์
(4) ยูยีน บาร์แดช
(5) แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น
ตอบ 2 หน้า 164 จากผลงานของเพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman & Wildavsky) ซึ่งศึกษานโยบายการจ้างงานชนกลุ่มน้อยที่นครโอคแลนด์เมื่อปี ค.ศ. 1973 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างเป็นระบบ และเป็นจุดกำเนิดของวิชาการนำนโยบายไปปฏิบัติ
52. เพรสแมนและวิลดัฟสกีอธิบายถึงเงื่อนไขที่ 1 เป็น X เกิดขึ้นในเวลา t1 จะเกิดผลลัพธ์อะไร ข้อใดถูก
(1) จะเกิด Y เป็นกระบวนการทำงานเชิงยุทธศาสตร์
(2) จะเกิด Y ภารกิจหลักของภาครัฐ
(3) จะเกิด Y ฝ่ายบริหารเป็นผู้ดำเนินงานต่าง ๆ
(4) จะเกิดผลลัพธ์ Y ในเวลาถัดไป t2
(5) จะเกิด Y โดยจัดหาเตรียมการดำเนินการ
ตอบ 4 หน้า 164 เพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman & Wildavsky) กล่าวว่า นโยบายโดยทั่วไปจะต้องประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เงื่อนไขแรกเริ่มและผลที่มุ่งหวัง ดังนั้นถ้ามีเงื่อนไข X เกิดขึ้น ณ เวลาที่ t1 จะเกิดผลลัพธ์ Y ขึ้น ณ เวลาถัดไปคือ t2
53. มองจอยและโอทูเลกล่าวถึงการนำนโยบายไปปฏิบัติประเภท D (Type D) ข้อใดถูกต้อง
(1) นโยบายที่ไม่มีความชัดเจน
(2) มีทรัพยากรทั้งบุคลากรและงบประมาณ
(3) มีความคุ้มค่าของนโยบาย
(4) ต้องจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมา
(5) จะเกิดการใช้ดุลพินิจของหน่วยงานได้น้อยที่สุด
ตอบ 5 หน้า 165 – 167 มองจอยและโอทูเล (Montjoy & O’Toole) กล่าวว่า นโยบายประเภท D (Type D) เป็นนโยบายที่ขาดทรัพยากรแต่กำหนดความชัดเจนไว้ว่าจะทำอะไร แต่เนื่องจากข้อจำกัดในแง่ของงานประจำ และการดำเนินการตามนโยบายย่อมคาดการณ์ได้ว่านโยบายดังกล่าวทำให้เกิดการใช้ดุลพินิจของหน่วยงานได้น้อยที่สุด
54. มองจอยและโอทูเลสรุปการที่หน่วยงานจะใช้ดุลพินิจมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งใด
(1) การตัดสินใจของผู้บริหารองค์การ
(2) โครงสร้างขององค์การมีความแน่นอน
(3) เทคโนโลยีมีความทันสมัย
(4) ทรัพยากรทางการบริหารมีความเหมาะสม
(5) ความแข็งแกร่งและทิศทางของพลังผลักดันในองค์การ
ตอบ 5 หน้า 167 มองจอยและโอทูเล (Montjoy & O’Toole) สรุปว่า เมื่อนักบริหารต้องเผชิญกับข้อจำกัดทั้งในแง่ทรัพยากรและกฎหมายย่อมนำไปสู่การใช้ดุลพินิจในที่สุด ดังนั้นการที่หน่วยงานจะใช้ดุลพินิจมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแกร่งและทิศทางของพลังผลักดันในองค์การ วิธีการที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการนำนโยบายไปปฏิบัติขององค์การจะต้องกำหนดความชัดเจนของกฎหมายและจัดสรรทรัพยากรให้แก่ผู้นำนโยบายไปปฏิบัติเพียงพอ วิธีการที่ดีที่สุดในการบริหารโปรแกรมใหม่คือการตั้งหน่วยขึ้นมารับผิดชอบโดยตรง
55. เออว์วิน ฮาร์โกรฟ พัฒนาตัวแบบการนำนโยบายไปปฏิบัติ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ข้อใดถูก
(1) ตัวแบบยุคที่ 1 กอกจิน และโอทูเล
(2) ตัวแบบยุคที่ 2 แมซมาเนียนและซาบาเตียร์
(3) ตัวแบบยุคที่ 2 แวน มิเตอร์และแวน ฮอร์น
(4) ตัวแบบยุคที่ 3 เดวิด อีสตัน
(5) ตัวแบบยุคที่ 3 โทมัส บี. สมิท
ตอบ 2 หน้า 168 เออว์วิน ฮาร์โกรฟ (Erwin Hargrove) ได้พัฒนาตัวแบบการนำนโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. ตัวแบบยุคที่ 1 เป็นตัวแบบที่พัฒนาขึ้นในระยะต้นจนถึงตัวแบบของแวน มิเตอร์และแวน ฮอร์น
2. ตัวแบบยุคที่ 2 เป็นตัวแบบที่แมซมาเนียนและซาบาเตียร์พัฒนาขึ้นเพื่อการนำไปใช้ทดสอบเชิงประจักษ์
3. ตัวแบบยุคที่ 3 เป็นตัวแบบของกอกจิน บาวแมน เลสเตอร์ และโอทูเลที่มุ่งผสมผสานการนำนโยบายไปปฏิบัติแบบ “Top-Down” กับ “Bottom-UP” เข้าด้วยกัน
56. เออว์วิน ฮาร์โกรฟ พัฒนาวิธีการจากแนวคิดฮิลเพื่อสร้างทฤษฎีระดับกลางวิเคราะห์โปรแกรม ข้อใดถูก
(1) ปัญหาทางนโยบายจะต่างกัน จะเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย
(2) ปัญหาทางนโยบายจะต่างกัน จะเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหา
(3) กระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามลักษณะของนโยบาย
(4) กระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามผู้ปฏิบัติงาน
(5) กระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามเป้าหมายขององค์การ
ตอบ 3 หน้า 169 เออว์วิน ฮาร์โกรฟ (Erwin Hargrove) ได้พัฒนาวิธีการจากแนวคิดฮิล (Hill) เพื่อสร้างเป็นทฤษฎีระดับกลาง (Middle Range Theory) สำหรับการวิเคราะห์โปรแกรมประเภทต่าง ๆ โดยมีหลักการที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1. ปัญหาทางนโยบายที่ต่างประเภทกันจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มของผู้เข้าไปมีส่วนร่วมที่ต่างกันและระดับของการปฏิบัติการที่ต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของนโยบายที่นำเสนอ
2. กระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามลักษณะของนโยบายและนโยบายนั้น ๆ ยังสามารถจำแนกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการทำนายกระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติ
3. ภาษาที่ใช้ในกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งจะใช้เป็นพื้นฐานในการจำแนกประเภทของโปรแกรม
57. ข้อใดไม่ใช่ 4 ตัวแปรที่โทมัส บี. สมิท เสนอขั้นตอนการนำนโยบายไปปฏิบัติ
(1) กลุ่มเป้าหมาย
(2) องค์การที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
