การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา POL3311 การเมืองและระบบราชการ

คำสั่ง ข้อสอบมี 2 ข้อ

Advertisement

ข้อ 1. ให้อธิบายแนวคิดต่อไปนี้พอสังเขป

1.1 แนวคิดเชิงระบบ
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7), (คำบรรยาย)

แนวคิดเชิงระบบ (System Approach)

David Easton ในทางรัฐศาสตร์ได้นำแนวคิดของนักสังคมวิทยามาประยุกต์ใช้ในทางการเมือง แล้วอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องว่ามีความเกี่ยวข้องกับอย่างไร ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือ

1 สิ่งที่ป้อนเข้าหรือปัจจัยนำเข้า (Input)
2 กระบวนการ (Process) หรือเรียกอีกอย่างว่า กล่องดำ (Black Box)
3 ผลที่ออกมาหรือผลผลิต (Output)
4 ผลย้อนกลับหรือผลกระทบที่เกิดจากผลผลิต (Feedback)

1.2 แนวคิดเชิงพฤติกรรมทางการเมือง

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 8)

แนวคิดเชิงพฤติกรรมทางการเมือง (Political Behavioral Approach) เป็นแนวคิดในพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ โดยเน้นจิตวิทยายุคเทค พฤติกรรมบุคคลและกลุ่ม รวมทั้งจิตวิทยาสังคม เช่น ศึกษาปัจจัยที่ทำให้บุคคลก้าวร้าวและนิยมเผด็จการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับบุคลิกภาพและการขัดเกลาทางสังคมของผู้นำทางการเมือง มุ่งหาทฤษฎีพฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมือง นอกจากนี้ยังเป็นแนวที่เน้นการศึกษาในระดับจุลภาคโดยผสมผสานแนวคิดทางรัฐศาสตร์และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน

1.3 แนวคิดเชิงสถาบันนิยม

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7), (คำบรรยาย)

แนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionalism) หรือแนวคิดเชิงสถาบันการเมือง (Political Institution Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจกระบวนการที่ทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) การศึกษารูปแบบต่างๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แหล่งที่มาและโครงสร้างของอำนาจและรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันการบริหาร สถาบันตุลาการ สถาบันข้าราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมักจะนำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ

1.4 แนวคิดเชิงปรัชญาการเมือง
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7)

แนวคิดเชิงปรัชญาการเมือง (Political Philosophy Approach) เป็นแนวคิดที่มุ่งสนใจการแสวงหารูปแบบที่ดีของรัฐและชีวิตที่ดีของมนุษย์ในสังคม โดยเน้นในเรื่องคุณค่า คุณธรรม จริยธรรม จริยศาสตร์ ธรรมชาติของมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค โครงสร้างของรัฐ กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ลัทธิการเมือง และการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ

1.5 ลัทธิอำนาจตามบารมี
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 15)

ลัทธิอำนาจตามบารมี (Charismatic Authority) หมายถึง ลัทธิอำนาจที่ได้มาจากลักษณะความเป็นผู้นำที่โดดเด่นของบุคคล ทำให้เกิดกลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ ตามผู้มีบารมี

 

ข้อ 2. ให้นักศึกษาทำข้อสอบทั้งข้อ 2.1 และข้อ 2.2

2.1 รัฐบาลไทยควรปฏิรูประบบราชการเรื่องใดบ้าง อย่างไรจึงจะสอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้อธิบายเป็นข้อ ๆ ?

แนวคำตอบ (หนังสือและซีดีซีดี 53288 หน้า 108 – 109), (คำบรรยาย)

แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทยให้สอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีดังนี้

1 ให้ภาคราชการมีสมรรถนะที่จะแข่งขันในเวทีโลก (International Competitive Marketing)

2 ลดการควบคุมภาคราชการต่อภาคเอกชนให้น้อยลง โดยการแก้กฎระเบียบต่าง ๆ ที่ล้าสมัย (Deregulation)

3 ให้มีการแปรสภาพสาธารณูปโภคให้ภาคเอกชนดำเนินการแทนมากขึ้น (Privatization)

4 ให้ส่วนราชการมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มีสิทธิภาพมากขึ้น

5 ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจและวิธีการบริหารงานของภาครัฐ (บทบาท วิธีการทำงาน และสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน)

6 การปรับปรุงโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดิน

7 การปรับเปลี่ยนงบประมาณให้เป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์

8 ปรับเปลี่ยนบริหารงานบุคคล (พัฒนาหน่วยงานกลาง บริหารงานบุคคลพัฒนาศักยภาพข้าราชการ ปรับปรุงระบบเงินเดือนและค่าตอบแทน ปรับกระบวนทัศน์ข้าราชการ)

