การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ

คำสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้นักศึกษาทำทุกข้อ

Advertisement

ข้อ 1. ระบบราชการหมายถึงอะไร อธิบายและ Max Weber นักสังคมวิทยาชาวเยอรมันได้เสนอระบบราชการในอุดมคติไว้อย่างไรบ้าง จงอธิบาย (ตอบเป็นข้อ ๆ อธิบาย)

แนวคำตอบ

Harold J. Laski ได้ให้ความหมายของระบบราชการ (Bureaucracy) ในเชิงปรากฏการณ์ของสังคมในองค์การขนาดใหญ่ที่มีลักษณะซับซ้อนว่า ระบบราชการ หมายถึง ระบบบริหารราชการของรัฐที่ตกอยู่ในมือของข้าราชการโดยเด็ดขาด และอาจก่อให้เกิดอำนาจอันทำลายเสรีภาพของประชาชนได้ มีลักษณะการปฏิบัติงานดำเนินไปตามระเบียบแบบแผนตายตัว ไม่มีการยืดหยุ่นผ่อนสั้นผ่อนยาว การวินิจฉัยสั่งการก็เต็มไปด้วยความลังเล ล่าช้า อาจขาดความคิดริเริ่ม เป็นผลให้เกิดการแข่งขันขึ้นวรรณะ และประพฤติปฏิบัติเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ

ส่วน Punch ได้สรุปความหมายของระบบราชการไว้ 3 ประการ คือ

1. ระบบราชการ หมายถึง โครงสร้างขององค์การ ซึ่งจะเกิดขึ้นในองค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization) มีการจัดลำดับชั้นอำนาจหน้าที่ (Authority) มีสายการบังคับบัญชา และมีการแบ่งงานอย่างมีระเบียบกฎเกณฑ์

2. ระบบราชการ หมายถึง พฤติกรรมการบริหาร การกำหนดวิธีการปฏิบัติงานในหน่วยงานในแง่พฤติกรรมของคนหรือกิจกรรมของคน หรือกิจกรรมนั้นแสดงออกมาเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในองค์การ

3. ระบบราชการ หมายถึง ระบบการทำงาน ซึ่งทั้งดีและเลวร้าย กล่าวคือ ฝ่ายที่ดีมองระบบราชการในแง่เน้นความเห็นว่าเป็นระบบการบริหารการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เป็นระบบของความล้ำค่า ส่วนฝ่ายที่มองระบบราชการในแง่มีความเห็นว่า ระบบราชการเป็นระบบที่ก่อให้เกิดความล่าช้า ขาดประสิทธิภาพ เป็นระบบที่รักษาประโยชน์ของส่วนรวม เป็นระบบที่มีการเลือกสรรเข้ามาทำงาน โดยยึดถือความรู้ความสามารถและมีแบบแผนที่แน่นอนในการทำงาน

Max Weber นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้เสนอระบบราชการในอุดมคติไว้ 2 แบบ คือ

1. ระบบราชการในฐานะที่เป็นสถาบันทางสังคม (Social Institute) สถาบันหนึ่ง นั่นคือ เป็นสถาบันการบริหารการปกครองของรัฐ ซึ่งถือเป็นสถาบันหนึ่งของระบบการปกครองประเทศ เป็นสถาบันที่มีหน้าที่ต้องปกป้อง ดูแล รักษาผลประโยชน์บ้านเมืองอีกแห่งหนึ่ง และต้องการอิสระในการทำงาน สถาบันนั้นมั่นคง ยากต่อการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
2. ระบบราชการในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดองค์การ (A Form of Organization) นั่นคือ ระบบราชการเป็นเครื่องมือหรือระบบการทำงานเพื่อให้องค์การมีโครงสร้างที่แน่นอนเรียกว่า “Weberian Bureaucracy” ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมกับสภาพการณ์ต่าง ๆ

ข้อ 2. การบริหารราชการแนวใหม่ (New Public Administration) หมายถึงอะไร มีหลักการสำคัญ ๆ อย่างไรบ้าง (ตอบเป็นข้อ ๆ อธิบาย) และเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

