การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ

คำสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทำทุกข้อ

Advertisement

ข้อ 1. ข้าราชการไทยมีอิทธิพลต่อการเมืองไทยมาตลอด ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง (24 มิถุนายน 2475) จนถึงปัจจุบันนี้ ท่านเข้าใจว่าอย่างไร จงอธิบายและยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม

แนวคำตอบ (หนังสือพิมพ์ 53288 หน้า 119 – 124), (เอกสารหมายเลข P-3311 หน้า 29 – 34)

ระบบราชการไทยมีอิทธิพลต่อการเมืองไทย ดังนี้

นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ระบบการเมืองไทยเป็นระบบอำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) คือ ถูกครอบงำโดยข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนมาโดยตลอด ประเทศไทยจึงตกอยู่ในภาวะขาดแคลนนักการเมืองอาชีพ และอุดมไปด้วยข้าราชการที่เข้าไปมีบทบาททางการเมืองทั้งในด้านนิติบัญญัติ ด้านตุลาการ ด้านการเมือง และด้านการสร้างสรรค์พรรคการเมือง โดยข้าราชการประจำมักเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่าง ๆ เช่น รัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษา เป็นต้น ดังจะเห็นได้ว่าในปี พ.ศ. 2475 – 2518 คณะรัฐมนตรีเกือบทุกชุดของไทยมีข้าราชการเป็นรัฐมนตรีครึ่งหนึ่ง นักการเมืองอาชีพ เพราะระบบราชการมีอำนาจและมั่นคงกว่าระบบการเมือง และระบบการเมืองยังขาดเสถียรภาพทำให้นักการเมืองอาชีพน้อย

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นจุดเริ่มต้นของการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบบการเมืองไทย มีผลทำให้ทหารและข้าราชการพลเรือนมีบทบาทสำคัญทางการเมือง ทหารกลายเป็นสถาบันที่ครอบงำการเมือง ทยอยเข้ามายึดอำนาจทางการเมืองมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเศรษฐกิจตกต่ำในสมัยรัตนโกสินทร์และสงครามโลกครั้งที่สอง ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อำมาตยาธิปไตยของทหาร แต่ภายหลังสงครามไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาของประเทศ และการล่มสลายทางการเมือง

หลังจากนั้นในระยะต่อมาเมื่อนักการเมืองเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง และเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย และข้าราชการประจำมีบทบาทในการควบคุมดูแลระบบการเมือง ข้าราชการประจำไม่ได้ทำหน้าที่ทำงานไปตามนโยบายเท่านั้น แต่เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายด้วย เนื่องจากข้าราชการประจำปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง จึงมีความรู้และประสบการณ์ในการทำงานของตน แต่การเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เพราะฉะนั้นนักการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่งจึงต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารและความเห็นต่าง ๆ จากข้าราชการประจำในการกำหนดนโยบาย

สถาบันการเมืองมีลักษณะอ่อนแอ ในขณะที่ระบบราชการมีความเข้มแข็ง นักการเมืองมักจะอ่อนแอในการพัฒนานโยบายและความต่อเนื่อง และความสัมพันธ์กับประชาชน เพราะฉะนั้นอำนาจต่อรองทางการเมือง และมีการสรรหาทรัพยากรทางการเมืองอย่างเต็มที่เห็นได้ชัดเจน ข้าราชการจึงเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบาย

ในการกำหนดนโยบาย และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หน่วยงานราชการมีส่วนสำคัญกว่านักการเมืองและพรรคการเมือง โดยข้าราชการประจำมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย และแผนพัฒนาในทุกระดับตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงเบื้องปลาย

ข้าราชการประจำมีบทบาทในการชี้ขาดทางด้านนโยบาย เพราะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ข้าราชการประจำมีความรู้และประสบการณ์ และถูกจำกัดด้วยพลวัตรและเวลา จึงไม่สามารถ
ทำการเปลี่ยนแปลงงบประมาณได้ยากนัก แม้ว่าจะมีการแก้ไขให้ตำแหน่งผู้ชำนวยการสำนักงบประมาณเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งทำให้อิทธิพลการเมืองจากภายนอกในการจัดทำงบประมาณลดลง และอาศัยหลักวิชาการและเหตุผล (Rationality) มากขึ้นก็ตาม แต่ในแง่อำนาจให้กับข้าราชการประจำในการจัดทำงบประมาณ