9 ปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ และมีความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน

10 ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม และค่านิยมของข้าราชการ (สร้างจิตสำนึก) สร้างระบบการบริหารงานกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance) สร้างค่านิยมโปร่งใสทำงานร่วมกับประชาชนอย่างเป็นมิตร

11 เปิดระบบราชการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการปฏิรูประบบราชการไทย มีดังนี้

1 นำไปสู่ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คุ้มค่ากับภาษีของประชาชน ระบบราชการโปร่งใสสุจริต ลดความสิ้นเปลืองสูญเปล่า และใช้งบประมาณน้อยลง

2 เป็นข้าราชการที่มีความรับผิดชอบ ซื่อตรงและโปร่งใส

3 เป็นระบบราชการที่แน่นอนคาดค้นคว้า

4 การบริหารราชการทันต่อการณ์ไกล ทันสมัย ทันโลก ทันต่อเหตุการณ์

5 ได้ระบบและราชการที่มีความมั่นคงเข้มแข็ง ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน

6 การบริหารราชการที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือจากประชาชนว่าเป็นระบบที่มีคุณภาพประสิทธิภาพ และมีคุณธรรม

7 ได้ข้าราชการที่เข้าใจง่ายและเป็นเพื่อนกับประชาชน โดยที่ประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรม

2.2

2.2.1 ให้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมืองมาพอสังเขป ?

แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 119 – 124), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 26)

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมือง

โดยหลักการทั่วไปการเมืองเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายและเป้าหมายของรัฐ (Ends) ส่วนเรื่องการบริหารเป็นเรื่องของการปฏิบัติตามนโยบายซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการ (Means) และระบบราชการ ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการจึงหนีไม่พ้นความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการด้วย ในวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ระบบราชการ หมายถึง หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่บริหารราชการของประเทศ รวมทั้งองค์กรของรัฐในรูปของรัฐวิสาหกิจ

ส่วนข้าราชการ หมายถึง บุคคลที่ทำงานประจำในระบบราชการ ตามกระทรวง ทบวง กรม สำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐวิสาหกิจ

ส่วนบุคคลที่ทางกฎหมายเรียกว่าข้าราชการการเมืองนั้น ในวิชารัฐประศาสนศาสตร์ไม่เรียกเป็นข้าราชการ แต่เรียกว่าการเมือง

นักการเมืองกับข้าราชการมีความแตกต่างกันหลายประการ คือ

1 นักการเมืองเข้าดำรงตำแหน่งโดยผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน ส่วนข้าราชการเข้าดำรงตำแหน่งหรือทำงานโดยผ่านการสอบตามระบบคุณธรรม

2 นักการเมืองมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ และพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น การยุบสภา การปฏิวัติ รัฐประหาร การปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ส่วนข้าราชการมีระยะเวลาทำงานไปจนปลดเกษียณอายุราชการถ้าไม่มีความผิดตามระเบียบราชการ

3 นักการเมืองมีความมั่นคงในอาชีพน้อยกว่าข้าราชการ ต้องเผชิญกับภาวะความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการเมืองที่ขาดเสถียรภาพ เพราะอาจไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ ส่วนระบบราชการนั้นมีความแข็งแกร่งกว่าระบบการเมืองมาก เพราะมีความต่อเนื่องและมีการปรับปรุงทั้งในด้านการจัดองค์การ เทคนิคการทำงานตลอดจนสามารถรับและเลือกบุคคลที่มีความสามารถจำนวนมากเข้ามาทำงาน

4 ระบบการเมืองมีโอกาสคัดเลือกนักการเมืองที่มีความรู้ความสามารถสูงมาทำงานน้อยกว่าระบบราชการที่คัดเลือกข้าราชการเข้ามาทำงาน

5 นักการเมืองส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ชำนาญการเฉพาะอย่าง แต่ข้าราชการส่วนใหญ่เป็นผู้ชำนาญการเฉพาะอย่างเพราะเป็นนักปฏิบัติการ

6 นักการเมืองย่อมไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองเพราะจะต้องสนับสนุนพรรคการเมืองเดียวทัน แต่ข้าราชการจะต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