แนวคำตอบ

การบริหารราชการแนวใหม่ (New Public Administration) หมายถึง แนวคิดทางการบริหารรัฐกิจที่ต้องการสร้างหน่วยงานให้มีการขับเคลื่อนด้วยกัน มีการกระจายอำนาจ มีลักษณะยืดหยุ่น มีการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการปรับปรุงและพัฒนาระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในฐานะผู้รับบริการสาธารณะได้อย่างครอบคลุม สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น

หลักการสำคัญของการบริหารราชการแนวใหม่

1. การสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance) เป็นแนวคิดเรื่องที่ทุกสังคมทุกคนทุกประเทศไม่ว่าจะปกครองประเทศลักษณะใดเป็นประเทศที่พัฒนาหรือกำลังพัฒนาก็ล้วนแล้วแต่ต้องการให้เกิดขึ้น แนวคิด Good Governance หรือ “ธรรมาภิบาล” นี้เป็นคำกล่าวถึงที่อยู่ในรายงานธนาคารโลก เมื่อปี 1989 ในส่วนของประเทศไทยนั้นมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายภายหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมในปี 2540 ทั้งนี้เนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และหลังจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมในปี 2540 ทั้งนี้เนื่องจากหนังสือแสดงเจตจำนงของทุนระหว่างประเทศ (IMF) ระบุให้ประเทศไทยเท่านั้นที่จะต้องสร้าง Good Governance ให้เกิดขึ้นในการบริหารจัดการภาครัฐ

หลักการของธรรมาภิบาลหรือระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี ประกอบด้วย
1) การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
2) การมีกระบวนงานที่โปร่งใส
3) การพร้อมรับผิดชอบ
4) ความชอบธรรมในการใช้อำนาจ
5) การมีกฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมและชัดเจน
6) การบริหารที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า หลักธรรมาภิบาลหรือระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีเป็นเรื่องการปรับปรุงการใช้อำนาจ เพื่อให้การปกครองบ้านเมืองเป็นไปเพื่อความสุขของประชาชนและลดความขัดแย้งลง เพื่อให้ระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมดีขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้รัฐบาลต้องให้ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนรัฐวิสาหกิจว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี เพื่อให้ภาคเอกชนลงทุนส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐภาคเอกชน และภาคประชาชน มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน

2. การบริหารมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ (Results Based Management) เป็นแนวทางหนึ่งของการปฏิรูประบบราชการที่เน้นปรับเปลี่ยนแนวคิดของรัฐบาลต่อประชาชน กล่าวคือ รัฐบาลจะต้องดูแลให้ประชาชนในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ ว่าได้ใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินอย่างไรบ้าง และได้ผลอย่างไร โดยการแสดงให้เห็นว่ามีผลงานเป็นอย่างไร เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร

การบริหารมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์เป็นเรื่องที่มุ่งเน้นในผลผลิตหรือผลสัมฤทธิ์เป็นหลัก โดยใช้ระบบประเมินผลงานที่อาศัยตัวชี้วัดและสะท้อนผลงานมาเป็นรูปธรรม ซึ่งผลการ

ประเมินจะนำมาใช้ในการกำหนดความคาดหวังในการทำงานที่จะส่งผลให้ผลผลิตและผลงานของส่วนราชการ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

การบริหารมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ อาจอธิบายได้อีกแบบหนึ่งว่า เป็นการจัดหาทรัพยากรการบริหารมาอย่างประหยัด (Economy) การบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficiency) และการได้ผลงานที่บรรลุเป้าหมายขององค์การ (Effectiveness)

3. การบริการประชาชนมีความเป็นเลิศ กล่าวคือ การบริการประชาชนของรัฐเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับการมีรัฐ ซึ่งเหตุผลที่รัฐต้องจัดบริการก็เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันของผู้คนในรัฐ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ความมั่นคงและประชาชนของตน ดังนั้นรัฐจึงมีหน้าที่ต้องจัดบริการที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ดังจะเห็นได้จาก