การที่ข้าราชการมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายสำคัญจนเคยชิน และการไม่ยอมรับอำนาจของนักการเมือง ทำให้นักการเมืองพยายามเข้ามาควบคุมบุคคลที่เป็นข้าราชการ โดยการเปลี่ยนตัวปลัดกระทรวงเพื่อควบคุมปลัดกระทรวงได้ก็ดี จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำเสมอมาในอดีตระบบการเมืองไทยถูกครอบงำโดยระบบราชการ ดังต่อไปนี้

1 ระบบราชการไทยเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลครอบงำการเมืองไทยมาตลอด

2 ระบบราชการไทยทำหน้าที่แทนพรรคการเมืองเสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่มิ กฎหมายห้ามการมีพรรคการเมืองและห้ามการชุมนุมทางการเมือง

3 ระบบราชการไทยผูกขาดการสรรหาบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ทางการเมือง

4 ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงำการปลูกฝังวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมให้แก่คนไทย

5 ระบบราชการไทยควบคุมการดำเนินงานของสื่อมวลชนอย่างใกล้ชิด

6 ระบบราชการไทยมีอิทธิพลเหนือการกำหนดข้อบัญญัติของสังคมและสมาชิกสภา-นิติบัญญัติ ทั้งที่มาจากการแต่งตั้งและที่มาจากการเลือกตั้ง

7 ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงำฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน

8 ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงำต่อกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรม และในกระทรวงมหาดไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว

 

ข้อ 2. การเมือง (Politics) คืออะไร จงอธิบาย และแนวทางการศึกษาการเมือง (Approach) มีอย่างไรบ้าง จงอธิบายเป็นข้อ ๆ

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข P-3311 หน้า 7 – 8)

David Popence กล่าวว่า การเมือง (Politics) เป็นกระบวนการที่ประชาชนและกลุ่มแสวงหาอำนาจและใช้อำนาจเหนือผู้อื่น อำนาจเป็นความสามารถในการควบคุมการกระทำของคนอื่น ไม่ว่าจะได้รับการยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยมีกลไก 3 อย่าง คือ 1. การให้รางวัล 2. การลงโทษ 3. การควบคุมข่าวสาร ทัศนคติและความรู้สึก ส่วนสิทธิอำนาจ (Authority) เป็นอำนาจที่ได้มาโดยชอบธรรมถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นอำนาจตามตำแหน่งที่ได้รับ

การศึกษาและการวิเคราะห์ทางการเมือง มีดังนี้

1 แนวเน้นเรื่องปรัชญาการเมือง (Political Philosophy Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจการแสวงหารูปแบบที่ดีของรัฐและชีวิตที่ดีของมนุษย์ในสังคม โดยเน้นในเรื่องคุณค่า คุณธรรม จริยธรรม จริยศาสตร์ ธรรมชาติของมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค โครงสร้างของรัฐ กฎหมาย รัฐธรรมนูญ สิทธิการเมือง และการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ

2 แนวเน้นเรื่องสถาบันทางการเมือง (Political Institution Approach) หรือแนวสถาบันนิยม (Institutionlism) เป็นแนวเน้นการศึกษากระบวนการที่ทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) ซึ่งหมายถึง กระบวนการรวบรวมระเบียบกฎเกณฑ์ของกิจกรรมขึ้นเป็นแม่แบบขององค์การ เป็นแนวเน้นการศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของกฎเกณฑ์ รัฐธรรมนูญ แหล่งที่มา…โครงสร้างของอำนาจและรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันตุลาการ สถาบันบริหารราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้นำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ

3 แนวเน้นเรื่องอำนาจ (Power Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจการใช้อำนาจของผู้ปกครองอย่างเหมาะสม โดยทำให้สังคมมีเสถียรภาพและผู้ใต้ปกครองมีความผาสุก นับว่าอำนาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเมืองการปกครองสามารถรักษาระเบียบกฎเกณฑ์ของสถาบันไว้ได้ อำนาจเป็นความสามารถของบุคคลในการควบคุมความคิดจิตใจและความประพฤติของคนอื่น อำนาจจะเป็นวิธีการ (Mean) ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ และอำนาจก็เป็นเป้าหมาย (End) ที่บุคคลแสวงหามาด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยมองว่าการเมืองก็คือการต่อสู้เพื่อการมีอำนาจ

4 แนวเน้นเรื่องการกำหนดนโยบายสาธารณะและการตัดสินใจ (Public Policy and Decision Making Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจการตัดสินใจมีลักษณะประยุกต์ใช้ในสิ่งที่คาดไม่ถึง ไม่ได้เน้นในเรื่องผลของการนำนโยบายไปปฏิบัติ เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ผลักดันให้เกิดนโยบายสาธารณะและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ

5 แนวเน้นเรื่องระบบการเมือง (Political System Approach) เป็นแนวที่มุ่งอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างและกระบวนการต่าง ๆ ของระบบการเมือง เป็นว่ากระบวนการเมืองเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับหน้าที่ ระบบการเมืองมีหน้าที่เกี่ยวกับการปรับตัวและการอนุรักษ์ การเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงปัจจัยนำเข้า (Input) ไปเป็นผลผลิต (Output)

6 แนวเน้นเรื่องพฤติกรรมทางการเมือง (Political Behavioral Approach) เป็นแนวที่สนใจพฤติกรรมการเมืองของมนุษย์โดยเน้นจิตวิทยากลุ่ม พฤติกรรมบุคคลและกลุ่ม รวมทั้งจิตวิทยาสังคม เช่น ศึกษาปัจจัยที่ทำให้บุคคลก้าวร้าวและนิยมเผด็จการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับบุคลิกภาพและการขัดเกลาทางสังคมของผู้มีอำนาจการเมือง เช่น หาเหตุผล พฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมือง นอกจากนี้ยังเป็นแนวที่เน้นการศึกษาในระดับจุลภาคโดยผสมผสานแนวคิดทางรัฐศาสตร์และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน

7 แนวเน้นเรื่องการพัฒนาทางการเมือง (Political Development Approach) เป็นแนวที่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมมีผลต่อมิติด้านการเมืองด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้อธิบายนิยามการเมืองจากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่งด้วย เช่น อำนาจการเมืองมีการนำไปสู่ระบบการเมืองใหม่ จากระบบการเมืองที่ด้อยพัฒนาไปสู่ระบบการเมืองที่กำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว เป็นต้น

 

ข้อ 3. นักการเมืองมีหน้าที่กำหนดนโยบาย ข้าราชการประจำมีหน้าที่หลักคือ นำนโยบายไปปฏิบัติ หมายถึงอะไร จงอธิบายให้ละเอียดและยกตัวอย่างประกอบ

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข P-3311 หน้า 18 – 20)

การเมืองกับการกำหนดนโยบาย

การกำหนดนโยบายสาธารณะเป็นการกำหนดกรอบแนวทางในการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาของส่วนรวม ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลหรือนักการเมืองฝ่ายบริหาร ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายก็คือผู้นำ กลุ่มผลประโยชน์ รัฐบาล ความต้องการของประชาชน การสนับสนุนจากกลุ่มต่าง ๆ และการตัดสินใจ

ในสังคมประชาธิปไตยหรือโครงสร้างทางการเมืองแบบประชาธิปไตยนั้น การแข่งขันเพื่ออำนาจและการแสดงอำนาจเกิดขึ้นตาม “กฎแห่งเกม” (Rules of Game) การจัดระเบียบทางสถานะจะมีกลุ่มหรือพรรคต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป เข้ามามีส่วนร่วมในการแข่งขันกันเพื่อให้ได้อำนาจหรือตำแหน่งผู้นำ โดยอาศัยความเข้มแข็งของนโยบายหรือการสร้างภาพพจน์หรืออาศัยทั้งสองอย่าง และมีประชาชนที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ทั้งหมดทำการเลือกตั้งได้อย่างอิสระ (Free Election)

การนำนโยบายไปปฏิบัติกับระบบราชการ

เมื่อมีการกำหนดนโยบายสาธารณะแล้ว จะต้องมีการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยการวางแผน (Planning) ซึ่งอาจจะมีลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้ แต่การวางแผนจะต้องคำนึงถึงเนื้อหาสาระของแผนเป็นอย่างมาก โดยมุ่งเน้นรายละเอียดของปัญหาที่จะนำมาจัดทำแผน เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาแรงงาน ปัญหาการศึกษา เป็นต้น

การกำหนดนโยบายสาธารณะ (Policy Formulation) เป็นหน้าที่ของรัฐบาลหรือนักการเมืองฝ่ายบริหาร ส่วนการนำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นหน้าที่ของฝ่ายข้าราชการประจำในหน่วยงานต่าง ๆ ดังนั้นการนำนโยบายไปปฏิบัติจึงเกี่ยวข้องกับระบบราชการโดยตรง และความสำเร็จของนโยบายหรือแผนที่วางไว้ก็ขึ้นอยู่กับระบบราชการเป็นสำคัญ

 

ข้อ 4. ปัญหาระบบราชการไทยมีอย่างไรบ้าง จงอธิบาย และให้เสนอแนวทางปฏิรูประบบราชการไทยจงวิเคราะห์ และอธิบายให้ละเอียด

แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 87 – 90, 108 – 109), (คำบรรยาย)

ปัญหาของระบบราชการไทยที่สำคัญ ได้แก่

1 ปัญหาเรื่องการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ เป็นปัญหาหลักและเรื้อรังที่สะสมมานาน ไม่อาจแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและเบ็ดเสร็จ ทำให้ภาพลักษณ์ของระบบราชการไทยด้อยคุณค่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นขยายวงกว้างออก การปฏิรูประบบราชการจึงเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยแก้ไขภาพปัญหาหนี้ให้ลดน้อยลงหรือหมดไปในที่สุด

2 ปัญหาเรื่องขนาดของระบบราชการมีโครงสร้างของกลุ่มข้าราชการที่ใหญ่ ซับซ้อน มีอัตรากำลังข้าราชการเป็นจำนวนมาก ทำให้ระบบราชการมีภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องคนสูง ปัญหางบประมาณของบุคคลที่สูง ทำให้ค่าใช้จ่ายในงบประมาณมีไม่เพียงพอที่จะนำไปพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ อย่างเพียงพอ งบประมาณไม่สมดุล และมีผลกระทบต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจำเป็นของรัฐในการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ

3 ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารราชการไทยยุควิกฤตการณ์ ประสิทธิภาพการบริหารราชการไทยอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภาคพื้นเอเชีย แต่ในส่วนราชการส่วนใหญ่ยังไม่มีการประเมินผลการปฏิบัติงานว่างานนั้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพียงใด ขาดตัวชี้วัดในการดำเนินงาน ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุน และผลสัมฤทธิ์ของราชการได้อย่างชัดเจน แต่โดยที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐจึงมีการประเมินคุณภาพ รวมทั้งความคาดหวังของประชาชนโดยทั่วไปจึงต้องการเห็นภาพลักษณ์ใหม่ของระบบราชการไทย ในแนวทางดังกล่าว จึงจำเป็นต้องมีปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะต้องทำให้เห็นถึงเหตุผล และความจำเป็นของการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านประสิทธิภาพของการให้บริการประชาชน

4 ปัญหาการรวมศูนย์อำนาจ กล่าวคือ ราชการบริหารส่วนกลางซึ่งได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม มีความเข้มแข็ง การบริหารงานและการตัดสินใจมีลักษณะรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด แม้ว่าจะมีการมอบอำนาจการบริหารงานให้กับราชการส่วนภูมิภาค แต่การบริหารงานของราชการส่วนภูมิภาคยังไม่สามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ได้มากนัก ยิ่งต้องอาศัยนโยบายจากส่วนกลางเป็นหลัก หลักการบริหารราชการส่วนใหญ่จึงขึ้นอยู่กับการจัดสรรจากส่วนกลาง

5 ปัญหาโครงสร้างส่วนราชการที่ไม่คล่องตัว โครงสร้างการบริหารงานภาครัฐในปัจจุบันมีลักษณะที่เป็นเหลี่ยม ขาดความคล่องตัว การบริหารจัดการขึ้นอยู่กับอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ฝ่ายบริหารไม่สอดคล้องกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อย่างทันเหตุการณ์ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรทำได้ยาก ไม่คล่องตัว และเนื่องจากโครงสร้างองค์การมีขนาดใหญ่ ทำให้การรับเรื่องร้องเรียนต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรในการดำเนินการ

6 ปัญหากฎ ระเบียบ เทคโนโลยี และวิธีปฏิบัติงานไม่ทันสมัย การบริหารงานภาครัฐเป็นการบริหารโดยยึดถือกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก กฎระเบียบบางเรื่องเป็นอุปสรรคต่อการบริหารภาครัฐและไม่ทันสมัย นอกจากนั้นเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในระบบราชการยังขาดความทันสมัยเมื่อเทียบกับภาคธุรกิจของเอกชน ตลอดจนการบริหารงานภายใต้ระเบียบราชการที่ต้องปฏิบัติงานตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด การบริหารงานให้สำคัญกับกระบวนการมากกว่าเป้าหมาย ทำให้การบริหารงานขาดความคล่องตัว

7 ปัญหากำลังคนภาครัฐไม่มีคุณภาพ กำลังคนภาครัฐที่อยู่ในระบบราชการปัจจุบันส่วนใหญ่ยังขาดคุณภาพและมีความจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านอย่างเร่งด่วน กำลังคนส่วนใหญ่ยังขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และยึดติดกับการทำงานแบบเดิม ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ระบบราชการที่ทำให้กำลังคนภาครัฐขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน เนื่องจากอยู่ในสถานะของข้าราชการที่มีเสถียรภาพและความมั่นคงก้าวหน้า