7 นักการเมืองจะต้องทำตนให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ออกเสียงเลือกตั้งจึงมีพฤติกรรมที่ผันแปรตามสันทามติ แต่ข้าราชการจะต้องปฏิบัติตนตามกรอบกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของราชการ และต้องฟังมติมหาชนเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานที่กระทำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักการเมืองกับข้าราชการจะมีความแตกต่างกันในหลายด้าน แต่ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งในทางประสานและขัดแย้งกัน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมืองนี้เองที่ทำให้นักการเมืองเข้าไปมีอิทธิพลต่อข้าราชการ ขณะเดียวกับข้าราชการก็เข้าไปมีอิทธิพลต่อนักการเมือง

กล่าวโดยสรุป ระบบราชการกับการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ผลของการบริหารเป็นผลที่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมทางการเมืองด้วย และเริ่มศึกษาะระบบพร้อมกับสิ่งแวดล้อมทางการเมือง โดยเฉพาะการศึกษาเป็นกรณีเฉพาะเรื่องไป (Case Studies)

นักวิชาการได้มีความเชื่อว่าระบบการปกครองและการบริหารนั้น มีลักษณะที่เป็นในเรื่องของการประสานผลประโยชน์ของกลุ่มหลากหลายในสังคมซึ่งเป็นลักษณะของสังคมประชาธิปไตย แนวคิดการบริหารให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ที่ถือว่าการบริหารเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมือง โดยพิจารณาในด้านการให้สิทธิแก่ประชาชนในการมีส่วนร่วมในการบริหารงาน เช่น การแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ สนใจนโยบายมาจากกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม สนใจในเรื่องการต่อรองบนฐานแห่งเหตุผล การเมืองนั้นเป็นเรื่องของนโยบายในบางครั้งระบบราชการช่วยแก้ปัญหาในการวางนโยบาย และปัญหาสั้น ๆ ทางการเมืองได้

2.2.2 Merle Fainsod ได้แบ่งรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมืองไว้กี่รูปแบบอะไรบ้าง จงอธิบาย ?

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 23 – 24)

Merle Fainsod แบ่งรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับการเมืองเป็น 5 แบบ ดังนี้

1 ระบบราชการที่มีลักษณะเป็นตัวแทนของประชาชน (Representative Bureaucracies) เป็นระบบที่ระบบการเมืองมีอิทธิพลเหนือระบบราชการ โดยระบบราชการจะเป็นเพียงเครื่องมือของระบบการเมือง เพราะนักการเมืองเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองจึงมีอำนาจในการกำหนดนโยบายให้ข้าราชการนำไปปฏิบัติ ซึ่งจะพบได้ในประเทศที่มีระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย

2 ระบบราชการที่ถูกครอบงำโดยพรรคการเมือง (Party – State Bureaucracies) เป็นระบบที่ถูกควบคุมโดยพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ซึ่งมีผลต่อการกลางของพรรคเป็นผู้ควบคุมนโยบายและการปฏิบัติงานของข้าราชการทุกระดับ โดยระบบราชการประเภทนี้จะพบได้ในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ เช่น ประเทศที่มีการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์หรือพรรคสังคมนิยม ซึ่งได้แก่ จีน เกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังพบได้ในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่พรรคการเมืองหรือผู้นำพรรคการเมืองคณะผู้ชำนาญงานสาขาต่าง ๆ เป็นผู้ช่วยพิเศษของรัฐบาล เช่น คณะที่ปรึกษาของประธานาธิบดีและคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

3 ระบบราชการที่ถูกครอบงำโดยคณะทหาร (Military – Dominated Bureaucracies) เป็นระบบที่คณะทหารควบคุมตำแหน่งสำคัญทางราชการไว้แทนข้าราชการซึ่งระบบราชการประเภทนี้จะพบได้ในประเทศพม่า อินโดนีเซีย เป็นต้น

4 ระบบราชการที่ถูกครอบงำโดยผู้ปกครองคนเดียว (Ruler – Dominated Bureaucracies) เป็นระบบที่พระมหากษัตริย์ควบคุมระบบราชการไว้ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งระบบราชการประเภทนี้จะพบได้ในประเทศที่มีระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น สมเด็จพระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน เป็นต้น

5 ระบบราชการที่ทำหน้าที่ทางการเมือง (Ruling – Bureaucracies) เป็นระบบที่ข้าราชการเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองและทำหน้าที่ทางการเมืองแทนนักการเมือง ซึ่งจะเกิดขึ้นในระบบที่สถาบันการเมืองอ่อนแอและระบบการเมืองขาดความต่อเนื่อง ในขณะที่ระบบราชการมีความแข็งแกร่งและยาวนานกว่าระบบการเมือง โดย Fred W. Riggs เรียกระบบนี้ว่าอำนาอธิปไตย (Bureaucratic Polity)

Advertisement