การส่งเสริมการบริการประชาชนให้ได้รับบริการที่ดี เป็นนโยบายของทุกรัฐบาล ทั้งนี้เพราะในประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยนั้นการตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นพันธกิจสำคัญ อันดับแรกที่รัฐพึงกระทำ ทั้งนี้ยังชี้ให้เห็นว่าเป็นเครื่องชี้วัดความอยู่รอดของรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป การเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมให้เข้าสู่ยุคเทคโนโลยีทุกภาคทุกส่วนโลก ดังนั้นการส่งเสริมการบริการประชาชนของรัฐจึงเป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลทุกยุคสมัยและทุกประเทศ

ในส่วนของประเทศไทยนั้นกรอบที่ครอบคลุมและแนวทางการบริการประชาชนของรัฐไว้อย่างชัดเจนคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 ซึ่งได้กำหนดแนวนโยบายพื้นฐานไว้ในหมวด 5 รวม 19 มาตรา ซึ่งถือได้ว่ามีนโยบายการบริการประชาชนที่มีความหลากหลายอย่างยิ่ง

ข้อ 3. แนวความคิดในการแบ่งแยกการบริหารออกจากการเมืองอย่างเด็ดขาด กับแนวความคิดที่ว่าการเมืองกับการบริหารไม่สามารถแยกจากกันได้นั้น ในมุมมองของนักศึกษาคิดว่าแนวคิดใดที่มีอิทธิพลต่อการจัดระเบียบบริหารราชการไทย ตามกฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม จงอธิบายมาให้เข้าใจโดยละเอียด

แนวคำตอบ

แนวคิดที่ว่า “การเมืองกับการบริหารไม่สามารถแยกจากกันได้” นั้นเป็นแนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการจัดระเบียบบริหารราชการไทย ตามกฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากสภาพความเป็นจริงที่อยู่ด้วยกันแล้วไม่สามารถแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต้องมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา ในหลายลักษณะหลายรูปแบบด้วยกัน

แนวความคิดเกี่ยวกับการเมืองกับการบริหารไม่สามารถแยกจากกันได้ มีเหตุผลสำคัญ ได้แก่

1. ในเชิงโครงสร้าง ระบบบริหารมีฐานะเป็นระบบย่อยของระบบการเมือง หรืออาจกล่าวได้ว่าระบบบริหารเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมือง ซึ่งประกอบด้วย ระบบย่อยต่าง ๆ มากมาย เช่น ระบบรัฐสภา ระบบเลือกตั้ง ระบบการเมือง หรือระบบบริหารราชการ หรืออาจแบ่งแยกออกจากระบบการเมือง ระบบบริหาร หรืออาจกล่าวได้ว่าถ้าหากกระทำเช่นนั้นจะทำให้ระบบการเมืองหมดความสมบูรณ์ ไม่อาจสูญเสียความเป็นระบบการเมืองอีกต่อไป

จะต้องพึ่งพาอาศัยข้าราชการหรือข้าราชการประจำ เพราะนักการเมืองมีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคเฉพาะด้าน นอกจากข้าราชการประจำจะมีหน้าที่ในการนำนโยบายไปปฏิบัติแล้ว ยังมีหน้าที่ในการให้ข่าวสารข้อมูลแก่ฝ่ายการเมือง บุคคลเหล่านี้จะมีอิทธิพลในรูปแบบต่าง ๆ เป็นอย่างดี เนื่องจากจากความเป็นข้าราชการประจำที่ทำงานต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน รู้วิธีข้อดีข้อเสียของแต่ละประเด็นเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามในการเลือกทางเลือกในการกำหนดนโยบายโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างเช่นประเทศไทย การเมืองกับการบริหารมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการชี้แนะและครอบงำฝ่ายการเมืองทำให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากยิ่งขึ้นจนเกิดการเรียกชื่อว่า อำมาตยาธิปไตย