(3) นโยบายที่เป็นอุดมคติ
(4) กลุ่มผลประโยชน์
(5) ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม
ตอบ 4 หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) เสนอขั้นตอนของการนำนโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรที่สำคัญ 4 ตัวแปร คือ 1. นโยบายที่เป็นอุดมคติ
2. องค์การที่นำนโยบายไปปฏิบัติ 3. กลุ่มเป้าหมาย 4. ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม
58. โทมัส บี. สมิทกล่าวถึงประเทศในโลกที่สาม ระบบราชการขาดความสามารถ เพราะ
(1) นโยบายไม่ตอบสนองประชาชน
(2) ไม่มีการตรวจสอบจากภาคประชาชน
(3) มีการทุจริตในวงราชการ
(4) มีการแทรกแซงจากข้าราชการการเมือง
(5) กลุ่มผลประโยชน์เข้ามามีอิทธิพลในขั้นกำหนดนโยบาย
ตอบ ไม่มีข้อถูก หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) กล่าวว่า ประเทศในโลกที่สาม รัฐบาลจะกำหนดนโยบายแบบกว้าง ๆ และรวมประเด็นปัญหาต่าง ๆ เข้าไว้ในนโยบาย ในขณะเดียวกันระบบราชการก็ขาดความสามารถในการนำนโยบายไปปฏิบัติ เพราะกลุ่มผลประโยชน์ พรรคฝ่ายค้าน ปัจเจกบุคคล และกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ จะใช้ความพยายามเข้าไปมีอิทธิพลในขั้นของการนำนโยบายไปปฏิบัติมากกว่าการสร้างอิทธิพลในขั้นของการกำหนดนโยบาย
59. แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์นตั้งชื่อตัวแบบ “A Model of the Policy Implementation Process” มีกี่ตัวแปร
(1) 5 ตัวแปร
(2) 6 ตัวแปร
(3) 7 ตัวแปร
(4) 8 ตัวแปร
(5) 9 ตัวแปร
ตอบ 2 หน้า 171 – 173 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter & Van Horn) ได้เสนอตัวแบบในการวิเคราะห์การนำนโยบายไปปฏิบัติ โดยตั้งชื่อตัวแบบว่า “A Model of the Policy Implementation Process” ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรหลัก 6 ตัวแปร คือ
1. มาตรฐานและวัตถุประสงค์ของนโยบาย 2. ทรัพยากร
3. การสื่อสารระหว่างองค์การและกิจกรรมการนำนโยบายไปปฏิบัติ
4. ลักษณะองค์การในการนำนโยบายไปปฏิบัติ 5. เงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
6. ผลของการนำนโยบายไปปฏิบัติ
60. เบอร์แมนชี้ให้เห็นอำนาจอันทรงอิทธิพลและกำหนดความสำเร็จของนโยบายอยู่ที่ใคร
(1) ผู้บริหารระดับท้องถิ่น
(2) ผู้บริหารระดับรัฐบาลกลาง
(3) ผู้ปฏิบัติระดับส่วนกลาง
(4) ผู้ปฏิบัติระดับรัฐบาลกลาง
(5) ผู้ปฏิบัติระดับท้องถิ่น
ตอบ 5 หน้า 174 – 175 พอล เบอร์แมน (Paul Berman) ชี้ให้เห็นว่าอำนาจอันทรงอิทธิพลและกำหนดความสำเร็จของนโยบายอยู่ในมือของผู้ปฏิบัติในระดับท้องถิ่น หาใช่ผู้บริหารจากส่วนกลางแต่อย่างใด
61. ยอร์คสร้าง 11 ตัวแปรที่แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลจากนักวิชาการใดไม่ถูกต้อง
(1) ลินเซย์
(2) แอนนิตา
(3) แคมเมอรา
(4) มองจอย โอทูเล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 178 ยอร์ค (Yorke) สร้าง 11 ตัวแปรที่แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลจากนักวิชาการ 3 ท่าน คือ ลินเซย์ (Lindsay) แอนนิตา (Anita) และแคมเมอรา (Cameron)
62. วรเดช จันทรศร กล่าวถึงสาระสำคัญของตัวแบบว่าประกอบด้วยปัจจัยหลัก 3 ปัจจัย คือ
(1) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านขั้นตอนการดำเนินงาน และปัจจัยต่อองค์การ
(2) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านการลงทุน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
(3) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ
(4) ปัจจัยด้านการลงทุน ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติงาน
(5) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านขั้นตอนการดำเนินงาน และปัจจัยต่อผู้ปฏิบัติงาน
ตอบ 3 หน้า 183 – 184 วรเดช จันทรศร ได้กล่าวถึงสาระสำคัญของตัวแบบทั่วไปว่าประกอบด้วยปัจจัยหลัก 3 ปัจจัย คือ 1. ปัจจัยด้านการสื่อสาร
2. ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ 3. ปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ
63. จากบทที่ 10 ข้อใดไม่ใช่หน่วยงานภาครัฐในนโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร
(1) กระทรวงพาณิชย์
(2) กรมพัฒนาชุมชน
(3) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(4) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 218 หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร มีดังนี้
1. กรมการค้าภายใน
2. องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร
3. องค์การคลังสินค้า
4. กระทรวงพาณิชย์
5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
6. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
64. ค่าจ้างขั้นต่ำมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 จังหวัดใดมีค่าจ้าง 400 บาท
(1) ภูเก็ต
(2) สงขลา
(3) เชียงใหม่
(4) อุดรธานี
(5) กรุงเทพมหานคร
ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) จังหวัดที่มีค่าจ้าง 400 บาทตามประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำฉบับที่ 13 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ได้แก่ ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และสุราษฎร์ธานี เฉพาะอำเภอเกาะสมุย
65. ปี พ.ศ. 2568 กระทรวงมหาดไทยมี 5 นโยบายส่งเสริมคุณภาพชีวิตประชาชน ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) จัดระเบียบสังคม ปราบปรามผู้มีอิทธิพล