8 ปัญหาค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม ข้าราชการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายได้และค่าตอบแทนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในภาคต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากภาคราชการเป็นองค์การขนาดใหญ่ ทำให้การปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการทำงานได้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากภาครัฐต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการเป็นจำนวนมาก รวมถึงค่าตอบแทนที่ไม่สอดคล้องกับกลไกตลาด รายได้ของข้าราชการอยู่ในระดับต่ำและไม่สัมพันธ์กับภาระค่าครองชีพที่เพิ่มสูงอยู่ตลอดเวลา

9 ปัญหาทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิม ระบบราชการเป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับลำดับชั้นของการบังคับบัญชา ปัญหาข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเท่าที่ควรต่อการพิจารณาในระบบราชการของข้าราชการ การทำงานขาดการจูงใจ ไม่สามารถแสดงศักยภาพในการทำงานได้อย่างเต็มที่ ทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิมในภาคราชการดังกล่าว จึงไม่เปิดโอกาสให้มีการส่งเสริมคนเก่ง คนดี คนที่ความรู้และความสามารถได้มีโอกาสในการแสดงศักยภาพการทำงานได้อย่างเท่าที่ควร ข้าราชการมักจะเคยชินกับระบบการรับคำสั่งและนำมาปฏิบัติงานมากกว่าที่จะริเริ่มและสร้างสรรค์ รวมทั้งขาดความกล้าหาญที่จะโต้แย้งเห็นว่าคำสั่งนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติงานนั้นไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติ

แนวทางการแก้ไขเพื่อนำไปสู่การปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้

1 การมอบอำนาจและการกระจายอำนาจ

2 การให้เอกชนเข้ามามีบทบาทของภาครัฐในด้านการเป็นผู้ควบคุม

3 การลดจำนวนข้าราชการด้านกำลังคน

4 การลดระเบียบให้เหลือเท่าที่จำเป็น

5 ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการบริหาร

6 ทำให้ระบบราชการเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย

7 การปรับเปลี่ยนการบริหารให้เข้ากับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทยให้สอดคล้องกับการเปิดประเทศตามเศรษฐกิจอาเซียน มีดังนี้

1 ให้ภาคราชการมีสมรรถนะที่จะแข่งขันในเวทีโลก (International Competitive Marketing)

2 ลดการควบคุมภาคราชการต่อภาคเอกชนให้น้อยลง โดยการแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ล้าสมัย (Deregulation)

3 ให้มีการแปรสภาพภาคราชการไปให้ภาคเอกชนดำเนินการแทนมากขึ้น (Privatization)

4 ให้ส่วนราชการมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5 ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจและวิธีการบริหารงานของภาครัฐ (บทบาท วิธีการทำงานและสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน)

6 การปรับปรุงโครงสร้างองค์การบริหารราชการแผ่นดิน

7 การปรับเปลี่ยนงบประมาณให้เป็นระบบงบประมาณมุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์

8 ปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานบุคคล (เพิ่มค่าตอบแทนกลาง ปรับปรุงงานบุคคลที่มีศักยภาพของข้าราชการ ปรับปรุงระบบเงินเดือนและค่าตอบแทน ปรับกระบวนทัศน์ข้าราชการ)

9 ปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน

10 ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม และค่านิยมของข้าราชการ (สร้างจิตสำนึก) สร้างระบบการบริหารงานกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance) สร้างค่านิยมโปร่งใสทำงานร่วมกับประชาชนอย่างเป็นมิตร

11 เปิดระบบราชการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการปฏิรูประบบราชการไทย มีดังนี้

1 นำไปสู่ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คุ้มค่ากับภาษีของประชาชน ระบบราชการโปร่งใสสุจริต ลดความสิ้นเปลืองสูญเปล่า และใช้งบประมาณน้อยลง

2 เป็นข้าราชการที่ดีมีความรับผิดชอบ ซื่อตรงและโปร่งใส

3 เป็นระบบราชการที่สนองตอบความมั่นคง

4 การบริหารราชการมองการณ์ไกล ทันสมัย ทันโลก ทันต่อเหตุการณ์

5 ได้ระบบและราชการที่มีความมั่นคงเข้มแข็ง ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน

6 การบริหารราชการที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือจากประชาชนว่าเป็นระบบที่มีคุณภาพประสิทธิภาพ และมีคุณธรรม

7 ได้ข้าราชการที่เข้าใจง่ายและเป็นเพื่อนกับประชาชน โดยที่ประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรม

Advertisement