2. ในแง่กระบวนการ การกำหนดนโยบายของฝ่ายการเมืองหรือรัฐบาลนั้น มีความจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยข้าราชการประจำ เพราะนักการเมืองขาดความชำนาญด้านเทคนิคเฉพาะด้าน นอกจากนี้ข้าราชการประจำยังมีหน้าที่ในการนำนโยบายไปปฏิบัติแล้ว ยังมีหน้าที่ในการให้ข่าวสารข้อมูลแก่ฝ่ายการเมือง บุคคลเหล่านี้จะมีอิทธิพลในรูปแบบต่าง ๆ เป็นอย่างดี เนื่องจากความเป็นข้าราชการประจำที่ทำงานต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน รู้วิธีข้อดีข้อเสียของแต่ละประเด็นเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามในการเลือกทางเลือกในการกำหนดนโยบายโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างเช่นประเทศไทย การเมืองกับการบริหารมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการชี้แนะและครอบงำฝ่ายการเมืองทำให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากยิ่งขึ้นจนเกิดการเรียกชื่อว่า อำมาตยาธิปไตย

3. ในแง่พฤติกรรม หากพิจารณาถึงพฤติกรรมทางการบริหารกับพฤติกรรมการเมืองแล้ว จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมทั้งสองมีพฤติกรรมที่ต้องการต่อรองกันอยู่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ ในขณะที่เลือกตั้ง ส.ส. เป็นพฤติกรรมการเมือง แต่การจัดการเลือกตั้งให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นพฤติกรรมการบริหาร หรือในขณะที่คณะรัฐมนตรีมีการบัญญัติกฎหมายการเลือกตั้ง แต่การดำเนินการต่าง ๆ ของสำนักเลขาธิการรัฐสภา นับตั้งแต่การพิจารณาร่างกฎหมายจนถึงการประกาศใช้กฎหมายเป็นพฤติกรรมการบริหาร เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ต้องสนับสนุนเกื้อกูลกัน และต่อเนื่องกันไป ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะมิฉะนั้นแล้วจะทำให้พฤติกรรมทั้งสองไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้

ข้อ 4. วัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทย (Bureaucratic Culture) มีลักษณะอย่างไร และวัฒนธรรมนั้นส่งผลต่อสภาพปัญหาและอุปสรรคที่เรื้อรังหรือไม่ อย่างไรบ้าง จงอธิบายมาให้เข้าใจ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคำตอบ

วัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทย (Bureaucratic Culture) มีลักษณะดังนี้

วัฒนธรรมของระบบราชการไทยนั้นมีที่มาแต่ดั้งเดิมแล้ว ๆ กับการปกครองของไทยในอดีต ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด และเป็นไปอย่างช้า ๆ มูลเหตุของการปกครองแบบพ่อปกครองลูกในสมัยสุโขทัย โดยโอนอำนาจการปกครองของพระมหากษัตริย์ อย่างเด็ดขาด สิทธิเสรีภาพได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู และระบบการปกครองดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยโอนอำนาจการปกครองของพระมหากษัตริย์ในระบอบการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และระบบการปกครองดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ เมื่อประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 พบว่าในช่วงนั้นวัฒนธรรมของไทยยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพียงแต่เปลี่ยนจากอำนาจของพระมหากษัตริย์มาสู่กลุ่มคนหรือข้าราชการชั้นสูง

ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นจึงอยู่ในแวดวงที่จำกัดอยู่แต่ในหมู่ชนชั้นนำไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนแนวการปฏิบัติที่เคยเป็นมาแต่ดั้งเดิมก็ยังคงที่จะเป็นแบบแผนในปัญหาพื้นฐานนั้น ภายในสังคมไทยได้รับการศึกษาจากจากประเทศตะวันตกและมีการไปศึกษาในต่างประเทศนั้นจะแพร่กระจายมาสู่ประชาชนทั่วไปกับอินเดีย จีน และฝรั่งเศส มาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยได้คัดเลือกเอาวัฒนธรรมของชาติอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับค่านิยมไทยมาพัฒนาให้เข้ากับวิถีชีวิตจนได้รับเป็นวัฒนธรรมของไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ เรื่องอาหาร อาหารไทยหลาย ๆ อย่างได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ หรือเรื่องการแต่งกายที่ทำลักษณะที่จากจีน อินเดีย การทอผ้าอาหารการกิน หรือการต้อนรับน้ำมันเป็นวิธีการต้อนรับของชาวกรีกโบราณ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าอาหารของคนไทยประการหนึ่ง หรือเรื่องเครื่องดื่มน้ำนั้นเป็นวิธีการต้อนรับของแขกที่มาเยือนบ้าน เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมทางการกินการดื่มการต้อนรับที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย จึงถือได้ว่าเรื่องอาหารการกินไม่ไปกับยุคคุกคาม แต่หลังจากมีการสร้างวัฒนธรรมร่วมสมัยให้เกิดขึ้นได้ต้องปลูกฝังหลังค่านิยมที่พึงปรารถนาเสียก่อน จึงเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา โดยเฉพาะถ้ายังเข้าถึงไม่แน่นอน นอกจากค่านิยมหลักเดิม ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากอดีตจนถึงปัจจุบันระบบราชการไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้รับเอาแบบอย่างการจัดโครงสร้างระบบตะวันตกมาใช้ และมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ. 2475 ในสมัยรัชกาลที่ 7 อีกทั้งยังปรับเปลี่ยนการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างความทันสมัยตามแบบมาตรฐานตะวันตกในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยประเทศไทยได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรก (2504) ขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตามแบบอย่างตะวันตกนั้น นักวิชาการมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยเพียงแต่รูปแบบ (Form) ภายนอกเท่านั้น ไม่ใช่การพัฒนาอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ได้มุ่งหมายที่แท้จริงของการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้เพราะการพัฒนาอย่างแท้จริงต้องอยู่คู่การพัฒนาความคิดและจิตใจคน นั่นหมายถึงค่านิยมประชาธิปไตย เห็นคุณค่าของตนเอง ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน แต่เมื่อพิจารณาโดยทั่วไปจะเห็นว่าวัฒนธรรมของคนไทยกลับพบว่าเปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก นั่นคือ วัฒนธรรมการเมืองไทยไม่ได้ก้าวตามทันกับความถูกต้องในการใช้อำนาจ นั่นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงยึดตนเองเป็นหลักมากกว่าการคิดถึงส่วนรวม

วัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทยยังถูกหล่อหลอมโดยวัฒนธรรมของสังคมและการปกครอง เป็นผลให้ค่านิยมการยึดติดกับขนบธรรมเนียมและยอมรับอำนาจของผู้มีสถานภาพทางสังคมสูงกว่า จัดได้ว่าเป็นค่านิยมหลักของข้าราชการ ซึ่งแสดงออกในด้านทัศนคติ ความคิด และพฤติกรรมการกระทำต่าง ๆ ในการทำงาน นอกจากนี้ยังมีค่านิยมหลักอีกหลายชนิดที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งยวดต่อวัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทย เช่น ค่านิยมความเป็นปัจเจกนิยม (Individualism) ค่านิยมรักสนุก ชอบอิสระ ชอบสบาย มีความกตัญญูรู้คุณ การเคารพผู้อาวุโส เป็นต้น

สภาพปัญหาของระบบราชการไทย

1. ปัญหาโครงสร้าง ทั้งนี้เนื่องจากระบบราชการไทยมีขนาดใหญ่ มีโครงสร้างซ้ำซ้อนกัน ทั้งในด้านภารกิจ บทบาท อำนาจหน้าที่ ทำให้คล่องตัว ไม่สามารถตอบสนองและรองรับกับความสลับซับซ้อนของการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการใช้อำนาจซ้ำซ้อนกัน ความรับผิดชอบระหว่างหน่วยงาน และความร่วมมือระหว่างส่วนกลางส่วนภูมิภาคส่วนท้องถิ่นยังมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างของระบบราชการ โดยแบ่งออกเป็นกระทรวง ทบวง และกรม เป็นศูนย์อำนาจนั้น เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ระบบบริหารราชการไม่เหมาะสม