(2) ฟื้นฟูวิสาหกิจชุมชนในภูมิภาคต่าง ๆ
(3) น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน
(4) สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้ประชาชน
(5) ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) ปี พ.ศ. 2568 กระทรวงมหาดไทยมี 5 นโยบายส่งเสริมคุณภาพชีวิตประชาชน ดังนี้
1. จัดระเบียบสังคม ปราบปรามผู้มีอิทธิพล
2. ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
3. สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้ประชาชน
4. ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน (ข้อนี้ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกแต่เป็นนโยบายจริงที่ถูกต้อง) / 5. น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน
(หมายเหตุ: ตัวเลือก “ฟื้นฟูวิสาหกิจชุมชนในภูมิภาคต่าง ๆ” ไม่ใช่หนึ่งใน 5 นโยบายหลัก)
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 66. – 70. จงเลือกคำตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคำถามตามข้อมูลยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี Thailand 4.0 และเอกสารอื่น ๆ
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คำแถลงนโยบายรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13
————————————————————————-
66. ประเทศไทยมี New Engines of Growth ได้แก่ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายเชิงวัฒนธรรม
ตอบ 2 (คำบรรยาย) Thailand 4.0 มีสาระสำคัญดังนี้
1. เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”
2. เป็น “Reform in Action” ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษาไปพร้อม ๆ กัน
3. เป็นแนวคิดที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้ทุนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทุนมนุษย์
4. เป็นการพัฒนา “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth) ซึ่งประเทศไทยมี 2 ด้าน คือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายเชิงวัฒนธรรมให้เป็นความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน โดยการเติมเต็มด้วยวิทยาการทั้ง 5 ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยและพัฒนา ฯลฯ
67. มุ่งเน้นพลิกโฉมประเทศไทยสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน”
ตอบ 5 (คำบรรยาย) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 เป็นแผนที่มีเป้าหมายหลักเพื่อพลิกโฉมประเทศไทยไปสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาดังนี้
1. มุ่งเน้นจากเศรษฐกิจฐานทรัพยากรสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและองค์ความรู้
2. มุ่งเน้นจากการผลิตและบริโภคที่ทำลายสิ่งแวดล้อมสู่วิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย
3. มุ่งเน้นจากโอกาสที่กระจุกตัวสู่โอกาสสำหรับทุกกลุ่มคนและทุกพื้นที่
4. มุ่งเน้นจากกำลังคนทักษะต่ำและภาครัฐล้าสมัยสู่กำลังคนและภาครัฐสมรรถนะสูง
68. ยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย โดยใช้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”
ตอบ 3 (คำบรรยาย) ในคำแถลงนโยบายรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ระบุถึงนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลจะดำเนินการทันที ดังนี้
1. ผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ
2. ดูแลและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs
3. เร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค
4. สร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี
5. ยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย โดยใช้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ฯลฯ
69. สร้างรายได้ใหม่ด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 68. ประกอบ
70. มุ่งเน้นวิทยาการทั้ง 5 เพื่อความได้เปรียบ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยและพัฒนา
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 71. – 75. จงเลือกคำตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคำถามตามเนื้อหาของการประเมินผลนโยบาย
————————————————————————-
71. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะตกลงใจว่านโยบายที่กำหนดไว้นั้นจำเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดำเนินการไปตามที่วางไว้หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่มุ่งหวังไว้หรือไม่
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) Worthen and Sanders
ตอบ 1 หน้า 228 อีมิล เจ. โพซาวัค และเรย์มอนด์ จี. แครี (Emil J. Posavac & Raymond G. Carey) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีการหลายวิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะตกลงใจว่านโยบายที่กำหนดไว้นั้นจำเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดำเนินการไปตามที่วางไว้หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่มุ่งหวังไว้หรือไม่
72. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนำนโยบายไปปฏิบัติกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทุกขั้นตอนนโยบาย
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) E.R. House
ตอบ 2 หน้า 229 เจมส์ อี. แอนเดอร์สัน (James E. Anderson) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนำนโยบายไปปฏิบัติกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทุกขั้นตอนของนโยบาย
73. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอนที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดำเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่าของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) E.R. House
ตอบ 4 หน้า 229 วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอนที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดำเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่าของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่
74. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการกระทำที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบายโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้กับผลกระทบของการดำเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของสังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) Worthen and Sanders
ตอบ 3 หน้า 229 ชาร์ลส์ โอ. โจนส์ (Charles O. Jones) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการกระทำที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบายโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้กับผลกระทบของการดำเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของสังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข
75. ใครกล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่าของผลการดำเนินการตามนโยบายเพื่อที่จะนำมาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
ตอบ 5 หน้า 230 ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่าของผลการดำเนินการตามนโยบายเพื่อที่จะนำมาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ซึ่งการประเมินผลนี้ไม่ได้แยกเป็นเอกเทศจากขั้นตอนนโยบายอื่น แต่เกี่ยวข้องกันตลอดเวลา
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 76. – 85. จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องตามเนื้อหาของหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
————————————————————————-
76. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 71
(3) มาตรา 73
(4) มาตรา 75
(5) มาตรา 77
ตอบ 1 (คำบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 68 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร
2. รัฐพึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำใด ๆ
3. รัฐพึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จำเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหาทนายความให้
77. รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 66
(2) มาตรา 67
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 2 (คำบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 67 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
2. รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา
3. รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่ารูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย
78. รัฐพึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของสังคม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 65
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 70
(5) มาตรา 71
ตอบ 5 (คำบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 71 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของสังคม
2. รัฐพึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและความสามารถสูงขึ้น
3. รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
4. ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐพึงคำนึงถึงความจำเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของเพศ วัย และสภาพของบุคคล ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรม
79. รัฐพึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชนให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 72
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 78
ตอบ 4 (คำบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 76 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และงานของรัฐอย่างอื่นให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
2. รัฐพึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชนให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
3. รัฐพึงดำเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม
4. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ
80. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ
81. รัฐพึงดำเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ
82. รัฐพึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 70
(3) มาตรา 72
(4) มาตรา 74
(5) มาตรา 76
ตอบ 3 (คำบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 72 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