2. ปัญหาเชิงบริหาร ทั้งนี้เนื่องจากระบบราชการไม่มีความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะการแทรกแซงจากการเมืองที่เข้ามามีอำนาจกำหนดนโยบาย ซึ่งระบบราชการไทยยังคงยึดถือการปฏิบัติงาน และการยึดตามระเบียบ รวมไปถึงการตรวจสอบความสำเร็จผลเพียงแค่การปฏิบัติงานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ได้จัดทำตามข้อกำหนดไว้ในระเบียบแบบแผน ไม่ได้เน้นตามวัตถุประสงค์ของการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

3. ปัญหาการบริหารงานบุคคลและบุคลากร ซึ่งพบว่า ระบบบริหารงานบุคคลไม่มีความเท่าเทียมกัน ทำให้ข้าราชการมีความก้าวหน้าในตำแหน่งการงานแตกต่างกัน ระบบการคัดเลือกไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และตลาดแรงงาน นอกจากนี้ยังขาดการใช้มาตรการในการสับเปลี่ยนให้ข้าราชการมีความสามารถ ทัศนคติ และพฤติกรรมที่เหมาะสมกับปัญหาบุคลากร นั่นคือ ข้าราชการยังคงขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงาน หรือเรียกอีกอย่างว่าขาดความเป็นมืออาชีพ ทำให้ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และค่านิยมแบบดั้งเดิมส่งผลให้ระบบราชการและข้าราชการขาดการยึดมั่นในการทำงานเพื่อส่วนรวม และใช้อำนาจเกินกว่าความเป็นจริงในฐานะผู้ให้บริการและใช้อำนาจเกินกว่าความเป็นกลางทางการเมืองและใช้อำนาจในการทำงาน

4. ปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งของระบบราชการไทย เนื่องจากลักษณะการทำงานของระบบราชการเป็นแบบผูกขาด และข้าราชการมีพฤติกรรมการทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เปิดโอกาสให้มีอภิสิทธิ์ชนและเป็นช่องทางให้กระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลต่อระบบราชการและข้าราชการ

อุปสรรคที่เรื้อรังของระบบราชการไทย

1. ขนาดขององค์การระบบราชการที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ก็จะเกิดขนาดใหญ่โต และมีการแบ่งโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ที่ซับซ้อน ทำให้มีการบังคับบัญชาและการกำกับดูแลหลายชั้น ส่งผลให้การทำงานของระบบราชการมีการขั้นตอนล่าช้า ทำให้เกิดความสับสนและสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็นจากบทบาทของระบบราชการนั้น ๆ

2. การจัดโครงสร้างองค์การของระบบราชการเป็นรูปปิรามิด ซึ่งบางครั้งก็มีการกระจุกตัวในระดับผู้บริหารในระดับสูงและระดับปฏิบัติ ซึ่งมีความสับสน ความซ้ำซ้อนของบทบาทหน้าที่ส่งผลให้เกิดการทำงานที่ต้องประสานงานกันเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบอันแนบแน่นไม่สามารถปรับเปลี่ยนระบบการบริหารบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานในระดับล่างและระดับปฏิบัติของระบบราชการ

3. ระบบราชการไม่สามารถปรับเปลี่ยนการบริหารหรือแนวทางการดำเนินงานได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชนที่มีความหลากหลายและมีระเบียบกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทำให้ขาดความคล่องตัวในการตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชน

4. การบริหารงานของข้าราชการขาดความกระตือรือร้น เคยชินกับการทำงานตามระเบียบกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทำให้ขาดการตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชนส่วนรวม ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นอีกทั้งยังค้นพบว่าวิธีการบริหารงานส่วนกลางนั้นไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรงบประมาณและการบริหารงานบุคคล

 

Advertisement