2. จัดให้มีการวางผังเมืองทุกระดับและบังคับการให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
3. จัดให้มีมาตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทำกินได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ฯลฯ
83. รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ำและสามารถแข่งขันในตลาดได้ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 73
(3) มาตรา 74
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คำบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 73 บัญญัติให้ รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ำและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือเกษตรกรยากไร้ให้มีที่ทำกินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด
84. รัฐพึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 73
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 (คำบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 75 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. ในการพัฒนาประเทศ รัฐพึงคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจ และความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนประกอบกัน
3. รัฐพึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ฯลฯ
85. รัฐพึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 66
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คำบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 66 บัญญัติให้ รัฐพึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ให้ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ และคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติและของคนไทยในต่างประเทศ
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 86. – 95. จงเลือกคำตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคำถามตามเนื้อหาของเทคนิคในการประเมินผลนโยบาย
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression–Discontinuity Analysis
————————————————————————-
86. เป็นเทคนิคที่เน้นประเมินผลนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการ โดยเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กำหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
ตอบ 1 หน้า 251 – 252 การประเมินผลแบบเป็นทางการ (Formal Evaluation) เป็นเทคนิคที่ใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบาย โดยประเมินผลของนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการ เพราะเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กำหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
87. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนำนโยบายไปปฏิบัติในรูปของตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ
ตอบ 4 หน้า 264 – 265 การวิเคราะห์อนุกรมเวลาแบบขาดตอน (Interrupted Time Series Analysis) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนำนโยบายไปปฏิบัติในรูปของตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นเทคนิคที่เหมาะสำหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการดำเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว จุดเด่นของเทคนิคนี้ คือ ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถแยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น
88. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถแยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ
89. เป็นเทคนิคที่เหมาะสำหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการดำเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ
90. เป็นเทคนิคที่มีหลักการ 5 ประการ คือ Selective Anonymity, Informed Multiple Advocacy, Polarized Statistical Response, Structured Conflict, Computer Conferencing
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) มีหลักการสำคัญ 5 ประการ คือ
1. ความเป็นนิรนามเฉพาะระยะแรก (Selective Anonymity)
2. ผู้เชี่ยวชาญต่างสำนัก (Informed Multiple Advocacy)
3. การวิเคราะห์ทางสถิติแบบแยกกลุ่ม (Polarized Statistical Response)
4. การจัดโครงสร้างความขัดแย้ง (Structured Conflict)
5. การประชุมโดยคอมพิวเตอร์ (Computer Conferencing)
91. เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคำนวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นำมาพิจารณา
ตอบ 5 หน้า 265 การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบไม่ต่อเนื่อง (Regression–Discontinuity Analysis) เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคำนวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นำมาพิจารณา เทคนิคนี้เหมาะสำหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองที่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
92. เป็นเทคนิคที่นำเอาข้อคิดและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราวของนโยบายที่กำลังประเมินมาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 259 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) เป็นเทคนิคที่นำเอาข้อคิดและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราวของนโยบายที่กำลังประเมินมาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย
93. เป็นเทคนิคที่ประกอบไปด้วย การประเมินความสามารถที่จะประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์แบบพหุลักษณ์
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 การประเมินผลแบบพิจารณาความเหมาะสม (Decision Theoretical Evaluation) เป็นเทคนิคการประเมินผลที่มุ่งสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบายโดยใช้คุณค่าหรือผลประโยชน์ที่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับเป็นเกณฑ์ประเมิน ซึ่งรูปแบบของการประเมินผลแบบนี้มี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ การประเมินความสามารถที่จะประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์แบบพหุลักษณ์
94. เป็นเทคนิคที่เหมาะสำหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองที่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 91. ประกอบ
95. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย เป็นประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ
ตอบ 3 หน้า 264 ประโยชน์ของวิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) คือ สามารถให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย การประเมินจึงครอบคลุมกว้างขวางรวมทุกประเด็นไว้หมด ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้กำหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ
————————————————————————-
ตั้งแต่ข้อ 96. – 100. จงเลือกคำตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคำถามตามเนื้อหาของวิธีการประเมินผลนโยบาย
(1) Experimental Design
(2) Quasi-Experimental Design
(3) Pre-Experimental Design
(4) Post-Experimental Design
(5) Ongoing-Experimental Design
————————————————————————-
96. มีความมุ่งหมายที่จะทำให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากโครงการ มีบ่อยครั้งที่คำอธิบายในผลลัพธ์ที่ถูกต้องจะต้องแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็นความล้มเหลวของโครงการ
ตอบ 2 หน้า 235 – 236 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Design) มีลักษณะสำคัญดังนี้
1. ในกรณีที่เงื่อนไขไม่เอื้ออำนวยที่จะใช้การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง วิธีการนี้จะทำให้ได้เปรียบในการนำไปปฏิบัติ โดยผู้ใช้จะต้องยอมรับเบื้องต้นก่อนว่าวิธีการที่จะนำไปใช้มีความสนใจที่ปัจจัยใดบ้างและปล่อยให้ปัจจัยใดบ้างปราศจากการควบคุม
2. มีวิธีการที่สำคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) ได้แก่ การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลองที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
3. วิธีการนี้มีความมุ่งหมายที่จะทำให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากโครงการ ซึ่งมีบ่อยครั้งที่คำอธิบายในผลลัพธ์ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็นความล้มเหลวของโครงการ ฯลฯ
97. แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นำโครงการเข้ามาใช้โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการสุ่มตัวอย่าง ข้อดี ทำให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย ทำให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
ตอบ 3 หน้า 236 – 237 การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง (Pre-Experimental Design) แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ แบบศึกษาก่อนและหลังจากที่ได้นำโครงการหนึ่ง ๆ เข้ามาใช้ แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นำโครงการเข้ามาใช้แล้วเพียงอย่างเดียว และแบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นำโครงการเข้ามาใช้โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการสุ่มตัวอย่าง ซึ่งข้อดีของการประเมินผลด้วยวิธีการนี้ คือ
1. ทำให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย
2. ทำให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
3. ทำให้ผู้ประเมินได้รับข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังและเป็นระบบ
98. ไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนำไปใช้ได้เฉพาะในเรื่องของ Input และ Product เท่านั้น
ตอบ 1 หน้า 234 – 235 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง (Experimental Design) มีข้อจำกัดดังนี้
1. วิธีการที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมักมีปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัดในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
2. วิธีการทดลองไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนำไปใช้ได้เฉพาะในเรื่องของ Input และ Product เท่านั้น
3. วิธีการทดลองไม่สามารถควบคุมความเที่ยงตรงภายนอกได้ จึงทำให้ผลที่ได้จากการทดลองอาจจะไม่เหมือนกับผลที่ได้จากการดำเนินการจริง ฯลฯ
99. การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัดในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 98. ประกอบ
100. มีวิธีการที่สำคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลองที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